13/10/60






คนที่ชอบนอนดึกและตื่นสาย มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า ซึ่งเป็นความเชื่อมโยงที่อาจมีความเสี่ยงโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประเภท 2 เนื่องจากทั้งสองโรคมีความเกี่ยวพันกันอยู่แล้ว

การศึกษาครั้งใหม่ที่จัดขึ้นในสัปดาห์นี้ ที่การประชุมประจำปีของสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งออร์ลันโด ได้วิเคราะห์แบบสอบถามจากประชากรในเรื่องของอารมณ์, คุณภาพการนอนหลับ และความพอใจในเรื่องของเวลา จาก 476 คนในชิคาโกและประเทศไทยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน (นักวิจัยต้องการหาความแตกต่างจาก 2 ทวีป เพราะเวลาของการนอนหลับที่แตกต่างกัน) ผลการวิจัยนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากภาวะซึมเศร้าเป็นเรื่องปกติในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่ง Sirimon Reutrakul, MD, รองศาสตราจารย์ คณะแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ประเทศไทย กล่าวว่า นอกจากนี้ภาวะซึมเศร้าที่ไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ จึงทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆตามมามากมาย




แต่อย่างไรก็ตามการศึกษานี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์และผลกระทบได้ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เวลากับโรคซึมเศร้านั้นมีความเกี่ยวข้องกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เธอกล่าวว่าข้อค้นพบนี้สนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างนาฬิกาชีวิตของร่างกายมนุษย์ และจิตวิทยาในคนที่เป็นโรคเบาหวาน การเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้ อาจช่วยให้แพทย์พัฒนากลยุทธ์ในการดูแลสุขภาพกายและใจให้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ ตัวอย่างเช่นการศึกษาในอนาคต สามารถรักษาความสมดุลของนาฬิกาชีวภาค เหมือนการรักษาด้วยแสงและ melatonin (ตัวควบคุมนาฬิกาชีวิตในร่างกายของเรา) อาจเป็นประโยชน์ในการรักษาอาการซึมเศร้าได้

“ฉันคิดว่าทุกคนมีเวลาของตัวเอง และไม่คิดว่าการเข้านอนไวจะช่วยให้อาการดังกล่าวหายไปได้”

แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เธอคิดว่าผู้ที่เป็นโรคเบาหวานเพียงแค่ต้องตระหนักถึงความสัมพันธ์ของช่วงเวลาชีวิต ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงสำหรับภาวะซึมเศร้า

การศึกษายังพบว่าคุณภาพของการนอนหลับที่ย่ำแย่ก็ส่งผลต่อร่างกายในเรื่องของกับอาการซึมเศร้ามากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนนอนดึกควรปรับเวลาการนอนซะใหม่ “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การนอนหลับอย่างเพียงพอก็ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีและมีประโยชน์กับคุณภาพชีวิตของคุณ” เธอกล่าว










ที่มา: https://www.health-th.com

12/10/60






เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ทีมงานสยามนิวส์นำมาฝากทุกคน เพราะเป็นประโยชน์อย่างมากกับผู้ป่วยเป็นโรคร้ายเช่น มะเร็ง ต่อมไทรอยด์ ทุกวันนี้คนกลัว มะเร็งยิ่งกว่าโรคอื่นซะอีกเพราะมันทรมารมาก และน่ากลัว แต่บังเอิญที่อ่านเจอเรื่องราวนี้ก็เลยเอามาฝากทุกคนใครอยากรู้ว่าเพราะอะไรทำไมหญิงสาวคนนี้ถึงหายจากโรคมะเร็งตามซาลาเปามาทางนี้เลย

แคนดีสถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ระยะที่ 4 ชนิดพาพิลลารีและอาจอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี เธอได้รับคำแนะนำให้ผ่าก้อนเนื้อออกเพื่อต่ออายุให้นานขึ้น ทว่าการผ่าตัดไม่ประสบความสำเร็จแถมมะเร็งก็ยังลุกลามไปที่ลำคอและตับของเธอด้วย แคนดีสต่อต้านการทำเคมีบำบัดอย่างหนักแน่นเนื่องจากเธอมองว่าการรักษาด้วยวิธีนี้เป็นสาเหตุทำให้เพื่อนและญาติของเธอเสียชีวิต (อายุ 31 ปีและ 13 ปีตามลำดับ) ดังนั้นแคนดีสจึงตัดสินใจเลือกการรักษาแบบเชิงรุกเพื่อต่อสู้กับโรคร้ายนี้

เริ่มจากขั้นตอนแรกแคนดีสได้เลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่มเหล้า และเลิกใช้เครื่องสำอางรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารเคมีอื่นๆ นอกจากนี้เธอยังลาออกจากงานและเลิกรากับสามีที่ไม่ให้กำลังใจเธอด้วย ขณะเดียวกันแคนดีสก็เริ่มฝึกโยคะ เปลี่ยนวิธีคิดเป็นเชิงบวก และฝึกสมาธิ รวมถึงหันมารับประทานอาหารเจ เธอเชื่อว่าการงดเนื้อสัตว์จะทำให้ร่างกายมีกำลังในการต่อสู้กับโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น




ประเด็นคือเนื้อสัตว์มีโปรตีนซึ่งเป็นอาหารของมะเร็งและใช้เวลาในการย่อยนานมาก ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยที่ยังรับประทานเนื้อสัตว์จึงไม่หายจากโรคมะเร็งเนื่องจากร่างกายจะใช้พลังงานในการย่อยโปรตีนสัตว์ที่ซับซ้อนแทนที่จะไปต่อสู้กับมะเร็ง


อาวุธลับในการต่อสู้กับโรคมะเร็งของแคนดีสคือสับปะรด ผลไม้เขตร้อนชนิดนี้อุดมไปด้วยโบรมีเลนซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบยิ่งไปกว่านั้นมันจะช่วยเพิ่มปริมาณเซลล์ที่ทำหน้าที่สังหารเซลล์มะเร็งอีกด้วย แคนดีสจะดื่มน้ำสับปะรดวันละ 3 แก้ว


นอกจากนี้ยังผสมกีวี กล้วย มะนาว เกรปฟรุต มะละกอ และแอปเปิ้ลด้วย และเพียงหกเดือนหลังจากที่เธอรับประทานอาหารสูตรใหม่นี้ โรคมะเร็งระยะที่ 4 ของเธอก็อันตรธานหายไป

ระดับไทโรโกลบูลินของแคนดีส (โปรตีนที่เกิดจากเซลล์มะเร็ง) ลดลงจาก 13 เหลือ 0.7 นาโนแกรมต่อมิลลิลิตร ต่อมาอีกห้าปีก็ลดลงอีกจนเหลือ 0.02 ซึ่งสูงกว่าระดับของคนที่มีสุขภาพปกติเพียง 0.01 เท่านั้น

เป็นไงกันบ้างค่ะ กับเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อแต่มันเป็นไปแล้ว พึ่งรู้เหมือนกันว่าสับปะรดต้านโรคมะเร็ง ฝากกันเลยก็แล้วกันนะครับ ใครที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายนี้อยู่ คนที่ไม่เป็นก็กินได้นะครับ ต้านไว้จะได้ไม่ต้องเป็น











ที่มา: www.siamnews.com





พบเด็ก 9 ขวบ ถูกแม่และพ่อเลี้ยงทำร้ายร่างกายต้องหนีจากบ้านมาอาศัยหน้าเซเว่นอีเลฟเว่นกบินทร์บุรี

หน่วยกู้ภัยสัจจะพุทธรรมแห่งประเทศไทย (อ.กบินทร์บุรี) ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ว่าพบเด็กชายถูกทิ้งให้อยู่หน้าเซเว่นกบินทร์บุรี 2 วันแล้ว จึงไปรับตัวส่งรพ.กบินทร์บุรี เป็นการด่วน หลังจากได้รับการให้น้ำเกลือแล้วเด็กยังมีอาการอ่อนเพลีย เบื้องต้นทราบชื่อน้องเก่ง (นามสมมุติ) อายุ 9 ขวบหรือ ด.ช.พชร นักเรียนชั้นป.3 โรงเรียนแห่งหนึ่ง อาศัยอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง ที่บ้านเช่าในเทศบาลตำบลกบินทร์บุรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี

น้องเก่ง เล่าว่า ตนเองออกจากบ้านมาตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.2560 ที่ผ่านมา เนื่องจากพ่อเลี้ยงกับแม่และพี่ทุบตี ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน จึงอาศัยหลับนอนข้างเซเว่นจนร่างกายอ่อนเพลีย กระทั่งเจ้ารับแจ้งและรับตัวมาส่งที่โรงพยาบาล




นายวัลลภ ประวัติวงศ์ นายอำเภอกบินทร์บุรี ได้เดินทางมาดูและสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งน้องเก่งพูดเหมือนเดิมว่าตัวเองถูกพ่อแม่ทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยครั้ง จึงต้องหนีออกจากบ้านหาอยู่ตามที่ต่างๆ นายวัลลภ จึงติดต่อไปยังผู้ใหญ่บ้าน ให้ช่วยติดตามพ่อแม่ของน้องให้มาที่โรงพยาบาลด่วน ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงพ่อแม่ของน้องเก่ง ได้มาหาลูกชายที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้และได้สอบถามลูก

โดยเจ้าหน้าที่ได้รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ข้อสรุปว่า ทางผู้ปกครองไม่พร้อมที่จะรับเลี้ยงดูแลลูกได้ จึงต้องทำเรื่องให้บ้านพักเด็ก รับไปดูแลชั่วคราวก่อนจนกว่าจะพร้อม สำหรับผู้ใจบุญ ต้องการจะช่วยเหลือน้องเก่ง สามารถติดผ่านมาได้ที่ นางณิชาภา ทิพยาภรณ์ รองนายกเทศมนตรีเทศบาลกบินทร์บุรีหมายเลขโทรศัพท์ 086-991-7407










ที่มา: http://news.sanook.com/3838446/

11/10/60






เมื่อเวลา 01.30 น วันที่ 10 ต.ค. ร.ต.ท.เสนีย์ พาชอบ รองสว.สอบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งเกิดเหตุเพลิงไหม้โบสถ์วัดช่างทอง ต.เกาะเรียน อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมประสานนายศักราช อัมวงษ์ นายกอบต.เกาะเรียน นำรถดับเพลิงจาก อบต.เกาะเรียน อบต.บ้านหว้า เทศบาลตำบลบ้านกรด สมาคมอยุธยารวมใจ ไปควบคุมเพลิง




พบเพลิงกำลังลุกไหม้บริเวณโต๊ะหมู่บูชาฐานรองพระประธาน กลุ่มควันจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากโบสถ์ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเร่งระดมฉีดน้ำเพื่อควบคุมเพลิง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ พบว่าโต๊ะหมู่บูชาฝังมุกขนาดใหญ่ถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้งหมด พัดลมตั้งโต๊ะ โคมไฟ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหาย ส่วนพระประธานและพระพุทธรูปหมู่พระประธานไม่ได้รับความเสียหาย โดยพบว่าพระพุทธรูปปางมารวิชัย เนื้อทองเหลืองที่ตั้งด้านหน้าพระประธาน มีสีดำจากดวงตาของพระพุทธรูปไหลออกมาคล้ายคราบน้ำตาไหลลงมาเป้นทางจนถึงคาง เป็นที่แปลกประหลาดจากพระพุทธรูปองค์อื่นบนฐานองค์พระประธานที่ไม่พบลักษณะเหมือนคราบน้ำตาไหลออกมาเช่นนี้

สอบสวนนายกฤษณะ รักเมือง อายุ 52 ปี ชาวบ้านที่อยู่ใกล้กับวัด ทราบว่า ตนเองนอนพักผ่อนอยู่ในบ้าน มีวัยรุ่นมาตะโกนเรียกหน้าบ้านบอกว่าเห็นแสงเพลิงกำลังลุกไหม้ภายในโบสถ์ ตนจึงรีบออกไปดูเห็นว่าไฟกำลังลุกไหม้อยู่ในโบสถ์จึงรีบไปเรียกพระครูพิชัย เดชารักษ์ อายุ 65 ปี เจ้าอาวาสวัดช่างทอง และเจ้าคณะตำบลเกาะเรียน พร้อมกับแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยกันดับไฟ


พระครูวิชัย เปิดเผยว่า โบสถ์หลังนี้มีการสร้างการบูรณะเมื่อปี พศ.2493 และถูกน้ำท่วมเสียหายเมื่อปี 2554 จนต้องมีการยกพื้นในตัวโบสถ์ให้สูงขึ้น อยู่ระหว่างการบูรณะภาพจิตรกรรมฝาผนัง ได้จ้างช่างมาวาดภาพ จิตรกรรมฝาผนัง มาเป็นเวลาร่วมปีแล้ว ช่างจะมานอนพักอยู่ในโบสถ์ แต่วันนี้ไม่เห็นช่างมาเขียนฝาผนัง ช่วงเย็นพระในวัดกวาดลานโบสถ์ตัดหญ้า ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ไม่มีการจุดธูปเทียนทิ้งเอาไว้ โดยมูลค่าความเสียหายประมาณ 2 ล้านบาท


ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการเรียกพยานที่เห็นเหตุการณ์มาทำการสอบสวน พร้อมทั้งประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาทำการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุของการเกิดเหตุเพลิงไหม้











ที่มา: https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_560504





วันนี้ (10 ต.ค. 60) ในโลกออนไลน์ผู้คนจำนวนมาก ได้พากันส่งต่อเรื่องราวสุดประทับใจจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Saran Wiki ที่ได้มีการโพสต์ภาพและข้อความบอกเล่า ถึงสาเหตุที่ หลวงพ่อเกษม เขมโก พระเกจิชื่อดังของไทย มักจะพับธนบัตรเป็นประจำ  โดยระบุว่า

เรื่องพับแบงก์นี้ หลวงพ่อเกษม ท่านต้องการที่จะรักษาด้านที่เป็นกษัตริย์ไว้ โดยที่ท่านพับด้านนี้เข้าข้างใน เพราะท่านไม่ต้องการให้กษัตริย์ต้องหม่นหมอง พับไม่ให้เสียหาย ตกหล่น เสียหาย ท่านว่า “บุญบารมีของในหลวง (รัชกาลที่ ๙) สูง”


หลวงพ่อเกษม เขมโก
สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง

ทั้งนี้นอกจากผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวได้มีการเผยแพร่เรื่องสุดประทับใจแล้ว เว็บไซต์ welovemyking.com ก็ได้มีการเผยแพร่เรื่องราวตอนหนึ่ง เมื่อครั้ง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสถาม หลวงพ่อเกษม ถึง “อดีตชาติของพระองค์คืออะไร..?”

ระหว่างที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงตัดลูกนิมิตที่วัดคะตึกเชียงมั่น อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เมื่อปี พ.ศ.2521 โดยทรงมีพระราชปฏิสันถารและพระราชปุจฉาวิสัชนาธรรมกับ “หลวงพ่อเกษม เขมโก” “พระอินทรวิชยาจารย์” และ “พระครูปลัดจันทร์ กตปุญโญ” ซึ่งเป็นผู้บันทึกพระราชปุจฉาวิสัชนาธรรมครั้งนี้เอาไว้ ดังนี้




พระราชปุจฉาวิสัชนาธรรมดังกล่าวมีเนื้อหาบางส่วนความว่า

ในหลวง : ที่หลวงพ่อว่า มีศีลบริสุทธิ์ ชาติก่อนทำบุญไว้มาก … อยากทราบว่า ผมเกิดเป็นอะไร ได้ทำอะไรไว้บ้าง จึงได้มาเป็นอย่างนี้?

หลวงพ่อเกษม : (ยิ้มและนิ่ง หันมาทางพระครูปลัดจันทร์ กตปุญโญ ซึ่งเป็นผู้บันทึก แล้วจึงตอบว่า) ตอบยาก!

พระครูปลัดจันทร์ : ขอถวายพระพร … หลวงพ่อไม่อาจจะพยากรณ์ถวายมหาบพิตรได้

เจ้าคุณพระอินทรวิชยาจารย์ : หลวงพ่ออาจจะเกรงพระราชหฤทัยมหาบพิตรก็ได้ … ขอถวายพระพร

ในหลวง : หลวงพ่อไม่ต้องเกรงใจว่าเป็นพระราชา … ขอให้ถือว่าสนทนาธรรมก็แล้วกัน ยินดีรับฟัง มีคนพูดกันว่า ชาติก่อนผมเกิดเป็นนักรบ มีบริวารมาก ถ้าเป็นอย่างนั้น ศีลห้าจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร? การเป็นนักรบนั้นจะต้องได้ฆ่าคน … สงสัยอยู่?

หลวงพ่อเกษม : (หันมากระซิบกับพระครูปลัดจันทร์ว่า) เอ… ใครทำนายถวายท่านอย่างนั้นก็ไม่รู้! เราไม่รู้ เราไม่มี “อตีตังสญาณ” (ญาณหยั่งรู้อดีต) “อนาคตังสญาณ” (ญาณหยั่งรู้อนาคต) ตอบยาก … ต้องหลวงพ่อเมืองสิ!

พระครูปลัดจันทร์ : ขอถวายพระพร … หลวงพ่อยืนยันว่า มหาบพิตรมีศีลบริสุทธิ์และทรงมีบุญมาก!

สำหรับ หลวงพ่อเกษม เขมโก เดิมมีนามว่า เจ้าเกษม ณ ลำปาง ประสูติ เมื่อ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 เป็นบุตรใน เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น มณีอรุณ) รับราชการเป็นปลัดอำเภอ กับ เจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง และเป็นราชปนัดดาในเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย

หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นพระสายวิปัสสนาธุระ ไม่ยึดติดแม้แต่สถานที่ ท่านได้ปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ตลอดชนชีพ เป็นพระที่เป็นที่เคารพสักการะของคนในจังหวัดลำปางและทั่วประเทศ ท่านปฏิบัติศีลบริสุทธิ์ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ติดยึดในกิเลสทั้งปวง

หลวงพ่อเกษม เขมโก มรณภาพ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง จังหวัดลำปาง เมื่อเวลา 19:40 น. ของวันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ซึ่งตรงกับวันแรม 11 ค่ำ เดือน 2 ยังความอาลัยเศร้าโศกเสียใจมายังหมู่สานุศิษย์ทั่วประเทศ ส่วนสรีระของท่านนั้นก็ยังความอัศจรรย์ด้วยเนื่องจากไม่เน่าเปื่อยเหมือนอย่างสังขารทั่วไป ทั้งยังเขียนป้ายบอกผู้ที่มาเคารพสรีระ ท่านด้วยว่าให้พนมมือไหว้ที่หน้าอกเพียงครั้งเดียวแล้วไม่ต้องกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์อย่างศพของพระเถระทั่วไปนับว่าท่าน นั้นถือสมถะเป็นอย่างมาก










ที่มา: Saran Wiki และ www.welovemyking.com

10/10/60





โลกออนไลน์แชร์เรื่องราวสุดประทับใจของสาวใหญ่ชาว อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ ตัดสินใจขายวัวแสนรักเพื่อนำเงินรักษาพ่อที่ป่วยหนัก โชคดีมีผู้ใจบุญสงสารขอไถ่ชีวิตก่อนถูกส่งเข้าโรงเชือด

(8 ต.ค.60)  ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานเรื่องราวสุดแสนประทับใจของ “เจ้าลุย” วัวเพศผู้สีน้ำตาลแดง อายุประมาณ 1 ปี น้ำหนักกว่า 200 กิโลกรัม เป็นวัวที่ นางมลิดา อายุ 51 ปี ชาวอ.พุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ เลี้ยงดูตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ ซึ่งนางมลิดารักเจ้าลุยมากถึงขนาดซื้อนมมาชงให้กิน ดูแลเหมือน ลูก แต่พอมาถึงวันนี้เจ้าลุยมีอายุเกือบ 1 ปีเต็ม พ่อนางมลิดา เกิดป่วยหนักต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ นางมลิดา จำเป็นต้องใช้เงินมารักษาพ่อ จึงตัดสินใจประกาศขายเจ้าลุยที่ตัวเองรักและผูกพัน เพื่อนำเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพ่อ

ไม่กี่วันผ่านไปมีเจ้าของโรงเชือดทราบข่าวได้ติดต่อขอซื้อเจ้าลุยในราคา 24,000 บาท ซึ่งนางมลิดา ก็ตกลงจะขาย  แต่ขณะเดียวกันก็ได้เพื่อนของนางมลิดา ซึ่งทราบข่าวก็ได้ร่วมกับเพื่อนๆอีกหลายคน ช่วยกันออกเงินเพื่อขอไถ่ชีวิตเจ้าลุยในทันที โดยเสนอให้เจ้าของโรงเชือดในราคา 28,000 บาท สร้างความดีใจให้กับนางมลิดา เป็นอย่างมากที่มีผู้ใจบุญมาขอไถ่ชีวิต ก่อนจะถูกส่งเข้าโรงเชือด

ด้านทันตแพทย์หญิงนันทิยา รัมณีย์รัตนากุล ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ หัวหน้ากลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลนางรอง เพื่อนสมัยเรียนชั้นประถมของนางมลิดา ที่ร่วมกับเพื่อนๆ มาขอไถ่ชีวิตเจ้าลุย บอกว่า  หลังทราบข่าวว่านางมลิดา ประกาศขายเจ้าลุยให้กับเจ้าของโรงเชือด แต่ทราบว่านางมลิดา รักและผูกพันกับวัวตัวนี้มาก จึงได้บอกบุญไปยังเพื่อนๆ เพื่อรวบรวมเงินไปขอไถ่ชีวิตเจ้าลุย ในราคา 28,000 บาท 

และหลังจากขอไถ่ชีวิตเจ้าลุยแล้ว ก็ได้นำเจ้าลุย ไปถวายให้กับทางพุทธอุทยานเขาคอก หรือวัดเขาคอก อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งทางวัดก็ยินดีที่จะดูแลเจ้าลุยเป็นอย่างดี เพราะทางวัดเองก็ได้จัดโครงการไถ่ชีวิตโคกระบือเป็นประจำอยู่แล้ว โดยนางมลิดานั้นยิ้มไม่หุบเมื่อเห็นวัวแสนรักรอดชีวิต

จากเรื่องราวดังกล่าวก็สร้างความประทับใจให้กับหลายคนทั้งชื่นชมผู้ใจบุญ  ที่ขอไถ่ชีวิตวัวตัวดังกล่าวจะได้ไม่ถูกนำไปชำแหละ พร้อมทั้งให้กำลังใจนางมลิดา เจ้าของวัวที่ต้องจำใจขายเจ้าลุย เพราะจำเป็นต้องนำเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายรักษาพ่อ










ที่มา: http://news.sanook.com/3801782/

9/10/60






วันที่ 8 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ร่วมพิธีทอดกฐินสามัคคี วัดป่าภูผาแดง ของหลวงปู่ลี กุสลธโร อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี โดยเฟซบุ๊กเพจ พุทธมหาเจดีย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ภูผาแดงฯ เผยว่า สำหรับยอดกฐินประจำปีนี้ ยอดรวม 14,286,919 ล้านบาท และทองคำ 39 บาท

สำหรับหลวงปู่ลี กุสลธโร เป็นพระภิกษุฝ่ายวิปัสสนาธุระ สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ศิษย์ของพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) วัดเกษรศิลคุณธรรมเจดีย์ (วัดภูผาแดง) ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี














ขอบคุณภาพจาก พุทธมหาเจดีย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ภูผาแดงฯ

ที่มา: www.siamnews.com





เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่ออกมาจากปากของ วิลาศ มณีวัต นักเขียนชื่อดังแห่งประเทศไทยคนหนึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความน่าเชื่อถือได้มากพอสมควร เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ โดยรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นลองไปอ่านกันดีกว่าครับ

มีนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งแวะมาที่สำนักงาน “สตูดิโอ เท็น” ถนนอรรถการประสิทธิ์ ตอนนั้นสิบโมงเช้าแล้ว ทีมงานมากมายตัดต่อภาพยนตร์สารคดีท่องเที่ยวชุด “ชีพจรลงเท้า” อยู่นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้นั้นยังหนุ่มอยู่ หน้าตาหล่อเหลาเล่นหนังได้สบาย พอเขายื่นนามบัตร ผมก็นึกออกว่าเป็นใคร เพราะหลานผมที่กำลังเรียนอยู่ที่ปารีสได้มีจดหมายฝากฝังมาก่อนแล้วว่าถ้าเจ้าหนุ่มคนนี้โต๋เต๋มาถึงบางกอกล่ะก็ ขอให้ผมช่วยรับรองหน่อย เพราะเขามีบุญคุณเคยช่วยเหลืออุปการะหลานผมมากในปารีส




นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้นี้กำลังเขียนประวัติ ประธานาธิบดี ชาร์ลส์ เดอโกลล์ ผู้นำคนสำคัญของฝรั่งเศส วิธีเขียนหนังสือของฝรั่งเศสนั้น เขาใช้เวลาค้นคว้ามาก อ่านหนังสือกันเป็นตั้งๆเท่านั้นยังไม่พอ ต้องออกเที่ยวสัมภาษณ์ใครต่อใครให้ยุ่งไปหมด แล้วเอาเรื่องราวมาปะติดปะต่อกันเข้า ภายหลังจากที่ได้สอบถามแล้วว่า เรื่องเล่าเหล่านั้น เชื่อถือได้


เขาบอกว่า จากการสัมภาษณ์นายพลคนสนิทของเดอโกลล์ เขาได้ทราบว่า เมืองไทยมี "พระดี" อยู่องค์หนึ่ง และตอนที่เดอโกลล์ถูกยิงด้วยปืนกล กระสุนปืนกลถูกรถพรุนไปทั้งคัน แต่เดอโกลล์ก็รอดตายมาได้อย่างมหัศจรรย์

“ภริยาของเดอโกลล์เชื่อว่า เดอโกลล์รอดตายครั้งนั้นเพราะ พระผู้มีอภินิหารยิ่งใหญ่ในเมืองไทย ได้เสด็จไปช่วยชีวิตไว้” เขาบอก

นักเขียนฝรั่งเศสคนนี้เล่าต่อไปว่า เขาเองไม่เชื่อในเรื่องอภินิหารและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีใจกว้างยินดีที่จะรับฟังเขาจึงได้ไปที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในปารีส สอบถามคนไทยที่นั้นว่า
"เคยได้ยินเรื่อง พระไทยสำแดงอิทธิฤทธิ์ไปช่วยชีวิตประธานาธิบดีเดอโกลล์หรือเปล่า" ไปถามทีแรกไม่มีใครรู้เรื่องเขาจึงไปอีกหนหนึ่ง คราวนี้พบผู้หญิงไทย เธอคงจะเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงบอกกับเขาว่า “พระที่มีอภินิหารองค์นี้ชื่อ หลวงพ่อเทิด อยู่ทางส่วนใต้ของประเทศไทย” นี่เป็นคำเล่าของนักเขียนฝรั่งเศส

ผมฟังแล้วรู้ทันทีว่า เขาจำชื่อผิด ที่ถูกควรเป็น "หลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ปัตตานี" ผมเป็นลูกปักษ์ใต้ จึงทราบดี

นักเขียนคนนี้อุตส่าห์บินมาเมืองไทย ก็เพื่อจะถ่ายภาพหลวงพ่อทวด เอาไปลงประกอบในหนังสือประวัติเดอโกลล์ ที่เขาเขียนจวนจะเสร็จแล้ว ผมบอกว่า หลวงพ่อทวด มรณภาพไปนานแล้ว เวลานี้มีแต่พระเครื่อง ถ้าจะถ่ายรูป ก็ต้องถ่ายพระเครื่อง ซึ่งคนไทยถือกันว่า "ศักดิ์สิทธิ์มาก เคยช่วยชีวิตคนมามากแล้ว"

แต่บอกตรงๆ ผมก็สงสัยเหมือนกันว่า หลวงพ่อทวดรู้จักนายพลเดอโกลล์ได้อย่างไรคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ๆหมดน้ำชาไปกาหนึ่ง นักเขียนฝรั่งเศสบอกว่า ไหนๆก็มาแล้ว จะขอเดินทางไปปัตตานีไปถ่ายภาพวัดช้างไห้ และจะสัมภาษณ์พระในวัด หรือชาวบ้านบางคนด้วย

“มันเป็นเรื่องน่าสนใจ” เขาว่า “คนฝรั่งเศสเองก็เชื่อในเรื่องของอภินิหารและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย”

ผมก็เลยต้องไปปัตตานี ไปเจอะเอาเพื่อนจุฬาฯ รุ่นก่อนผมปีหนึ่ง เขาเคราพนับถือ "สมเด็จหลวงพ่อทวด" มาก เขาจึงให้หนังสือเล่มเล็กๆผมมาเล่มหนึ่งชื่อ"อภินิหารสมเด็จหลวงพ่อทวด”

ผมจึงแปลเป็นเลาๆให้นักเขียนฝรั่งเศสฟังว่า...

ในราว พ.ศ.๒๕๐๔ หรือ พ.ศ.๒๕๐๕ นี้แหละ ได้มีการปลุกเสกหลวงพ่อทวดฯ ทางวัดได้ส่งพระเครื่องจำนวนหนึ่งมาให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพื่อแจกจ่ายให้แก่นายทหารคนใกล้ชิดบางคนในจำนวนนายทหารไม่กี่คนที่ได้รับแจกพระเครื่องสมเด็จหลวงพ่อทวดฯนี้มีพลโทอำนวย ชัยโรจน์ ทูตทหารบกประจำฝรั่งเศสรวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง

พลโทอำนวย ชัยโรจน์ได้รับแจกไปสององค์ ก็เลยได้นำติดตัวไปฝรั่งเศสด้วย ระหว่างอยู่ที่ปารีส ทูตทหารบกประจำฝรั่งเศสผุ้นี้ได้เข้าพบประธานาธิบดีเดอโกลล์ และเนื่องจากมีความนิยมในตัวของเดอโกลล์อยู่แล้ว จึงได้มอบ "พระเครื่องสมเด็จหลวงพ่อทวดฯ" ให้แก่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสไปองค์หนึ่งพร้อมกับอธิบายให้เดอโกลล์ฟัง ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวดว่า

ถ้าอาราธนานึกถึงด้วยความเคารพล่ะก็ อาจสามารถเสด็จไปช่วยเวลามีภัยมาถึงตัว ถึงอยู่ฝรั่งเศสก็เสด็จไปถึงได้ เพราะในโลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์นั้น ลัดนิ้วมือเดียว กะพริบตาทีเดียว...ก็ไปถึงฝรั่งเศสแล้ว

เมื่อได้ "พระสมเด็จหลวงพ่อทวดฯ" ไปแล้ว ประธานาธิบดีเดอโกลล์ก็พกติดตัวไปด้วยทุกหนทุกแห่ง

ผมปะติดปะต่อเรื่องเอาเองได้ความว่า ต่อจากนั้นไม่กี่เดือนก็เกิดเหตุการณ์ระทึกใจ กล่าวคือเดอโกลล์ผู้เข้มแข็งได้ถูกพวกใต้ดินคณะหนึ่งระดมยิงด้วยปืนกล ในระหว่างที่อยู่ในรถยนต์กับภริยาในกรุงปารีส เป็นที่น่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง กระสุนปืนกลถูกรถพรุนไปทั้งคัน การยิงก็อยู่ในระยะประชิดมาก แต่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ก็รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์

เดอโกลล์เงียบไม่ได้วิจารณ์แต่ภริยาของท่าน บอกกับเลขานุการว่า เธอเชื่อเหลือเกินว่า สามีรอดตายเพราะ "สมเด็จหลวงพ่อทวดฯ" ได้เสด็จไปช่วยชีวิตไว้เพราะเธอเป็นคนอธิษฐาน พอได้ยินเสียงรัวปืนกล เธอก็นึกขอให้ "พระ" เสด็จมาช่วย

นักเขียนฝรั่งเศสได้สัมภาษณ์พระที่วัดช้างไห้ และสัมภาษณ์ชาวบ้านอีกสองสามคนผมส่งเขาขึ้นเครื่องบินกลับปารีสไปแล้วปลายปีนี้หนังสือประวัติเดอโกลล์ของเขา ก็คงจะออกวางจำหน่าย เขารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า จะต้องส่งมาให้ผมหนึ่งเล่ม

เรื่องอภินิหารแบบนี้ ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะไม่เชื่อ ผมเองเมื่อหนุ่มๆก็ไม่ค่อยจะเชื่อหรอก แต่พอหนุ่มน้อยลงก็เริ่มเชื่อเข้าบ้างแล้วเมื่อเชื่อแล้ว...ก็ไม่อยากทำบาป เห็นใครทำบาปก็นึกสงสารใครด่าทีสองที เริ่มจะไม่โกรธ มีแต่สงสารและเมตตา














ที่มา: http://www.tnews.co.th/contents/366615 หนังสือหัวเตียง ของ วิลาศ มณีวัต หน้า ๒๘-๓๓





จากกรณีเจ้าคณะปกครองสงฆ์ทำหนังสือถึงเจ้าคณะในปกครองเพื่อแจ้งวัดทั่วประเทศให้ปฏิบัติตามธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ห้ามจำหน่ายพระบูชา วัตถุมงคล เทวรูปต่างๆ ห้ามปลุกเสกพระเครื่อง ห้ามแสดงพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด มีการสั่งปลดป้ายงานพุทธาภิเษก(ปลุกเสก)หากพระภิกษุสามเณรผู้ใดไม่เคร่งครัด และละเมิดพระธรรมวินัยให้ลงโทษตามพระธรรมวินัย ฯลฯหลังจากออกคำสั่งดังกล่าวนี้ได้ปรากฏความเคลื่อนไหวในต่างๆทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการจัดจำหน่ายบูชาพระวัตถุมงคลต่างๆ ซึ่งคำสั่งที่ออกมามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ว่าในความเป็นวัด หรือพระ ควรตั้งอยู่ในความพอดี เหมาะสมอย่างไร และแค่ไหนถึงจะเรียกว่าเป็นสมณะในสมถะที่แท้???ซึ่งทั้งหลายแล้วไม่มีอะไรถูกและอะไรที่ผิด นั่นเพราะขึ้นอยู่กับมุมมองวิธีคิดของแต่ละคนที่จะเห็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาด้วยเนื้อตาที่เป็นจริง!?!

หากย้อนไปก่อนหน้านี้ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังวัดขุนอินทประมูล หมู่ที่ 3 ต.บางพลับ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง หลังทราบข่าวว่า ได้สร้างพระอุโบสถที่มีขนาดใหญ่ถึง 3 ชั้น และมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่นบันไดเลื่อนและลิฟต์ เอาไว้อำนวยความสะดวกให้แก่ญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด ซึ่งเมื่อมาถึง วัดขุนอินทประมูล ซึ่งเป็นพุทธมณฑล จ.อ่างทอง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ทางขึ้นชั้นสองมีบันไดเดินปกติพร้อมบันเลื่อน ซึ่งอยู่คนละด้านของพระอุโบสถ ส่วนลิฟต์นั้น อยู่บริเวณหน้าบันไดเลื่อน ซึ่งลิฟต์และบันไดเลื่อนนี้ สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับญาติโยม และพระที่สูงอายุ




สำหรับพื้นที่ชั้น 2 นั้น เป็นส่วนของพระอุโบสถจริงๆ เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธมหามงคลจินดาพลบพิธ พระประธานของพระอุโบสถหลังนี้ บริเวณด้านข้างของโบสถ์ที่ชั้น 2 นี้ จัดให้มีเบาะที่นั่ง/ที่นอน ขนาดกว้าง 1 เมตร บุฟองน้ำอย่างดี สามารถพับเก็บเข้าช่องได้อยู่โดยรอบ ซึ่งสำหรับที่นั่ง/ที่นอนนี้ จัดทำขึ้นสำหรับไว้ให้พระหรือญาติโยมไว้สำหรับพักผ่อน ซึ่งใช้ระบบไฮโดรลิกทั้งหมด สามารถกางออกมาและเก็บเข้าไปติดผนังเหมือนเดิม และบริเวณชั้น 3 ของพระอุโบสถนั้น จัดทำขึ้นสำหรับเป็นที่พักของพระผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ขณะที่นายประดับ เอี่ยมประชา ไวยาวัจกรณ์ประจำจังหวัดอ่างทอง กล่าวว่า พระอุโบสถหลังนี้สร้างเสร็จน่าจะถึง 100 ล้านบาท












ที่มา: http://www.tnews.co.th/contents/de/366079

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget