10/9/59







ชาวเวียดนามซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตา ให้กับภาพอันแสนอบอุ่นของสุนัขที่พยายามจะปลอบโยนเด็กหนุ่มผู้ป่วยโรคดาวน์ซินโดรม จนเป็นกระแสโด่งดังในสื่อออนไลน์ของเวียดนามภายในเพียงแค่อาทิตย์เดียว





กำลังเป็นที่ฮือฮาในโลกโซเชียลของประเทศเวียดนามในขณะนี้ สำหรับคลิปวิดีโออันแสนอบอุ่น ของสุนัขที่กำลังพยายามปลอบโยนจิตใจของเด็กชายผู้ป่วยเป็นโรคดาวน์ซินโดรม ซึ่งความอ่อนโยน และความอบอุ่น ที่เปี่ยมความจริงใจของสุนัขตัวนี้ก็ได้เอาชนะจิตใจของเด็กชายที่พยายามหลีกเลี่ยงมันในตอนแรกได้จนสำเร็จ ทั้งยังทำให้ชาวเวียดนามนับพันถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจในบรรยากาศที่แสนอบอุ่นนี้

และสิ่งที่ทำให้คลิปวิดีโอดังกล่าวยิ่งซาบซึ้งกินใจคนดูมากยิ่งขึ้น ก็คือบทเพลงนุ่ม ๆ ในชื่อ "You Are So Beautiful" ที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อสร้างบรรยายอันแสนอบอุ่น พร้อมกับข้อความสั้น ๆ เพียงไม่กี่คำ แต่กระแทกเข้าที่กลางจิตใจของทุก ๆ คน โดยเริ่มจาก "ชีวิตคือการต่อสู้ ขอให้ยอมรับมัน" (Life is Struggle, Accept it!) ซึ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายของเด็กชายที่ต้องทนทรมานจากอาการผิดปกติของเขา ซึ่งเขาจะต้องยอมรับมันให้ได้เพื่อการก้าวเดินต่อไป

ต่อด้วย "บางคนมองว่าชีวิตเป็นเสมือนของขวัญ" (Some Consider It A Gift) และ "พระเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด" (God Doesn't Make Mistakes) ซึ่งราวกับจะเป็นการปลอบขวัญและให้กำลังใจเด็กชาย ว่าเขาไม่ใช่สิ่งที่ผิดพลาด แต่เขาคือสิ่งที่สวยงามบนโลกใบนี้ เป็นของขวัญที่พระเจ้ามอบให้แด่ตัวเขาและแม่ของเขา






ทั้งนี้ คลิปดังกล่าวเพิ่งจะกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากในประเทศเวียดนาม ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่สื่อออนไลน์ของเวียดนามได้นำคลิปวิดีโอนี้มานำเสนอ โดยคลิปดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ส่งต่อกันมานานแล้วในอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 ในชื่อ "Sweet Mama Dog Interacting with a Beautiful Child with Down Syndrome Jim Stenson" โดย Jim Stenson ซึ่งเจ้าของคลิปได้เล่าว่า ผู้ที่ถ่ายคลิปนี้ขึ้นก็คือ เอน่า ซึ่งเป็นแม่ของ เฮอร์แนน หรือเด็กชายในคลิป และจากความผิดปกติของลูกชายเธอ ทำให้เขามีปัญหาด้านการสื่อสารกับคนอื่น ๆ จนเฮอร์แนนรู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว และต้องการหลบหนีจากคนอื่น ๆ อยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม เจ้าหิมาลายา สุนัขของครอบครัวกลับมีความเข้าในตัวของเขา และมันก็พยายามเข้าหาเฮอร์แนนอย่างอ่อนโยน จนในที่สุดเฮอร์แนนก็ไม่ปฏิเสธสัมผัสการปลอบประโลมอันแสนอบอุ่นจากเจ้าหิมาลายาอีก โดยภาพที่กระแทกจิตใจของผู้ชมคลิปให้ซาบซึ้งจนต้องหลั่งน้ำตา ก็คือภาพที่หิมาลายัน นั่งลงและวางอุ้งเท้าไว้บนบ่าของเฮอร์แนน ราวกับจะปลอบขวัญและให้กำลังใจเด็กชาย ว่ามันรักเขา และทุก ๆ สิ่งจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี












ที่มา: http://www.liekr.com/post_143473.html

8/9/59







เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2559 เว็บไซต์เดลี่เมล  มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองเนลเลอร์ ทางตะวันออกของอินเดีย ได้รับแจ้งว่า "นางกิริจา" หญิงสาวอินเดียวัย 27 ปี ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ ถูกแม่สามีและพี่สาวของสามีร่วมมือกันเทน้ำกรดราดใส่ท้องของเธอ ทำให้เธอรู้สึกปวดแสบร้อน จนส่งเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานและล้มลงไปนอนกับพื้น ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวเธอส่งไปโรงพยาบาลแล้ว





สำหรับ "นางกิริจา" กับสามีเธอมีลูกสาวด้วยกันแล้ว 1 คน อายุ 1 ขวบ 6 เดือน ซึ่งขณะนี้เธอกำลังตั้งครรภ์คนที่สอง แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีหมอดูมาทำนายว่าเธอจะได้ลูกสาว จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ผัวเกิดความไม่พอใจเลยจัดการวางแผนร่วมมือกับลูกสาวเทน้ำกรดราดใส่ท้องของเธอ หวังฆ่าทั้งเธอและลูกในท้องให้ตายไปพร้อมๆ กัน โดยตามความเชื่อของชาวอินเดียพวกเขาคิดว่า การได้ลูกชายจะดีกว่าลูกผู้หญิง

ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวสามีและพ่อสามีไปสอบสวนแล้วเพราะอาจมีส่วนรู้เห็นในการพยายามฆ่าเธอ ส่วนแม่สามีหลบหนีไปได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการตามจับกุม







ที่มา: hilight.kapook.,  masternews







พระครูวิสารสรจักษ์ หรือ หลวงปู่เงิน กตสาโร วัดเกาะแก้ว เป็นผู้ประสาทเคล็ดนี้ให้แก่พวกเราที่ประสบปัญหาชีวิตไม่ราบรื่น มีอุปสรรคต่างๆทั้งการทำงานและการเล่าเรียน รวมไปถึงการที่คนในบ้านเจ็บป่วยบ่อย หรือประสบอุบัติเหตุ บ่อยๆ ลองทำแบบนี้สิชีวิตคุณอาจจะดีขึ้นได้ก็เป็นได้ สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะเราบังเอิญทำสิ่งใดที่อาจจะไม่ถูกใจเจ้าที่หรือผีบ้านผีเรือน หรือบางทีเราอาจจะไม่ทราบว่าบ้านเรานั้นก่อนจะมาเป็นของเรามีสิ่งใดหรือมีอะไรที่เป็นอัปมงคลมาก่อน วิธีแก้ร้ายให้กลับคืนเป็นดี คือ

การไหว้พระภูมิเจ้า ในบ้านแบบง่ายๆ โดยให้ไหว้ในตอนเช้า สิ่งที่ต้องเตรียม คือ





1.ส้ม 4 ผล (ห้ามไหว้ส้มโอ หรือส้มโอมือ)

2.ข้าวปลาอาหารที่ปรุงแล้วตามอัธยาศัย

3.ขนม หวานจะเป็นจับกิมทึ้งแบบจีน หรือ ขนมหวานแบบไทย จำพวกทองต่างๆๆก็ได้ และต้องมีขนมน้ำดอกไม้ด้วย เนื่องจากขนมน้ำดอกไม้เป็นเครื่องแสดงการขอขมา

4.พวงมาลัย จะเป็นดาวเรือง หรือเจ็ดสีเจ็ดศอกก็ได้

5.ธูป

จากนั้นให้นำเครื่องไหว้ไปวางหน้าศาลพระภูมิ หรือศาลตายายแล้วจุดธูป สวดมนต์ขอขมาดังนี้


ตั้งนโม 3 จบ

อิติสุคโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง

จากนั้นให้กล่าวกับเจ้าที่ว่า วันนี้ลูกจะทำความสะอาดบ้าน สิ่งใดที่ลูกเคยล่วงเกินพระภูมิเจ้าที่ คุณตาคุณยายก็ขอโทษ สิ่งใดไม่ดีก็ขอให้ไปกับสิ่งสกปรกที่จะทำความสะอาดวันนี้ด้วยเถิด จากนั้นก็อธิษฐานขอพรตามปรารถนา ปักธูป พอธูปหมดดอกก็เริ่มทำความสะอาดบ้านได้





โดยการทำความสะอาดบ้านให้ทำเป็นเคล็ดตามลำดับดังต่อไปนี้ คือ

1. ให้ทำความสะอาด ฝาบ้าน เพดาน ตามซอกตามมุม แล้วเอาฝุ่นละอองมารวมกองไว้ที่เดียว ห่อด้วยผ้าขาวให้มิดชิด แล้วจึงนำห่อผ้าขาวไปทิ้งที่บริเวณถังขยะในวัดใดวัดหนึ่ง โดยเมื่อทิ้งแล้วห้ามเหลียวกลับมาหลังดูเป็นอันขาด การกระทำเช่นนี้เปรียบเหมือนการเอาสิ่งอัปมงคลออกไปจากบ้าน

2. เอาน้ำพระพุทธมนต์หน้าพระประธานในบ้าน (ถ้ามี) หรือไปขอน้ำพระพุทธมนต์ตามวัดที่เรานับถือ มาพรมตามเพดาน ฝาบ้าน และบริเวณบ้านให้ทั่ว ระหว่างพรมให้ตั้งจิตคิดแต่สิ่งดีดีที่เป็นมงคล

3. ห้ามทุกคนในบ้านด่าหรือพูดคำอัปมงคลใส่กันและกัน

4. รุ่งเช้าของอีกวันให้ตักบาตรหรือทำสังฆทาน พร้อมอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่พระภูมิ เจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือน เพื่อเป็นเคล็ดให้ท่านเฝ้าปกป้องคุ้มภัยให้แก่เรานั่นเอง

การไหว้พระภูมิเจ้าที่แบบนี้ถือเป็นสิ่งดี อธิษฐานสิ่งใดภูมิเทวดาท่านก็จะอนุเคราะห์สุดความสามารถ และ เมื่อเจ้ากรรมนานเวรได้ยินก็จะยอมอโหสิกรรมให้


ลองนำไปทำตามกันดูนะคะเพื่อความเป็นมงคล คนในบ้านจะได้หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย ป่วยเจ็บไข้ก็จะหายทุกประการ เพราะมีเทวดาคอยคุ้มครองครอบครัวของท่านนั่นเอง
http://www.tn-computer.com/











ที่มา: http://www.siamdrama.com/view-986.html






เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 8 ก.ย. พระครูวินัยธรรมนัส จันทะสีโร เจ้าอาวาสวัดท่าฬ่อ ต.ท่าฬ่อ อ.เมือง จ.พิจิตร เปิดเผยว่า ทางวัดท่าฬ่อพบพระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน เนื้อทองสัมฤทธิ์ ภายในอุโบสถหลังเก่า หลังจากที่ปิดตายมานานกว่า 100 ปี พระพุทธรูปดังกล่าว คือพระเท้าโผล่ หรือชาวบ้านเรียกกันว่าพระตีนโด่ ในประเทศไทยที่ค้นพบมีเพียง 2 แห่งเท่านั้น คือที่วัดศรีมหาธาตุวรวิหาร จ.พิษณุโลก และที่วัดท่าฬ่อ จ.พิจิตร ซึ่งปางที่พบพุทธศาสนิกชนทั่วไป จะไม่ค่อยได้พบเห็นกันมากนัก โดยลักษณะจะเป็นพระพุทธเจ้านิพพาน สร้างด้วยทองสัมฤทธิ์ นิพพานท่าตะแคงในโลงไม้ เท้าทั้งสองข้างจะโผล่ออกมาจากโลง ซึ่งโลงจะเป็นไม้แผ่นเดียว ไม่มีลอยเจาะหรือต่อแต่อย่างใด และไม่ปรากฏว่าสร้างเมื่อใด





พระครูวินัยธรรมนัส เจ้าอาวาสวัดท่าฬ่อ กล่าวต่อว่า พระพุทธรูปที่ค้นพบในอุโบสถเก่านั้น เดิมเป็นพระประธานอยู่ในพระอุโบสถเก่าแก่ สร้างขึ้นประมาณ ปี พ.ศ.2410 สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือราวสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่า การกราบไหว้พระพุทธเจ้าเข้านิพพาน จะทำให้หมดทุกข์หมดโศก หมดโรค หมดภัย และค้าขายร่ำรวย

“พระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้านิพพานองค์ที่พบในโบสถ์เก่าวัดท่าฬ่อนั้น ถือว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ที่สมบูรณ์มากและหาชมยากมาก ซึ่งเวลานี้มีประชาชนที่ทราบข่าว ต่างเดินทางมาขอชมบารมีพระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้านิพพานเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางวัดเปิดให้ประชาชนเดินทางมากราบไหว้ได้ทุกวัน นอกจากนี้ ภายในพระอุโบสถหลังเก่า ที่ถูกปิดมานานกว่าหนึ่งร้อยปี ยังพบภาพวาดพุทธประวัติ และความเป็นมาของการสร้างพระเจ้าเข้านิพพานตามฝาผนัง ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ นับว่าเป็นศิลปกรรมเก่าแก่ที่หาชมได้ยาก และมีคุณค่าทางจิตใจของชาวท่าฬ่อเป็นอย่างมาก” เจ้าอาวาสวัดท่าฬ่อ กล่าว





พระครูวินัยธรรมนัส กล่าวว่า สำหรับพระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน หรือ "พระเจ้าเข้านิพพาน" ของวัดท่าฬ่อนั้น ถือว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ที่เก่าแก่และสมบูรณ์มากที่สุดและหาชมยากที่สุด ซึ่งทางวัดได้เก็บรักษาไว้อย่างดี ในอดีตที่ผ่านมา โบสถ์หลังเก่าได้ปิดร้างมานานกว่า 100 ปี และไม่ได้เปิดฝาโลงดังกล่าวมาเป็นระยะเวลานาน ในปัจจุบันพระอุโบสถหลังใหม่ มีน้ำรั่วซึมเข้ามาในช่วงหน้าฝน จึงอัญเชิญมาไว้ที่กุฏิเจ้าอาวาสเป็นการชั่วคราว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีประชาชนทั่วสารทิศ เดินทางไปกราบนมัสการพระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน ที่วัดท่าฬ่อกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งพระพุทธรูปดังกล่าวนั้น เชื่อกันว่าเมื่อมากราบไหว้ขอพรแล้ว จะทำให้หมดเคราะห์หมดโศกหมดโรคหมดภัย และทำการค้าขายเจริญร่ำรวย ซึ่งประชาชนที่เดินทางมากราบไหว้พระพุทธรูปปางนิพพานแล้ว ส่วนใหญ่จะเดินชมภาพพุทธประวัติ และความเป็นมาของพระพุทธเจ้าเข้านิพานด้วยเช่นกัน















ที่มา: khaosod / มติชนทีวี

7/9/59









เมื่อกล่าวถึงพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ และพระโพธิสัตว์ ก็ควรกล่าวถึงเรื่องกาลเวลา กัปหรือกัลป์ เพราะพระโพธิสัตว์ ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาถึง ๒๐ อสงไขย์ หนึ่งแสนมหากัป จำเดิมแต่ดำริเป็นพระพุทธเจ้า จนถึง ๔ อสงไขย หนึ่งแสนมหากัปสุดท้ายที่เป็นสุเมธดาบส ความคิดในเรื่องกาลเวลาของโลกได้มีกล่าวในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นคัมภีร์ชั้นแรกก็มี ชั้นหลังก็มี ซึ่งความคิดในเรื่องวิธีหมายรู้ในเรื่องกาลเวลานี้น่าจะสรุปได้เป็น ๒ วีธี คือ

๑. นับด้วยจำนวนสังขยา หรือนับด้วยตัวเลข เช่น ๑..๒..๓...
๒. กำหนดด้วยอุปมา หรือด้วยเครื่องกำหนดอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเมื่อมากเกินไปที่จะนับด้วยสังขยาหรือตัวเลข





การกำหนดดังกล่าวดังวิธีที่ ๒ นี้ จึงเป็นที่มาของคำว่า กัป หรือ กัปปะ ในภาษามคธ หรือ กัลป์ ในภาษาสันสกฤต เพราะคำนี้แปลอย่างหนึ่งว่า กำหนด หรือ สมควร ดังนั้นในความหมายนี้ กัป หรือ กัลป์ คือ กำหนดอายุของโลก หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่กำเนิดของโลกจนโลกสลาย ซึ่งกัปหรือกัลป์ที่ยาวจนนับจำนวนไม่ได้นี้เรียกว่า มหากัป และอายุของกัปแต่ละกัปที่ล่วงไปจนนับไม่ได้ว่าเวลาล่วงเลยมาแล้วกี่กัปนี้รวมเรียกกัปที่นับไม่ได้นั้นว่า อสงไขย ซึ่งแปลว่า นับไม่ถ้วน


การนับเวลาในพระพุทธศาสนาได้ชัดเจน ซึ่งขอแสดงค่าเปรียบเทียบหน่วยเวลาของพระพุทธศาสนา กับหน่วยเวลาที่เราท่านคุ้นเคย

วินาที หน่วยเวลาเล็กที่สุดที่มนุษย์ยุคนี้ใช้กันโดยทั่วไป

นาที ใหญ่กว่า วินาที ซึ่ง 1 นาที เท่ากับ 60 วินาที

ชั่วโมง ใหญ่กว่า นาที ซึ่ง 1 ชั่วโมง เท่ากับ 60 นาที

วัน ใหญ่กว่า ชั่วโมง ซึ่ง 1 วัน เท่ากับ 24 ชั่วโมง

เดือน ใหญ่กว่า วัน ซึ่ง 1 เดือน เท่ากับ 30 วัน

ปี ใหญ่กว่า เดือน ซึ่ง 1 ปี เท่ากับ 12 เดือน

ล้านปี ใหญ่กว่า ปี ซึ่ง 1 ล้านปี เท่ากับ 1,000,000 ปี (1 เติมศูนย์ 6 ตัว)




 

อสงไขยปี ใหญ่กว่า ปี ซึ่ง 1 อสงไขยปี เท่ากับ 100...000 ปี (1 เติมศูนย์ 140 ตัว)

อันตรกัป ใหญ่กว่า อสงไขยปี ซึ่ง 1 อันตรกัป มากกว่า 1 อสงไขยปี

สังวัฏกัป (หรือวิวัฏกัป) ใหญ่กว่า อันตรกัป ซึ่ง 1 สังวัฏกัป เท่ากับ 64 อันตรกัป

มหากัป ใหญ่กว่า สังวัฏกัป ซึ่ง 1 มหากัป เท่ากับ 4 สังวัฏกัป หรือ 256 อันตรกัป

อสงไขยมหากัป ใหญ่กว่า มหากัป ซึ่ง 1 อสงไขยกัป เท่ากับ 1 เติมศูนย์ 140 ตัว มหากัป

มหากัป บางทีท่านก็เรียก กัป เฉยๆ ครับ

อสงไขยมหากัป บางทีท่านก็เรียก อสงไขยกัป ครับ













ที่มา: http://www.winnews.tv/news/7432

5/9/59






มหาสถูปแห่งเกสเรีย เป็นสถานที่ประดิษฐานบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงประทานแก่ชาววัชชี เมื่อครั้งพุทธกาลเกสเรียอยู่ในเขตพรมแดนของแคว้นวัชชีและมัลละต่อกัน (รัฐพิหารในปัจจุบัน)




มหาสถูปแห่งเกสเรียเป็นสถูปเดียวกับที่ปรากฏในบันทึกของพระถังซำจั๋ง ที่เคยจาริกแสวงบุญมายังสถานที่แห่งนี้ท่านได้กล่าวไว้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของพระมหาสถูปที่ประดิษฐานบาตรของพระพุทธองค์ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานแก่ชาววัชชีเมืองไวสาลีที่ตามมาส่งเสด็จพระพุทธองค์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเสด็จไปยังเมืองกุสินาราเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน

เกสริยาในปัจจุบันอยู่ห่างจากกุสินาราประมาณ 120 กิโลเมตร ในเขตรัฐพิหารระหว่างทางจากเมืองไวสาลีไปยังเมืองกุสินารา








ที่มา:http://www.winnews.tv/news/533






วันนี้(5 ก.ย. 59)ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่วัดคำศิริ บ้านคำศิริ ตำบลกู่จาน อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร มีพระลูกวัดอยู่รูปหนึ่งที่ใช้เวลาว่างจากการปฏิบัติกิจของสงฆ์หันไปซ่อมเครื่องยนต์การเกษตรและรถจักรยานยนต์ให้กับชาวบ้านฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ชื่อพระอุดม อินทะวังโส อายุ 37 ปี ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาซ่อมเครื่องยนต์รถไถนาเดินตามให้กับชาวบ้าน

พระอุดม เปิดเผยว่าในแต่ละวันจะมีชาวบ้านนำเครื่องยนต์การเกษตร,เครื่องสูบน้ำ รวมทั้งรถจักรยานยนต์ที่ชำรุดเครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติดมาให้อาตมาช่วยซ่อมอยู่เป็นประจำโดยอาตมาไม่ได้คิดค่าบริการเพราะเห็นว่าเป็นการช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับชาวบ้าน





ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้ค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองไม่มีช่างในหมู่บ้านเวลาซ่อมเครื่องยนต์ต่างๆจึงจำเป็นต้องเดินทางเข้าไปซ่อมในตัวอำเภอทำให้เสียเวลาและเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น อาตมารู้สึกสงสารชาวบ้านจึงได้รับบริการซ่อมเครื่องยนต์การเกษตรให้กับชาวบ้านฟรี ส่วนถ้าหากมีการเปลี่ยนอะไหล่ก็จะให้ชาวบ้านไปซื้ออะไหล่มาให้

หลังจากที่ชาวบ้านทราบว่าอาตมาซ่อมเครื่องยนต์การเกษตรให้กับชาวบ้านฟรี ในแต่ละวันจึงมีชาวบ้านในละแวกชุมชนต่างพากันนำเครื่องยนต์การเกษตรที่ชำรุดไม่ว่าจะเป็นรถไถนาเดินตาม,เครื่องสูบน้ำ,เครื่องตัดหญ้า รวมทั้งรถจักรยานยนต์ มาให้ซ่อมให้เป็นจำนวนมาก






นอกจากนี้พระอุดมยังมีความสามารถในการเชื่อมเหล็กและทำงานเฟอร์นิเจอร์ได้อีกด้วยโดยถ้าหากชาวบ้านมีความจำเป็นต้องทำงานเหล็กหรือทำเฟอร์นิเจอร์พระอุดมฯก็สามารถทำให้ได้เช่นกัน ถือได้ว่าพระอุดมบริการชาวบ้านแบบครบวงจรโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

พระอุดมมีภูมิลำเนาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้และอุปสมบทที่วัดแห่งนี้มานานกว่า 10 พรรษาแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ก็พอมีความรู้เรื่องช่างมาก่อนเพราะก่อนอุปสมบทเคยไปรับจ้างอยู่ที่อู่ซ่อมรถยนต์แห่งหนึ่งจึงพอได้ความรู้เรื่องช่างมาบ้างพอมาจำพรรษาอยู่ภายในวัดหลังปฏิบัติกิจของสงฆ์เสร็จแล้วก็ไม่ได้ทำอะไร และรู้สึกเห็นใจชาวบ้านที่ต้องเดินทางเข้าไปซ่อมเครื่องยนต์ในตัวอำเภอ ซึ่งระยะทางค่อนข้างไกลจึงได้หันมาบริการซ่อมเครื่องยนต์การเกษตรต่างๆให้กับชาวบ้านฟรีเรื่อยมาจนเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน









ที่มา: http://www.tsood.com/contents/151337/






เกิดเป็นภาพที่ผู้คนในโลกสังคมออนไลน์ให้ความสนใจแชร์ส่งต่อกันอย่างหนัก ต่อภาพของหลวงตา ซึ่งท่านเป็นพระธุดงค์จากวัดป่าแห่งหนึ่ง มาปักกลด นั่งกรรมฐานบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่กลางป่า แต่แล้วขณะที่ท่านกำลังเข้าสมาธิอยู่นั้น ได้มีโขลงช้างป่าเดินทางผ่านมาที่จุดปักกลดดังกล่าว แต่ไม่มีการเข้าทำอันตรายใดๆแก่หลวงตาทั้งสิ้น กลับลงหมอบอยู่เบื้องหน้าอย่างน่าเอ็นดู ทิ้งสัญชาตญาณสัตว์ป่าดุร้ายไปอย่างสิ้นเชิง







โดยที่เพจดังได้เผยภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พร้อมข้อความแทรกซึมธรรมสอนใจมาว่า..  
แม้กายจะเดรัจฉาน แต่ใจนั้นยังมีธรรมและ
คุณงามความดี  บูชาในผู้ที่ควรบูชา..มงคลชีวิต








ที่มา: http://www.siamdrama.com/view-916.html






หนุ่มเคนยาป่วยแปลก อวัยวะเพศบวมโตกว่าคนทั่วไป 10 เท่า ดับฝันในการมีคนรักและมีเซ็กส์กับสาว ด้านแพทย์ยังมึนตึ้บ ยังไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด

เว็บไซต์เดอะซันของอังกฤษ รายงานว่า พ่อหนุ่มรายนี้มีนามว่า โซเรนซ์ โอวิตี โอปิโย วัย 20 ปี ได้ประสบกับภาวะแปลกที่ทำให้เขาหาแฟนไม่ได้เลย เมื่ออวัยวะเพศของเขามีขนาดใหญ่มากประหนึ่งเป็นขาที่ 3 แพทย์ยังหาคำตอบไม่ได้และเชื่อว่าน่าจะเป็นเคสเดียวของประเทศเคนยา





โซเรนซ์เผยว่าเขาอาศัยอยู่กับคุณยายมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ หลังจากพ่อแม่เสียชีวิต ตอนเด็ก ๆ อวัยวะเพศของเขาก็มีขนาดปกติไม่ผิดแผกจากเด็กชายทั่ว ๆ ไป แต่แล้วพอเขาอายุ 10 ขวบ ก็พบว่าอวัยวะเพศบวมใหญ่ขึ้นจนรู้สึกไม่สบายตัวที่ต้องแบกมันไว้ระหว่างขาทั้ง 2 ข้าง นับแต่นั้นมันก็ขยายใหญ่เรื่อยมา จนในที่สุดเขาก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะทนกับการถูกเพื่อนล้อเรื่องนี้ไม่ไหว ภาวะปริศนานี้มันทำให้เขาไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้จริง ๆ เขาทำไม่ได้แม้กระทั่งจะสวมใส่กางเกง เพราะมันใส่ไม่ได้ และมันยังสร้างความเจ็บปวดให้เขาไม่น้อยเลย

นับตั้งแต่อวัยวะเพศเริ่มบวมโตอย่างสังเกตได้ชัด โซเรนซ์ก็ได้ไปพบแพทย์มาแล้ว แต่ก็ไม่มีแพทย์คนไหนหาสาเหตุของภาวะนี้ได้เลย อย่างไรก็ตามแพทย์ก็พยายามหาทางรักษาให้เขา รวมถึงการผ่าตัดเพื่อลดขนาดอวัยวะเพศลงนิดหน่อย แต่หลังจากนั้นก็พบว่ามันยังคงโตขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนเดิม






ถึงอย่างนั้นโซเรนซ์ก็ยังไม่ยอมแพ้ เขามีกำหนดจะเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้งในเร็ววันนี้ที่โรงพยาบาลในเมืองคีซู มู ขณะที่ทางครอบครัวของเขาได้ขอระดมทุนรับบริจาคเงินเพื่อการรักษาและเปิดเผย เรื่องราวของเขาเพื่อให้ผู้คนได้ตระหนักว่าโรคที่เขาเป็นนั้นน่าเห็นใจจริง ๆ










ที่มา: http://hilight.kapook.com/view/141710

4/9/59







เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊ก Saving Mes Aynak ซึ่งผลักดันการอนุรักษ์แหล่งโบราณคดี ‘เมสไอนัค’ อายุกว่า 2,000 ปีในประเทศอัฟกานิสถาน ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการค้นพบภาพสีน้ำมันรูปพระพุทธเจ้า และมีบุคคลอื่นๆนั่งเรียงเป็นแถว โดยระบุว่าเป็นการค้นพบใหม่เมื่อเร็วๆนี้ และขอให้ช่วยแชร์ภาพดังกล่าวไปทั่วโลก ให้ผู้คนได้รับรู้ถึงความสำคัญของแหล่งโบราณคดีดังกล่าวซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกทำลายโดยกลุ่ม “ตาลีบัน” แต่ปัญหาสำคัญในขณะนี้คือกรณีที่จีนต้องการขุดแร่ทองแดงจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งหมายถึงการทำลายแหล่งโบราณคดีโดยปริยาย





หลังภาพและข้อมูลถูกเผยแพร่ ได้ถูกแชร์แล้วเกือบ 1,000 ครั้ง และมีผู้คนจากทั่วโลกเข้าไปแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กดังกล่าว ส่วนใหญ่ระบุว่าทุกคนต้องร่วมมือกันในการปกป้องแหล่งอารยธรรมอันทรงคุณค่านี้ และแสดงความห่วงใยต่อการที่จีนจะทำการขุดแร่ นอกจากนี้บางรายระบุว่าโลกควรร่วมกันเรียกร้องให้จีนและอัฟกานิสถานหันกลับมาดูแลมรดกทางวัฒนธรรมเพื่อเก็บรักษาไว้ให้คนรุ่นหลัง


















ที่มา: http://www.matichon.co.th/news/152931






เอริค ออร์ทิซ ครูซ เด็กชายผู้โชคร้ายป่วยหนักตั้งแต่ 10 เดือน ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา แม่ของหนูน้อยหวังขอลูกฟุตบอลลายเซ็น คริสเตียโน โรนัลโด้ นำไปประมูลขายนำเงินมาจ่ายค่าผ่าตัด แต่สิ่งที่สตาร์คนดังตอบรับ ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์





เอริค ออร์ทิซ ครูซ เด็กชายชาวสเปนโชคร้าย หมอก็ตรวจพบว่าเขาป่วยเป็นโรคสมองผิดปกติ ตั้งแต่อายุได้เพียง 10 เดือน หนทางในการรักษามีเพียงวิธีเดียวคือการผ่าตัดสมอง ซึ่งอาการแย่งลงทุกวันมีลมชักถึง 30 ครั้ง แต่ทางครอบครัวไม่มีเงินจะจ่าย เพราะค่ารักษาแพงมาก

แม่ของหนูน้อย เอริค จึงเขียนข้อความส่งไปถึง คริสเตียโน โรนัลโด้ เพื่อขอแค่ลูกฟุตบอลที่มีลายเซ็น นำไปประมูลขายเพื่อนำเงินที่ได้มาจ่ายค่าผ่าตัดลูกชาย ซึ่งเป็นแค่ความหวังลมๆแล้งๆเท่านั้น แต่ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์!! โรนัลโด้ ได้ตอบกลับมา ไม่ใช่เพียงแค่ลูกฟุตบอล เท่านั้นแต่ยังมี เสื้อฟุตบอล รองเท้าสตั๊ต พร้อมลายเซ็น และยัง มอบเงินบริจาคเป็นค่าผ่าตัดถึง 2.8 ล้านบาท อีกด้วย





โดยเรื่องราวดังกล่าว คริสเตียโน โรนัลโด้ เองก็ไม่ได้บอกใคร กระทั้งหลังผ่าตัดเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่ของ เอริค ได้โพสต์ข้อความขอบคุณจนเป็นข่าวดังขึ้นมา ซึ่งปัจจุบันหนูน้อย เอริค ก็ได้หายจากโรคร้ายดังกล่าวแล้วเรียบร้อย










ที่มา: http://hot.muslimthaipost.com/news/28333





เว็บไซต์ ไลฟ์ ของรัสเซียรายงานว่า น.ส.เยคาเตรีนา ครูสอนนักเรียนออทิสติก ในเมืองคีรอฟ ตอนกลางของรัสเซีย ถูกไล่ออก หลังจากที่อดีตนักเรียนไปเจอครูขณะแก้ผ้าในเว็บไซต์แคมฟรอก

ข่าวลือกระฉ่อนไปทั่วเมืองและได้ยินไปถึงหู ผอ.โรงเรียน จึงสั่งดำเนินการตรวจสอบภายใน ขณะที่ น.ส.เยคาเตรีนาทำงานมานานถึง 8 ปี แต่ไม่มีการร้องเรียนใดๆ

 สื่อท้องถิ่นรายงานว่า น.ส.เยคาเตรีนาหาลำไพ่พิเศษทุกๆ เย็น โดยแก้ผ้าโชว์เว็บแคม เพื่อเก็บเงินไปเที่ยวสเปน ทางโรงเรียนจึงบังคับให้ลาออก เนื่องจากพฤติกรรมไม่เหมาะรอบรมสั่งสอนเด็กวัยโตได้





ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1472927533






เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เรือนจำได้นำตัวนายมีร์ ควาเซ็ม อาลี เป็นมหาเศรษฐีของบังคลาเทศ ถูกสั่งประหารชีวิตแล้วในข้อหาร่วมกันก่ออาชญากรรมสงครามกับปากีสถานเมื่อ 45 ปีก่อนนั้นมีผู้เสียชีวิตถึง 3 ล้านราย สู้รบยาวนาน 9 เดือนเพื่อแยกประเทศออกจากปากีสถาน  ทำให้มีผู้คนเสียชีวิตนับล้านเมื่อปี 2514





การประหารมีขึ้นหลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายรุนแรงหลายครั้งในบังกลาเทศ รวมถึงเหตุบุกสังหารชาวต่างชาติในร้านกาแฟที่กรุงธากาเมื่อเดือนก.ค. มีเหยื่อเสียชีวิตกว่า 20 ราย ในการไต่สวนคดีนี้ นายอาบีถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการก่อการรร้ายในเมืองจิตตากอง ก่อนศาลตัดสินให้มีความผิดใน 8 จาก 14 ข้อหา จากตัวเลขรัฐบาลประเมินว่า ในช่วงสงครามเมื่อ 45 ปีก่อนนั้นมีผู้เสียชีวิตถึง 3 ล้านรายในการสู้รบยาวนาน 9 เดือนเพื่อแยกประเทศออกจากปากีสถาน  กระทั่งมาถึงปี 2553 นางชีก ฮาสินา นายกรัฐมนตรีจัดตั้งศาลอาชญากรรมสงครามขึ้นเพื่อลงโทษผู้ก่อกรรมในสงครามดังกล่าว แต่ศาลนี้ไม่ได้รับการยอมรับเท่าใดนัก เมื่อถูกมองว่าเป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง อีกทั้งยังสร้างความหวาดกลัวว่า สมาชิกกลุ่มสายสุดโต่งจะล้างแค้นตามมาอีก







ที่มา: http://www.siamdrama.com/view-895.html





เจ้าเสือโคร่งลายพาดกลอนเดินย่างสามขุมพร้อมจ้องมองหลวงปู่ชอบไม่วางสายตา เข้าใกล้ท่านแค่ ๒ วา แล้วก็นั่งจ้องมองอยู่อย่างนั้น ท่านตัดสินใจใช้วิธี "เจริญเมตตาภาวนา" โดยลืมตาจ้องมองเสือ เฝ้าดูความรักตัวกลัวตายของตนเอง พร้อมตั้งจิตอธิษฐานว่า

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย


ย้อนกลับไปในสมัยที่ "หลวงปู่ชอบ ฐานสโม" ออกธุดงค์ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ตามหาหลวงปู่มั่นเพื่อกราบถวายตัวเป็นศิษย์นั้น ระหว่างทางท่านได้แวะพักเจริญภาวนาที่ถ้ำแห่งหนึ่ง

ในถ้ำแห่งนี้เองที่หลวงปู่ชอบได้เจอกับเสือโคร่งอย่างจังขณะที่ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่หน้าถ้ำ  แสงสว่างของดวงจันทร์ทำให้เห็นลายของเสืออย่างชัดเจน  มันกำลังซุ่มตัวอย่างเงียบๆ  พอเข้าใกล้ในระยะประชิด มันก็กระโจนออกมาส่งเสียงคำรามข่มขวัญ





ท่านเล่าถึงความรู้สึกในขณะนั้นว่า

"หัวใจแทบจะหยุดเต้นเอา ตาก็ค้าง ปากก็แห้ง กำลังเรี่ยวแรงแขนขาดูอ่อนล้าไปหมด สติสตังหล่นหกตกหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ในขณะนั้น"

เสือโคร่งลายพาดกอน

เจ้าเสือโคร่งลายพาดกลอนเดินย่างสามขุมพร้อมจ้องมองหลวงปู่ชอบไม่วางสายตา เข้าใกล้ท่านแค่ ๒ วา แล้วก็นั่งจ้องมองอยู่อย่างนั้น  ท่านตัดสินใจใช้วิธี "เจริญเมตตาภาวนา" โดยลืมตาจ้องมองเสือ เฝ้าดูความรักตัวกลัวตายของตนเอง พร้อมตั้งจิตอธิษฐานว่า

"หากในอดีตชาติเคยมีเวรกรรมกับเสือโคร่งตัวนี้มาก่อนก็ยินดีที่จะชดใช้ให้ในชาตินี้  แต่ถ้าไม่เคยมีกรรมต่อกันมาก่อนก็ขออำนาจแห่งคุณศีลคุณธรรมที่เคยบำเพ็ญมาในอดีตชาติจนถึงปัจจุบัน จงดลบันดาลให้เสือหนีไปจากที่นี่"






พออธิษฐานสละชีวิตเสร็จ หลวงปู่ชอบก็จ้องมองดูว่าเสือโคร่งจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อไป  ทั้งคนและเสือต่างจ้องมองคุมเชิงกันนานพอควร ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมละสายตาจากกัน  ผ่านไป ๑๐ นาที หลวงปู่ชอบเริ่มตั้งสติได้ คุมใจอยู่ จึงเดินเข้าหาเสืออย่างช้าๆ หนึ่งก้าว  เจ้าเสือโคร่งส่งเสียงคำรามขู่นัยว่า ห้ามเข้าใกล้ไปกว่านี้  ปฏิกิริยาของเจ้าเสือทำให้ท่านหยุดการเคลื่อนไหวแล้วบอกกับมันว่า

"ที่นี่เป็นที่ของพระ ท่านมาปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียร  ไม่ใช่สถานที่ของเจ้าที่จะมาเที่ยวเล่นเพ่นพ่านอยู่อย่างนี้  ถ้าหากจะเล่นก็ให้ไปเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ของเจ้าโน่น  อย่าได้มารบกวนเรา  เราเองก็กลัวเจ้าเหมือนกันนะ  หนีไปที่อื่นซะ"

ว่าแล้วท่านก็ไล่มัน... "ไป!"

พอพูดจบ หลวงปู่ชอบก็ทำท่าเหมือนจะเอื้อมมือไปจับตัวของมัน  เจ้าเสือตกใจกระโจนพรวดพราดหายวับไปต่อหน้าต่อตา

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

ในที่สุด หลวงปู่ชอบก็เดินธุดงค์ตามทันหลวงปู่มั่นที่สำนักสงฆ์เมี่ยงแม่สาย อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่  หลังจากกราบนมัสการหลวงปู่มั่นเป็นที่เรียบร้อย ท่านจึงได้เล่าประสบการณ์พบเจอเสือบริเวณถ้ำแห่งนั้นให้พระอาจารย์ใหญ่ฟัง

หลวงปู่มั่นชี้แจงความกระจ่างว่า

เสือตัวที่ท่านเจอมาไม่ใช่เสือจริงหรอก  เป็นเสือที่เทพเขาจำแลงแปลงร่างมาเพื่อที่จะทดสอบจิตใจของท่านเท่านั้น  เขาอยากรู้ว่า ท่านกล้าเป็นกล้าตายในการปฏิบัติธรรมไหม เขาเลยแปลงเป็นเสือมาพิสูจน์จิตใจของท่านดู  ที่เขามาแสดงอาการข่มขู่ก็เพื่อที่จะทดลองความกล้าในจิตใจของท่าน  ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ท่านตายหรอก  อย่างมากเขาก็ทำให้ท่านกลัวเท่านั้น  ไม่ได้มีเจตนาจะมาเอาชีวิตของท่าน  ถ้าเป็นเสือจริงๆ โดยธรรมชาติแล้ว ถ้ามันได้มาหาแบบนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่ามันมีเจตนาที่จะจับท่านกินเป็นอาหารแน่นอน ...

พวกเทวดานี้เขามีฤทธิ์เดชมากกว่ามนุษย์  เขาสามารถที่จะจำแลงแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้ตามที่เขาปรารถนาอยากเป็น  แต่การจำแลงแปลงร่างของเขาเป็นได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น  สุดท้ายก็กลับคืนสู่อัตภาพภูมิเดิมของเขา

หลวงปู่ชอบนั่งฟังคำสอนอธิบายของหลวงปู่มั่น จึงทำให้สิ้นสงสัยไปจนหมด








ที่มา: http://www.winnews.tv/news/7000





เว็บไซต์ เดลี่สตาร์ ของอังกฤษรายงานว่า เจ้าของบ้านตากอากาศพร้อมที่พักและอาหารเช้า (AirBnB) รายหนึ่งยอมรับว่า มีการแลกเปลี่ยนคลิปวิดีโอตั้งกล้องแอบถ่ายแขกขณะมีเพศสัมพันธ์ในห้องพัก กับบรรดาเจ้าของบ้านพักตากอากาศด้วยกัน





คำสารภาพดังกล่าวเผยแพร่เป็นภาพเตียงนอนพร้อมข้อความว่า "ผมแบ่งคลิปเซ็กซ์แอบถ่ายกับเจ้าของบ้านตากอากาศอื่นๆ" บนเพจเฟซบุ๊ก PostSecret ซึ่งเป็นพื้นที่ให้คนทั่วไปโพสต์ความคิดเห็นโดยไม่ต้องบอกชื่อ

แม้จะยังไม่แน่ชัดเสียทีเดียว แต่แขกที่เข้าพัก AirBnB หลายพันคนแชร์ภาพดังกล่าวเป็นจำนวนมาก  เพราะรู้สึกกังวลในความเป็นส่วนตัวและเรียกร้องให้ติดตามผู้อยู่เบื้องหลังข้อมูลนี้









ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1472904902







ในที่นี้การกราบพระสงฆ์เพื่อความเป็นสิริมงคลที่แท้ขอให้ไหว้พระสงฆ์ด้วยใจที่นับถือศรัทธาว่า พระสงฆ์ท่านนั้นเป็นผู้ที่สืบทอดคำสอนและปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสนาอันเป็นประโยชน์ต่อชาวโลก มาอย่างเคร่งครัด พระพุทธศาสนาจึงสามารถดำรงอยู่มาได้ทุกวันนี้ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจทุกคนให้ทำความดีตาม โดย ให้น้อมจิตรำลึกถึง พระคุณของพระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดีแล้ว สวดมนต์เปล่งวาจา ว่า

“สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสะ”




บางคนอาจกล่าวสั้น ๆเพียงคำว่า “ สังฆานัง คุณัง วันทามิ” เป็นการแสดงความเคารพ และรำลึกในใจด้วยความเชื่อมั่นในพระคุณของพระสงฆ์ว่า “ สังโฆ เม นาโถ” และ ก้มลงกราบเป็นครั้งที่ 3 และตั้งจิตในใจว่า

“ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาจนถึงวันนี้ ขอ พระคุณอันมากมายเหลือคณาของพระสงฆ์ ช่วยปกปักรักษาให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญ ยิ่ง ๆขึ้นไป ขอให้ข้าพเจ้าจดจำในข้อปฏิบัติที่ดีของพระสงฆ์ และ ข้าพเจ้าจะเป็นแบบอย่างชีวิตให้กับคนอื่น ๆด้วย”

การกราบพระสงฆ์ด้วยใจเพื่อให้เกิด สิริมงคล ต้องพึงปฏิบัติตาม จริยธรรม ปณิธานของ พระสงฆ์ด้วยว่า






พระสงฆ์นั้นเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว พระสงฆ์เป็นผู้ปฎิบัติตรงแล้ว พระสงฆ์เป็นผู้ปฎิบัติควรแล้ว และพระสงฆ์เป็นผู้ปฎิบัติเพื่อความรู้ในธรรมอันเป็นที่สุดของโลกนี้ แล้ว เป็นตัวอย่างที่ดี และเมื่อเราจะไปกราบไหว้พระอริยสงฆ์ตามวัดต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียง เราจะได้ย้อนถามตนเองอีกครั้ง หรือ อีกหลาย ๆครั้งว่า

ตอนนี้ เราทำตัวดีพอหรือยัง มีความซื่อตรงพอหรือยัง ทำตัวชอบด้วยคุณธรรมหรือไม่ และ ทำตัวให้รู้แจ้งยิ่งขึ้นในธรรมบ้างแล้วหรือยัง หากทำได้ครบ สิริมงคลที่แท้จริง ก็จะเกิดผลเต็มที่ในในขณะที่กราบไหว้บูชา พระสงฆ์เหล่านั้น








ที่มา: http://www.rak-sukapap.com/2016/09/blog-post_4.html

3/9/59








กล้วยจะทำให้ 8 โรคร้ายต่อไปนี้กลายเป็นเรื่องกล้วยๆ สมชื่อ ถ้ากินมันเป็นประจำ

1. โรคโลหิตจาง

        กล้วยเป็นผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูงมาก และธาตุเหล็กนี่ล่ะที่จะไม่กระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเม็ดเลือด ช่วยให้คนที่เป็นโรคโลหิตจางกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ..

2. โรคความดันโลหิตสูง

         กล้วยได้ชื่อว่ามีโพแทสเซียมสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ด้วยกัน จึงลดความดันได้ดีมากถึงขนาดที่องค์การอาหารของสหรัฐฯ โฆษณาให้ประชาชนที่เป็นโรคความดันทั้งหลายกินกล้วยให้มากๆ





3. โรคท้องผูก

          ท้องผูกเป็นเงื่อนตายของคุณจะถ่ายง่ายระบายคล่อง ถ้าได้ทานเส้นใยอาหารจากกล้วยมาเป็นตัวช่วยในการขับถ่าย

4. โรคซึมเศร้า

         อาการซึมเศร้ามักเกิดจากสารเคมีในสมองไม่สมดุล แต่จากการวิจัยพบว่ากล้วยมีโปรตีนชื่อ ไทรโพโตแฟน ที่จะกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนิน ซึ่งช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายออกมา คนที่กินกล้วยจึงอารมณ์ดีขึ้น เลิกซึมเศร้าเสียที

5. อาการเมาค้าง

         กล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้งคือยาแก้เมาที่ได้ผลที่สุด เพราะคนเมากระเพาะจะปั่นป่วนกว่ายามปกติ กล้วยนี่ล่ะจะทำให้กระเพาะสงบลง ส่วนน้ำตาลจากน้ำผึ้งก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ส่วนนมก็ปรับระดับของเหลวในร่างกายให้สมดุล คนเมาจึงรู้สึกสบายขึ้น

6. .โรคเสียดท้อง

         กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ ถ้าคนที่เป็นโรคเสียดท้องเพราะมีกรดเกินในกระเพาะได้กินกล้วยวันละผล จะรู้สึกได้เลยว่าท้องไส้เลิกร้องครวญครางเป็นปลิดทิ้ง






7. โรคลำไส้เป็นแผล

       แม้แต่หมอก็ยังแนะนำคนไข้ที่เป็นแผลในกระเพาะให้ทานกล้วย เพราะเนื้อที่นุ่มนิ่มของมันไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร และยังมีสรรพคุณเคลือบผนังลำไส้ ช่วยรักษาแผลให้หายได้เร็วขึ้นด้วย

8. เส้นเลือดฝอยแตก

      วารสาร "The New England Journal of Medicine" ตีพิมพ์ผลการวิจัยว่าการกินกล้วยเป็นประจำ สามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%










ที่มา: http://www.winnews.tv/news/7286









การทำบุญก็เหมือนการวางเป้าหมายหรือผังโครงการไว้ ให้เดินได้ถูก บางคนว่าทำบุญแล้วหวังผล แบบนั้นไม่ใช่ ถ้าไม่วางแผนหรือวางโครงการไว้ เดินไปก็ไม่มีทิศทาง เดินผิด เดินถูก เสียเวลาแน่นอน เพราะฉนั้นเวลาทำบุญทุกครั้งต้องอธิษฐานทุกครั้ง

ทำบุญแล้วขี้เกียจอธิษฐาน











ที่มา: http://www.winnews.tv/news/7154




ตำนานเทพทันใจ

ถึงแม้ประเทศพม่าจะเป็นประเทศที่ผู้คนมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามความเชื่อในเรื่องของการบูชาภูติผีวิญญาณก็ยังมีอยู่ควบคู่ในวิถีชีวิตของชาวพม่าอย่างแยกไม่ออก

"นัต" หรือวิญญาณเทพผู้คุ้มครอง ยังเป็นที่เคารพนับถือสืบเนื่องต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่ก่อนพุทธศาสนาจะเข้ามาในประเทศพม่าเสียอีก โดยเทพที่จะถูกจัดว่าเป็น "นัต" นั้น มักจะเป็นคนที่เคยสร้างความดี หรือมีวีรกรรมน่าประทับใจ และมาตายลงด้วยเหตุร้ายแรงที่เรียกว่า ตายโหง ทำให้วิญญาณยังมีความห่วงใยในภาระหน้าที่บ้านเมือง และยังคงผูกพันกับผู้คนเบื้องหลัง ทำให้ไม่อาจไปเกิดใหม่ได้ จึงกลายเป็นนัตที่มาคอยคุ้มครองรักษาบ้านเมือง หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่นพระเจดีย์องค์สำคัญ





ในสมัยพระเจ้าอนิรุธมหาราช หรือชาวพม่าเรียกว่า พระเจ้าอโนรธา แห่งอาณาจักรพุกาม เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 11 พระองค์ทรงรับพระพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์เข้ามาในดินแดนแถบนี้ แทนที่พุทธศาสนานิกายอารี ความเชื่อเดิมที่หย่อนในพระวินัย ผสมกับเรื่องราวทางไสยศาสตร์ และภูตผีปีศาจท้องถิ่นมากมาย นอกจากนี้ เพื่อเป็นการปฏิรูปศาสนา และความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนัตของประชาชนเสียใหม่ให้มีความสอดคล้องกัน และเพื่อเป็นการให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนามากขึ้น พระเจ้าอนิรุธได้ทรงรวบรวม นัตที่มีผู้คนนับถือมาก รวม 36 องค์ โดยจัดให้เป็นมหาคีรีนัต ยกให้เป็นเทพประจำราชอาณาจักร โดยให้มีนัตองค์ที่ 37 คือ ตัจจาเมงนัต หรือท้าวสักกะ พระอินทร์ผู้เป็นราชาแห่งเทพ และเป็นผู้คุ้มครองพระพุทธศาสนาให้เป็นผู้กำกับดูแลนัตทั้ง 36 องค์อีกต่อหนึ่ง เหตุการณ์ครั้งนี้อาจถือได้ว่าเป็นการจัดระเบียบเทพ และศาสนาในประเทศพม่าโดยพระราชาเมื่อกว่า 900 ปีมาแล้ว

นัตในประเทศพม่าที่รู้จักกันดีสำหรับชาวไทย คือ นัตโบโบจี แห่งวัดโบตะทาว หรือที่ชาวไทยเรียกขานกันว่า "เทพทันใจ" โดยชื่อของท่านมาจากการที่ท่านสามารถดลบันดาลโชคลาภให้กับผู้ที่เดือดร้อนที่เข้ามาขอพรกับท่านได้ผลสำเร็จทันใจนั่นเอง

การบูชาเทพทันใจ นิยมใช้มะพร้าว กล้วยนากสีแดง เป็นเครื่องบูชาเพราะเชื่อว่าเป็นผลไม้มงคล และเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามของชีวิต บางครั้งก็จะประกอบด้วยช่อใบไม้ที่เรียกว่า ใบชัยชนะ และฉัตร ตุงหรือธงกระดาษขนาดเล็ก ซึ่งก็เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคลอีกเช่นกัน






การอธิษฐานขอพรต่อเทพทันใจ มีเคล็ดลับว่าต้องขอเพียงข้อเดียวเท่านั้น นัยว่าเพื่อพลังกล้าแข็งในการถวายเครื่องเซ่น

หลังจากนั้น ให้ถวายธนบัตรเสียบไว้ที่มือของท่าน ซึ่งอยู่ในกิริยายืนชี้นิ้วไปข้างหน้า อยากจะถวายเท่าใดก็แล้วแต่ศรัทธา แต่ต้องให้มีจำนวนธนบัตรมากกว่า 1 ฉบับ หลังจากนั้นก็เข้าไปยืนให้หน้าผากของเราติดกับนิ้วมือของท่าน แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐานอีกครั้ง เพียงข้อเดียวเท่านั้น ห้ามเปลี่ยนใจ เสร็จแล้วจึงนำธนบัตรที่เราถวายไว้คืนกลับมา 1 ฉบับ เพื่อเอากลับไปเป็นเงินขวัญถุง ให้มีโชคมีลาภต่อไป นอกจากนี้ ผู้ดูแลศาลยังอาจจะให้เรานำกล้วยสุกที่คนมาถวายไว้ก่อนหน้านั้น เอาไปกินเพื่อเป็นศิริมงคลอีกด้วย

ตอนที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปสักการะเทพทันใจ มีคนรอต่อคิวเป็นจำนวนมากส่วนใหญ่ที่เห็นก็เป็นคนพม่า และคนไทย ฝรั่งหัวทองมีน้อยมาก ผู้เขียนไปกับบริษัททัวร์ ไกด์ก็ได้เตือนในรถก่อนไปไหว้เทพทันใจว่า เวลาไหว้ให้ขอพรอย่างเดียว เอาที่เป็นไปได้มากที่สุด และเวลาอธิษฐานเสร็จก็ให้ค่อยๆลืมตา อย่ารีบยกหัวขึ้น เพราะไกด์เล่าปนขำขันว่า เคยพากรุ๊ปทัวร์มาแต่ปรากฎว่าเทพทันใจปิดไม่ให้เข้าไปบูชาเนื่องจากคนขอพรเสร็จรีบยกหัวขึ้นทำให้นิ้วชี้ของเทพทันใจหัก เป็นอย่างนี้มา 2 ครั้งแล้ว เห็นว่าครั้งหลังนี่เค้าเลยเอาเหล็กเสริมเข้าไปในน้ิวท่านด้วย จะได้ทนทานไม่หักง่าย เรื่องที่เล่านี้จริงเท็จอย่างไรผู้เขียนไม่ขอยืนยันนะครับ







เชน ม่วงสกุล ผู้เรียบเรียง
ที่มา:https://www.gotoknow.org

2/9/59








การขอพรนั้นเป็นสิ่งที่ดีขอได้ทุกโอกาสและขอได้กับเทพหรือเทวดาทุกองค์ หรือแม้แต่พระพุทธรูปก็ตาม เมื่อปฏิบัติดีอยู่ในศีลด้วยความดี ตั้งใจมั่นศรัทธา ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้น

 เรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือ "พลังจิต" เพราะพลังจิตที่กล้าแกร่งมีสมาธิเป็นหนึ่งเดียวนั่นคือ แรงส่งมหาศาล ที่จะนำแรงสัจจะอธิษฐานในการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ได้ผลตามที่มุ่งหวัง ซึ่งขอให้เข้าใจเสียก่อนว่า พลังจิตที่เราใช้เป็นแรงส่งหรือเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นเพียงพลังส่งการไปขอพร ขออำนาจบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์





สำหรับในทางพลังของสิ่งศักดิ์สิทธ์ จะสถิตกับองค์พระพุทธรูป เจดีย์องค์พระสถูป หรือสิ่งก่อสร้างใดๆ ก็ตาม จะเริ่มจากจิตบริสุทธิ์ของผู้สร้าง หรือคนสร้าง ถ้าผู้สร้างเป็นระดับพรหม เทพ เทวดา ก็จะมีพลังมากเพราะท่านเป็นผู้มีบุญมากกว่ามนุษย์ เรียกว่ายิ่งผู้สร้างนั้นมีบุญมากเท่าใด พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์นั้นก็จะยิ่งมากตามไปด้วย เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอริยสงฆ์ก็จะยิ่งมากขึ้นด้วย ถ้าเป็นผู้มีบุญก็จะยิ่งมากกว่าคนธรรมดา

พลังที่เพิ่มเป็นส่วนที่สอง เพิ่มขึ้นด้วยจิตบริสุทธิ์ ด้วยบุญบารมีและการไหว้สักการะของคนที่มากราบไหว้ ด้วยจิตที่บริสุทธิ์มารวมกันเป็นจำนวนมาก และปวงพรหมเทพเทวา ท่านลงมาร่วมอนุโมทนาในบุญนั้น และที่สำคัญท่านจะช่วยปกปักรักษาองค์พระพุทธรูปที่บรรจุบุญบารมีนั้นไว้ตามอายุขัยของพรหมเทพเหล่านั้น

พระพุทธรูปนั้น ถ้าไม่มีการสักการบูชา ก็เป็นเพียงก้อนหิน ก้อนเหล็กธรรมดาเท่านั้น พลังที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนที่สาม มาจากมนต์คาถาอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ทุกอักษรนั้นมีพลังอำนาจบรรจุอยู่ ทุกบทสวดนั้นเป็นสิ่งที่ดี สวดแล้วดี สวดแล้วเป็นมงคลส่วนเรื่องการบนบานที่คนทั่วไปเมื่อไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นการขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย เมื่อสำเร็จแล้วมีการให้สิ่งตอบแทน ถือว่าติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์






เรื่องนี้ไม่แนะนำให้ทำ แต่แนะนำให้ตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) ให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ ที่สำคัญเมื่ออธิษฐานแล้วต้องสร้างเหตุให้ตรงกับที่อธิษฐานไว้เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว สิ่งที่อธิษฐานจะสัมฤทธิ์ผลแล้วไม่ การตั้งจิตอธิษฐานนั้น เหมือนการล็อคเป้าหมายที่เราอยากได้ อยากเป็น อยากมี ซึ่งเป็นผลและยังไม่เกิด สิ่งที่ทำให้เกิดนั้น คือ เหตุ ที่มาจากการทำกรรมดี เมื่อถึงเวลาส่งผลนั้นจะทำให้คนผู้นั้นได้รับในสิ่งที่ตนเองปรารถนา ขอให้เข้าใจก่อนว่า การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ท่านจะช่วยอวยพร ให้พรแก่ผู้ทำกรรมดีเท่านั้น ช่วยดลใจให้ทำกรรมดี

เพื่อให้ผลนั้นออกมาเร็วตามที่ใจปรารถนา ไม่ได้สั่งให้กรรมดีนั้นออกผลเร็ว เพราะกรรมนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีอำนาจพอจะสั่งได้ สิ่งที่สั่งและควบคุมไว้คือ กฎแห่งกรรม ที่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎ ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว และทั้งกรรมดีและไม่ดีจะส่งผลเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ควรบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า ด้วย อามิสบูชา (ดอกไม้ ธูป เทียน ฯลฯ) และจะเป็นการบูชาที่ดีที่สุด ต้องบูชาด้วยการปฏิบัติบูชา คือ บูชาด้วยการปฎิบัติ ให้ทาน ถือศิล ภาวนารวมทั้งการทำความดีต่างๆโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างถูกต้อง และขอพึ่งบุญท่านดลบันดาลให้สัมฤทธิ์ผลได้ดังใจปรารถนา

การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้บรรลุผลนั้น เกือบทุกท่านที่กราบไหว้ มักจะบนบานหรือพยายามติดสินบนแทนที่จะไปขอพร ขอบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านช่วยเหลือซึ่งเรื่องนี้ต้องเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องแล้วท่านจะได้พรจากท่าน ได้บุญมาเพิ่มเพื่อให้ท่าน ได้มีบุญมากพอที่จะผ่านวันเวลาและเรื่องที่ร้ายๆ ในชีวิตไปได้

การขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบันดาลให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องขออย่างมีสติ ต้องประกาศตัวเองก่อนว่าเราคือใคร มีศีลอะไร มีความดีอะไร ด้วยความดีเหล่านั้น ก็ขอให้เป็นกำลังใจให้เราสร้างความดีต่อไป

การขอพรนั้นเป็นสิ่งที่ดีขอได้ทุกโอกาสและขอได้กับเทพหรือเทวดาทุกองค์ หรือแม้แต่พระพุทธรูปก็ตาม เมื่อปฏิบัติดีอยู่ในศีลด้วยความดี ตั้งใจมั่นศรัทธา ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับเรา












ที่มา:sanook

1/9/59








ดังคำกล่าวที่ว่า "อย่าดูถูกงูพิษ ว่าตัวเล็ก"วันนี้แม้เป็นสามเณรอายุยังน้อย แต่เมื่อมีโอกาสได้ขึ้นเทศน์ เล่นเอาญาติโยมอดใจไม่ไหว ติดกันเทศน์กันหลายเลยงานนี้









ที่มา:http://www.winnews.tv/news/620


อดีตในวัยเยาว์ของ "ครูบาชัยวงศา" ท่านเกิดในครอบครัวชาวไร่ชาวนายากจนเคย"ขอทาน" เพื่อหาเงินเลี้ยงดูโยมบิดามารดาและน้องอีก ๙ คน พอโตขึ้นมาก็ถูกเพื่อนลูกศิษย์ด้วยกันกลั่นแกล้ง...เอาน้ำรักใส่ที่นอน จนหลังเน่าเปื่อยทนทุกข์เวทนาอย่างสาหัส... เมื่อเรียนหนังสือก็ถูกครูใช้สันขวานเคาะศีรษะและทุบตีจนเนื้อแตก...ในยามนอนก็ถูกเพื่อนเอาทรายกรอกปาก เอาน้ำราดหัว เอากระโถนน้ำมูตรคูถมาวางตรงหน้าขณะกินข้าว...

เมื่อครั้งที่ครูบาชัยวงศายังเป็นสามเณรน้อยได้เดินธุดงค์มากับครูบาก๋า มาพบ "วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม" สามเณรน้อย (ครูบาชัยวงศา) ได้เคยถามครูบาก๋าถึงการปฎิสังขรณ์วัดนี้ ได้รับคำตอบว่า "ไม่ใช่หน้าที่ของท่านเอง" และได้ชี้มือไปที่ตัวสามเณร (ครูบาชัยวงศา) แล้วบอกว่า "ต่อไปเณรน้อยจะได้มาเป็นผู้สร้างวัดนี้"





ซึ่งเรื่องนี้ได้ไปตรงกับข้อมูลที่ได้จากคำพูดของ "ครูบาศรีวิชัย" เช่นกัน...เมื่อครั้งที่ได้มีชาวบ้านไปนิมนต์ครูบาศรีวิชัยให้มาบูรณะวัดนี้ ท่านก็ได้ปฏิเสธกับชาวบ้านว่า "ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน เป็นหน้าที่ของครูบาชัยวงศา" จึงแนะให้ชาวบ้านไปนิมนต์มาซึ่งขณะนั้นครูบาชัยวงศายังเป็นสามเณรอยู่

ครูบาชัยวงศาท่านเป็น "พระพุทธเจ้าน้อยของชาวกะเหรี่ยง" เมื่อครั้งที่ชาวบ้านได้ขุดพบศิลาจารึก ที่มีตัวอักษรล้านนาไทยเขียนไว้ด้วยประโยคสั้นๆว่า "ผู้ที่จะสร้างวัดนี้คือพระพุทธเจ้าน้อย ซึ่งจะเริ่มมาสร้างปี.... ตอนนี้อยู่ที่.... เกิดที่.... จะเป็นผู้มาสร้าง" ซึ่งก็เป็นความจริงตามในศิลาจารึกแผ่นนั้นทุกประการ...ขณะนั้นครูบาชัยวงศาได้รับการยกย่องจากชาวเขา ให้เป็นพระพุทธเจ้าน้อยอยู่ก่อนแล้ว แม้แต่สถานที่อยู่ สถานที่เกิด ก็ตรงกับทิศทางที่ศิลาจารึกบอกทุกประการ...ด้วยเหตุนี้บรรดาชาวบ้าน ตลอดจนนายอำเภอจึงไปนิมนต์ครูบาชัยวงศามาสร้างและบูรณะวัดพระพุทธบาทห้วยต้มตั้งแต่นั้นมา

พระผู้เป็นที่พึ่งของ "ชาวกะเหรี่ยง"

ครูบาชัยวงศาได้มาจำพรรษาที่วัดพระบาทห้วยต้ม เมื่อมีอายุได้ ๓๓ ปี ระยะแรกที่มาอยู่ บรรดากะเหรี่ยงได้ติดตามท่านมาไม่มากนัก จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๔ บรรดากะเหรี่ยงทั้งหมดจึงพากันอพยพมาอยู่เป็นหมู่บ้านถึง ๖๐๐ หลังคาเรือน ๓,๐๐๐ กว่าคน ทุกคนกินอาหารมังสวิรัติ ตามครูบาชัยวงศา ซึ่งได้ชี้ให้เห็นโทษการกินเนื้อสัตว์ หันมากินข้าวเหนียวจิ้มพริกกับเกลือและผักต้มแทน แต่เดิมชาวเขาเหล่านี้ไม่เคยเห็นพระสงฆ์ ต่างกลัวกันมากเมื่อเห็นครูบาชัยวงศาเดินมา ต่างรีบอุ้มลูกจูงหลานหนีเข้าบ้าน

พวกผู้ชายที่ใจกล้าก็เข้ามาพูดคุยกับท่านมาซักถาม บ้างก็เอามือลูบหัวท่านเล่น แล้วเรียกท่านว่า "เสี่ยว" เพราะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธจึงไม่รู้จักพระสงฆ์






ต่อมา ครูบาชัยวงศาได้ใช้กุศโลบาย ค่อยๆ ตะล่อมสอนชาวเขาเหล่านี้ ให้เลิกยึดถือประเพณีบูชาผีสางนางไม้ ให้หันมาเลื่อมใสในข้อธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยปูพื้นและวางหลักเกณฑ์ในการยึดถือพระพุทธศาสนาให้ถึงแก่นและกระพี้

ให้เลิกละการเบียดเบียนรังแกสัตว์ เพียงเพื่อสนองความสุขของตัว ชาวเขาถามครูบาชัยวงศาว่า โกนหัวและห่มผ้าเหลืองทำไม ท่านได้เมตตาอธิบายให้ฟังว่า ท่านเป็นพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเครื่องซักฟอกชำระจิตใจ ไม่เบียดเบียนผู้ใด จึงต้องนุ่งห่มผ้าย้อมฝาด ปฏิบัติตัวอยู่ในพระธรรมวินัยที่พระบรมศาสดากำหนดไว้อย่างเคร่งครัด





พระผู้ทำให้ชาวกะเหรี่ยงกินอาหาร "มังสวิรัติ" ทั้งหมู่บ้าน

ชาวเขาได้ฟังคำสั่งสอนของครูบาชัยวงศาก็ศรัทธาเลื่อมใส ต่างพากันนำอาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์มาถวาย ครูบาชัยวงศาก็หยิบเฉพาะผักฉันโดยไม่หยิบเนื้อสัตว์เลย ชาวเขาสงสัยจึงถาม ท่านครูบาชัยวงศาจึงถือโอกาสสั่งสอน ให้ชาวเขาสำนึกในกฎแห่งกรรม สำนึกในความมีเมตตาต่อสัตว์โลกว่า

"...ทุกคนย่อมรักตัวกลัวตาย สัตว์ที่เราล่ามาทำอาหาร ก็มีความกลัวตาย ถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์ ก็จะไม่มีการฆ่า ไม่มีการเบียดเบียนให้เป็นกรรมติดตัวไป...ที่เกิดมาเป็นชาวเขา ต้องพบความลำบากก็เนื่องจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนี่แหละจงอย่าสร้างกรรมเพิ่ม ด้วยการกินเนื้อเขาอีกเลย..."

ชาวเขาฟังแล้วก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า ตั้งใจมั่นเลิกกินเนื้อสัตว์ แต่นั้นมาหันมากินอาหารมังสวิรัติแทน โดยหาผักหาหญ้า หัวเผือกหัวมัน พริกกับเกลือแทนเนื้อสัตว์ จนเป็นที่โจษขานกันทั่วไป ถึงความสามารถของครูบาชัยวงศาในการขัดเกลาจิตใจชาวเขาเหล่านี้ ซึ่งแต่เดิมชอบประพฤติตัวเกเร ชอบกินเหล้าอาละวาด สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติอย่างมาก

นับเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลอย่างมหาศาล เนื่องจากชาวเขาเหล่านี้เป็นชนกลุ่มน้อย ที่สร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองตลอดมา ในการตกเป็นเครื่องมือของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่คอยซุ่มโจมตีทหารรัฐบาลในป่าลึก








ครูบาชัยวงศาได้ให้เหตุผลที่จะดึง และโน้มน้าวจิตใจชาวเขาเหล่านี้ว่า "ผู้ที่เกิดมาเป็นชาวเขานั้น แต่ชาติปางก่อนได้สร้างกุศลมาไม่ดี จึงต้องเกิดมาเป็นชาวเขา ถ้าทำให้เขาละการสร้างเวรให้กับตัวเขาก็จะได้กุศลที่ดีเป็นคนดีของประเทศชาติ ไม่มีปัญหาต่อชาติต่อไป..."

ด้วยขันติบารมีการวางเฉย ด้วยใจที่ให้อภัยต่อสัตว์โลก ครูบาชัยวงศา จึงได้รับการยกย่องจากชาวเขาเผ่าต่างๆ ให้เป็น ครูบา ผู้เปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง และด้วยอำนาจความเพียรพยายามทางจิต ท่านครูบาชัยวงศา คือผู้หนึ่งที่เทพยดาฟ้าดินให้ความเมตตาอภิบาลรักษาคุ้มครองป้องกันเพื่อให้ท่านได้กระทำความดี สร้างบารมีเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ ด้วยจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ในอนาคตข้างหน้า นั่นคือแทนแห่งพุทธภูมิ...





เป็นกำลังสำคัญสร้างทางขึ้น "ดอยสุเทพ"

ครูบาชัยวงศาได้ไปร่วมแรงร่วมใจกับครูบาขาวปี ช่วยครูบาศรีวิชัยทำงานในด้านต่างๆ ทั้งงานศาสนาและงานสาธารณประโยชน์ ทั้งที่ได้รับอุปสรรคนานัปการ โดยเฉพาะอุปสรรคในการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพร่วมกับครูบาศรีวิชัย โดยครูบาชัยวงศาและครูบาขาวปี เป็นผู้รับผิดชอบและควบคุมในการสร้างทางคนละครึ่ง ครูบาขาวปีรับผิดชอบควบคุมช่วงล่างตั้งแต่วัดศรีโสดาถึงวัดสกิทาคามี (วัดนี้ถูกรื้อไปแล้ว) ส่วนครูบาชัยวงศารับช่วงตั้งแต่วัดสกิทาคามี และสร้างวัดอนาคามี (ซึ่งขณะนี้ทรุดโทรมและถูกรื้อไปแล้ว) ไปจนถึงทางขึ้นดอยสุเทพ


ในขณะสร้างทางได้รับความลำบากทุกข์เวทนาอย่างสาหัส เนื่องจากถูกกลั่นแกล้งจากตำรวจหลวงและพระสงฆ์ที่ไม่เข้าใจในเจตนามุ่งมั่นอันแท้จริงของครูบาศรีวิชัย คอยจับสึกอยู่เสมอ การดำเนินการก่อสร้างจึงต้องลงมือเมื่อพระอาทิตย์ล่วงลับไปเสียก่อน และต้องหาที่หลบซ่อนเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าของวันใหม่ งานสร้างทางตอนเริ่มแรกมีชาวบ้านมาช่วยงานไม่มากเท่าไร แต่นานไปก็ได้มีพวกชาวกะเหรี่ยงและชาวบ้านในหลายตำบล หลายหมู่บ้าน พากันมาลงแรงร่วมใจอย่างมากมาย ด้วยความศรัทธาและเต็มใจ จนในที่สุดการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพก็สำเร็จลุล่วงได้


ออกธุดงค์ในป่าลึก "บิณฑบาตข้าวเทวดา"

การออกธุดงค์ส่วนใหญ่จะเป็นป่าลึกปราศจากผู้คน จึงไม่มีใครมาใส่บาตร มีแต่ผีป่านางไม้เท่านั้นที่ลงมาใส่บาตร เรื่องนี้เป็นคำบอกเล่าของครูบาชัยวงศา ที่เคยเล่าไว้กับลูกศิษย์ของท่านว่า

"...การอยู่ในป่าลึกที่เต็มไปด้วยอมนุษย์และสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่ การบำเพ็ญเพียรทางจิตให้กล้าแข็งเต็มไปด้วย พลังเมตตาต่อสัตว์โลกแล้วจะไม่อดตาย เพราะผีป่านางไม้จะนำเอาอาหารทิพย์มาให้และอภิบาลรักษา ครั้งหนึ่งขณะที่ครูบาชัยวงศากำลังทำความเพียรทางจิต ไม่มีเวลาไปหาพืชป่ามาฉัน ท่านจึงนำบาตรเปล่าไปตั้งไว้ที่โคนต้นไม้ จากนั้นได้มานั่งภาวนาพิจารณาธรรมต่อไปจนออกจากสมาธิ เมื่อได้เวลาฉันเพล เมื่อท่านได้เดินไปที่บาตร ปรากฏมีข้าวสีเหลืองมีกลิ่นหอมเต็มอยู่ในบาตร บางวันก็มีดอกไม้ป่าใส่มาด้วย..."

บ่อบครั้งที่ครูบาชัยวงศาต้องออกธุดงค์ไปถึงเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ เวลานั่งบำเพ็ญเพียรทางจิต ต้องก่อไฟไว้เพื่อสร้างความอบอุ่น มีอยู่ครั้งหนึ่งไฟที่ก่อได้ลุกลามมาติดจีวร ตั้งแต่ชายจีวรจนถึงหน้าอกแล้วท่านยังไม่รู้ตัวจนกระทั่งออกจากสมาธิ จึงได้พบว่าเปลวไฟกำลังเลียเนื้อหนังของท่านอยู่

ขณะที่มาปกครองวัดพระบาทห้วยต้มในระยะแรกๆ ครูบาชัยวงศาก็ยังออกธุดงค์ไปบำเพ็ญเพียรทางจิตในที่ต่างๆ อยู่เสมอ ทั้งที่หนทางก็กันดารลำบากยากเข็ญ ต้องผจญกับไข้ป่าและธรรมชาติ เครื่องอัฐบริขารก็มีไม่ครบ เวลาเจอพายุฝนก็ต้องภาวนากันใต้ต้นไม้ใหญ่ นั่งตากพายุจนเปียกปอนอยู่เสมอ การผจญกับความลำบากเป็นเสมือนหนึ่งหินลับมีด ยิ่งลำบากเท่าไร ก็เท่ากับได้มีโอกาสลับมีดให้คม พร้อมที่จะเชือดเฉือนสรรพสิ่งได้ทันท่วงทีฉันนั้น "ครูบาชัยวงศา" ท่านเป็นยอดแห่งความอดทนมาตั้งแต่เล็ก ยากที่จะหาใครเทียบเท่าได้...







ที่มา:http://dhammawijja.blogspot.com/2016/02/blog-post_35.html






สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา ตั้ม เดอะสตาร์ ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว กรณีกระแสที่ว่าทิ้งลูกเมียไปติดพริตตี้สาว ทำเอาหลายคนในวงการบันเทิงจับตามอง ด้ายหนุ่มตั้งก็ออกมายอมรับจริงว่า ตอนนี้หมดรักภรรยาแล้ว แต่ยังรู้สึกดีในฐานะแม่ของลูก พร้อมกล่าวขอโทษทุกคนที่ทำให้เสียใจ พร้อมจะยอมรับผิดทุกอย่าง






ด้านต๊ะ นารากร ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊คส่วนตัวพูดถึงเรื่องดังกล่าวด้วย ระบุว่า

อ่านข่าว ตั้มเดอะสตาร์10 แถลงเลิกกับเมียที่มีลูกเล็กๆด้วยกัน 2 คน แล้วอารมณ์ขึ้น ขอแสดงความเห็นหน่อย

ตั้มบอกว่า ความรักของผมมันจืดจางลง ยอมรับว่าเคยมีผู้หญิงอื่นจริง เท่านั้นยังไม่พอ ตั้มยังพูดต่อว่า ถึงจะเป็นสามีที่ดีไม่ได้ แต่ผมจะพยายามเป็นพ่อที่ดี โห!!! น้อง ใครเขียนบทให้พูดจ๊ะ การนอกใจเมีย การปล่อยให้เมียดูแลลูกที่ป่วยทั้ง 2 คนอยู่คนเดียวโดยพ่อไม่เหลียวแล. พูดเท่าไหร่ก็เป็นพ่อที่ดีไม่ได้หรอกจ๊ะ. ทำสิคะทำ. ทำให้เห็นว่าตั้มเป็นลูกผู้ชายจริงๆ ถ้าทำไม่ได้ทีหลังอย่าลืมใส่ถุงยางนะจ๊ะ หรือให้ชัวร์ทำหมันเลยนะน้อง ปล.ภาพประกอบขอยืมจากข่าวในเฟส








ที่มา:http://www.siamdrama.com/view-838.html

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget