21/11/60







พระสงฆ์ใช้ฆ้อน-แท่งไม้ ตอกเส้นรักษา โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ผู้เข้ารับการรักษายันอาการดีขึ้น

วันที่ 20 พ.ย.60 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ชั้น 2 อาคารอวตารคลินิก เลขที่ 18/49 หมู่ 5 ซอยาขาประชาสรรค์ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งเปิดเป็นศูนย์ตอกเส้นสีไพร สาขาปากเกร็ด หลังจากมีผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ว่า “ป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมา 7 ปี รักษานวดตอกเส้น อาการดีขึ้นทันตาเห็น นวดตอกเส้นสีไพร” “เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมา 7 ปี หมอสั่งผ่า ถูกไล่ออกจากงาน อาตมาจัดให้จบม้วนเดียว ได้ชีวิตใหม่ นี่แหละคนหมดกรรม”



โดยในคลิปเป็นภาพพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังใช้ฆ้อนตอกไปบนแท่งไม้ที่บริเวณขาของผู้หญิงคนหนึ่ง ดูท่าที่ตอกและเสียงที่ดังออกมาน่าจะใช้ความพอสมควร ซึ่งมีเสียงพระภิกษุถามว่าสู้ไหม ตายไหม ฝ่าผู้หญิงก็ตอบกลับว่าสู้ เป็นมา 7 ปี เขาให้ออกงานเพราะทำงานไม่ได้ หลังจากตอกเสร็จผู้หญิงคนดังกล่าวก็สามารถก้มและนั่งยองๆได้ ผู้หญิงคนดังกล่าวร้องบอกว่าสุดยอดเลยหลวงพ่อ




จากนั้นก็มีชายสวมเสื้อขาว น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ใช้เท้าเหยียบที่ขาทำให้ผู้หญิงร้องด้วยความเจ็บปวด หลังทำเสร็จผู้หญิงได้ลุกขึ้นและยกเก้าอี้ขึ้นหลังจากที่ไม่สามารถยกของได้มานาน” โดยผู้หญิงคนดังกล่าวได้อ่านใบรับรองแพทย์ให้ฟังว่าเป็นหมอนรองกระดูกทรบเส้นประสาทต้อได้รับการผ่าตัด ซึ่งหลังมีโพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไปมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการตอกที่รุนแรงและวิธีรักษาแบบนี้เป็นจำนวนมาก


เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงจึงได้สอบถามถึงสถานที่ตอกเส้น พบว่าอยู่ชั้น 2 ขออาคาร โดยจัดเป็นห้องสำหรับต้อนรับผู้ที่มารับบริการ และมีรูปภาพแสดงระบบร่างกายมนุษย์ หลายรูป มีทั้งรูปกระดูกสันหลัง และส่วนต่างๆ เส้นประสาท กล้ามเนื้อ ด้านในเป็นห้องคล้ายห้องนวดแผนโบราณ มีผู้เข้ารับการรักษาหลายราย ส่วนใหญ่เป็นโรคปวดหลัง ปวดเอว ปวดคอ ปวดแขนขา และหมอนรองกระดูกทับเส้น มารับการรักษาหลายราย สอบถามจากเจ้าหน้าที่พบว่าบางวันมาเป็นหลักร้อย น้อยสุดประมาณ 40 ราย หลังรับการรักษาทุกคนจะบอกว่ารู้สึกดีขึ้น และจะกลับมารักษาซ้ำ


จากการสอบถาม นายไมค์ คุกเกอร์ อายุ 60 ปี ชาวออสเตเลีย ผู้นับการรักษา ทราบว่าตนเป็นโรคปวดหลังมานาน หลังจากรักษาไปดีขึ้น การรักษาใช้เวลาไม่นานแต่ได้ผลระยะยาว หลักจากทำไปจะรู้สึกดี ที่เห็นว่าการตอกเหมือนแรงแต่ไม่เจ็บ มันเป็นการไปยืดเส้นและคลายกล้ามเนื้อ

นายกฤติน สุชาโต อายุ 24 ปี นักร้องอิสระ ปวดเอวและปวดหลัง ทราบว่าตนปวดเอวและหลัง บ่าไหล่และคอ มาตอกแก้อาการไล่ไปตามเส้น มีเอาน้ำมันทาด้วย หลังจากทำรู้สึกโล่งขึ้น ตนจะมาทำซ้ำอีก มันเจ็บก็จริงแต่มันคุ้ม ตนมาทำครั้งที่ 4 แล้ว ตนทราบข่าวมาจากแม่เป็นคนมาทำก่อน ตอนนี้แม่หายแล้ว ตอนนี้อาการตนดีขึ้นแต่ยังไม่หายไป เพราะตนว่าดีกว่านวดหรือฝั่งเข็ม ตนเคยอ้วนมาก่อนและมาผอมไม่ได้ออกกำลังกาย เคสของตนทำงานต้องยืนนานหรือนั่งอยู่กับที่นานๆ ตนว่าออกกำลังกายดีกว่าทุกอย่าง ตนได้แนะนำไปหลายคนแล้วให้มาทำ ตนชอบที่ได้มาตอกมันโล่ง


พระมหาสีไพร อาภาธโร พระวัดเกษมสุริยันนาจ อ.บางเลน จ.นครปฐม เป็นอาจารย์สอนตอกเส้น โรงเรียนนวดตอกเส้นสีไพร ต.คอกควาย อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ทราบว่าการตอกเส้นเป้าหมายคือคนเราเจ็บป่วยจากกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาท คือกระดูกต้องตรง กล้ามเนื้อต้องนิ่มยืดยุ่นได้ เส้นเอ็นเส้นประสาทต้องดูระบบการเดินทางของไฟฟ้า คนเราทุกวันนี้ทำอะไรซ้ำท่าเดิมนานๆ เช่นนั่งนาน ยืนนาน จะมีปัญหาเรื่องกระดูก มือเท้าชา และอื่นๆ ต้องแก้ที่ระบบกล้ามเนื้อ

ทางการแพทย์เรียกว่าระบบกล้ามเนื้อเกร็งและหดตัว พอเรารักษาคลายกล้ามเนื้อเลือดลมก็เดินสะดวก โรคแบบนี้ไม่ต้องใช้ยา เราใช้เลือดในตัวเองให้ไหลเวียนได้สะดวกซ่อมสร้างตัวเอง เลือกเรามาจากฐานกระดูกมี่ผลิตเม็ดเลือดแดง ถ้ากระดูกเราตรงเลือดเราก็สมบูรณ์ อาตมาทำโครงการนี้เพราะป่วยมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบเข้าออกโรงพยาบาล 14 แห่ง แต่ตอนนี้ตนคิดว่าวิธีการใดๆ ก็ได้ที่รักษาหาย ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ตนยืนยันไม่ได้ถูกกระดูกเลย กระดูกเราไปตอกไม่ได้ ตนตอกคลายกล้ามเนื้อที่อยู่ชิดกระดูก หรือกล้ามเนื้อที่อยู่ชิดขอบกระดูก












ที่มา: https://news.mthai.com/general-news/600143.html

17/11/60







สามเณรวันนี้คือต้นกล้าวันข้างหน้าคือศาสนทายาทสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา

....หลวงพ่อพระเทพโกศล ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมจาริกส่วนภูมิภาค วัดศรีโสดา พระอารามหลวง ได้สร้างวัดศรีโสดาให้เป็นสถานที่ให้การศึกษา ความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุสามเณรชาวเขาทั่วประเทศ และฝึกอบรมพระภิกษุสามเณรที่บวชมาแล้วให้เป็นศาสนทายาทสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาบนดอย ตอนนี้หลวงพ่อพระเทพโกศล และหลวงพ่อพระเทพกิตติเวที ประธานคณะพระธรรมจาริก ได้ส่งพระธรรมจาริกจำนวน ๓๕๐ รูปขึ้นดอยเพื่อช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในพื้นที่บนดอย ๒๐ จังหวัดของประเทศไทย


....และขณะนี้ยังได้จัดตั้งศูนย์อบรมพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุสามเณรชาวเขา ที่วัดศรีโสดา และวัดวิเวกวนาราม การฝึกอบรมคนนั้นเป็นงานหนัก และงานที่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ หลวงพ่อได้จัดตั้งทีมงานธรรมะห่มดอยขึ้นเพื่อให้ไปช่วยเหลือพี่น้องบนดอย ขณะนี้มีพระภิกษุสามเณรที่เข้ารับการฝึก การเรียนการสอน จำนวน ๕๐๐ กว่ารูป อนุโมทนาทุกท่านที่ร่วมกันสนับสนุนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาบนดอย กับทีมงานธรรมะห่มดอย โครงการพระธรรมจาริก




....การฝึกอบรมพระเณรศาสนทายาท ทั้งปริยัติและปฏิบัติจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้พระเณรได้เติบโตในทางธรรม วันข้างหน้าจะได้เป็นกำลังที่สำคัญในการเผยแผ่ธรรมะ


เดินธุดงค์ธรรมะหมดอย ในปีนี้จะมีสามเณรเมียนมาร์ ๓ รูป ซึ่งเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ที่เคยเดินธุดงค์ที่ประเทศเมียนมาร์กับพระอาจารย์ครั้งก่อนมาเดินธุดงค์ด้วย
....ตอนนี้มีสามเณรประเทศเนปาล ๓ รูป และสามเณรประเทศเมียนมาร์หรือพม่า ๓ รูป และพระเณรไทยศาสนทายาทบนดอย ๒๐๐ รูป
จึงแจ้งให้ญาติธรรมอนุโมทนาบุญร่วมกัน
ที่มา FB : เพจอรุณเมธี พุทธิภัทรานันท์ (ธรรมะห่มดอย)









ที่มา: http://www.tnews.co.th/contents/379449

14/11/60







ทำทานปนโกรธจะเป็นเช่น “นางปัญจปาปา” ผู้หญิงขี้เหร่แต่ได้สามีดี

เวลาเราจะทำบุญก็ควรทำด้วยจิตที่เป็นกุศลนะ

ระวัง!! "ทำทานปนโกรธ" แล้วจะเป็นเช่น...นางปัญจปาปา ผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์แต่...

ในอดีตกาลนานมาแล้ว ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลก เป็นช่วงว่างจากพระพุทธศาสนา แต่ยุคนั้นยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ขณะนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งกุฏิที่ท่านอาศัยมีรูโหว่ท่านจึงออกแสวงหาดินเหนียวไปอุดรูกุฏิของท่าน เมื่อท่านผ่านมาเห็นนางกุมารีนางหนึ่งกำลังขยำดินเหนียวอยู่ ท่านจึงถือบาตรเดินตรงไปหานางกุมารีนั้นเพื่อขอบิณฑบาตดินเหนียวใส่บาตรมาสักก้อน


นางกุมารีเห็นดังนั้นก็โกรธคิดว่า "สมณะพวกนี้ตอนเช้าเที่ยวเดินขอข้าวชาวบ้านชาวเมืองกินยังไม่พอ ตัวเรานี้สู้อุตส่าห์ไปขนดินเหนียวหอบหิ้วมานั่งขยำ กว่าจะได้ที่ก็ต้องขยำแทบมืองอเท้างอ สมณะนี้กลับมายืนเฝ้าจะขอดินที่เราขยำดีแล้วไปอีก ช่างไม่รู้จักไปหาเองเอาเสียเลย" คิดดังนี้แล้วก็ค้อนควัก เชิดจมูก ปากบ่นอุบอิบพึมพัม เพื่อจะให้พระปัจเจกพุทธเจ้าล่วงรู้อาการว่านางไม่เต็มใจจะให้ จะได้ไปไปเสีย ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีความเมตตา อยากจะโปรดนางกุมารีให้ได้ทำบุญ จึงแสร้งทำเป็นไม่ทราบอาการของนาง ยืนนิ่งเปิดบาตรรอรับการบริจาคของนางต่อไป นางกุมารีเห็นดังนั้นก็คิดว่า "ชะรอยสมณะองค์นี้ถ้าไม่ได้อะไรคงจะไม่ไปแน่" นางจึงโกรธกระฟัดกระเฟียดปั้นดินได้ก้อนหนึ่งก็โยนใส่บาตรโดยไม่เคารพ "เอ้า เอาไป"




พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อได้ดินเหนียวแล้วจึงให้ศีลให้พรแก่นาง แล้วนำดินเหนียวไปฉาบทาอุดช่องโหว่ที่ฝากุฎิ เพื่อกันลมกันฝนดังเดิม กาลต่อมา เมื่อนางสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในตระกูลยากจน แถมรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่สุดพรรณนา มีอวัยวะทั้ง 5 ประการ คือ มือ เท้า ปาก ตา และ จมูกบิดเบี้ยวน่าเกลียด ชาวบ้านจึงเรียกนางว่า ปัญจปาปา (ขี้เหร่ห้าแห่ง)


แต่ด้วยอานิสงส์การถวายดินเหนียวก้อนนั้นแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีผลอันยิ่งใหญ่ คือ ทำให้ร่างกายผิวพรรณของนางนั้นมีความนุ่มเนียนเรียบลื่นน่าสัมผัสเปรียบประดุจสัมผัสอันเป็นทิพย์ของนางฟ้า ใครถูกต้องนางจะติดใจไม่สามารถตัดใจจากนางได้ด้วยผลบุญที่นางได้ถวายดินเหนียว ทำให้นางได้เป็นมเหสีของพระราชาถึง 2 พระองค์ คือ พระเจ้าพกะ และ พระเจ้าทีปาวาริกะ การที่นางได้เป็นมเหสีของพระราชาองค์แรกเนื่องจากพระราชาออกล่าสัตว์กำลังจะกลับเข้าเมืองจึงแวะพักที่หมู่บ้านนั้น ยืนทอดพระเนตรดูเด็กๆ เล่นซ่อนหากันอยู่ ปัญจปาปาซึ่งปิดตาควานหาเพื่อนๆ ที่หลบซ่อนคว้าพระกรพระราชาเข้า จึงร้องว่า "จับตัวได้แล้ว" พอเปิดตารู้อะไรเป็นอะไร จึงรีบวิ่งหนีไป

ส่วนพระราชาผู้ถูกจับพระกร ทรงรู้สึกซาบซ่านทั่วทั้งสรรพางค์กาย ทรงประหลาดพระทัยมากว่าหญิงคนนี้ช่างมีสัมผัสอันเป็นทิพย์ทำให้เกิดความหลงใหลอะไรปานนั้น จึงทรงถามไถ่พวกเด็กๆ ว่านางเป็นใคร อยู่เรือนไหน? เมื่อทรงทราบ จึงเสด็จไปขอลูกสาวพ่อแม่ของนางปัญจปาปา พ่อแม่ของนางนึกไม่ถึงว่าลูกสาวขี้ริ้วขี้เหร่ของตนจะเป็นที่สนใจของชายหนุ่มรุ่นใหญ่ท่าทางภูมิฐานเช่นนี้ จึงตกปากรับคำอย่างง่ายดาย

พระราชาอยู่กับนางเวลากลางคืนรุ่งเช้าก็หายไปอ้างว่าไปทำงานข้างนอก เย็นก็กลับ เหตุการณ์ดำเนินไปสักระยะหนึ่ง ทรงคิดจะหาทางนำนางเข้าไปยังพระราชวัง แต่เกรงจะได้รับการคัดค้านจากเหล่าเสนาอำมาตย์ เนื่องจากความขี้เหร่ของนางจะนำมาแต่งตั้งเป็นมเหสี ใครรู้เข้าก็คงจะหัวเราะเยาะในใจ คืนวันหนึ่งพระราชาพระราชทานปิ่นมณีให้นาง เช้ามาก็หายไปตามเดิม พอตอนกลางวันมีตำรวจจากพระราชสำนักมาค้นหาสิ่งของมีค่าโดยอ้างว่าโจรขโมยมาจากพระราชวัง ค้นไปค้นมาไปพบปิ่นมณีเข้า จึงจับนางพร้อมพ่อแม่ไปชำระความ นางกล่าวว่า นางมิได้ขโมย ปิ่นมณีนี้สามีให้มา เมื่อถามว่าสามีคือใคร อยู่ที่ไหน นางบอกแต่ว่าไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเขามากลางคืน เช้าก็หายไปแต่ถ้าได้จับแขนเขาจะรู้ทันทีว่าเป็นใคร

จากนั้นก็มีการพิสูจน์กันขึ้น คือ ให้ขึงม่าน แล้วนำชายทั้งหนุ่มและแก่มายื่นแขนให้นางจับอยู่นอกม่าน ผู้ที่ถูกนางปัญจปาปาจับก็ซาบซ่านทั้งทรวงไปตามๆ กัน แต่นางก็บอกว่าไม่ใช่สามีนางสักคน พระราชาทรงคิดในพระทัยว่า "หรือเป็นเรา" ว่าแล้วก็ยื่นพระหัตถ์ผ่านม่านให้นางจับ ทันใดนั้นนางก็ร้องว่า "ใช่แล้วคนนี้คือผัวของข้า!" ความจริงก็เลยปรากฏขึ้น นางถูกนำตัวเข้าวัง ได้รับอภิเษกเป็นมเหสีลำดับท้ายๆแต่เป็นที่โปรดปรานมาก โปรดปรานจนกระทั่ง พระราชาไม่เหลียวแลมเหสีอื่นเลย ต่อมามีผู้อิจฉาใส่ร้ายนางว่าที่นางอัปลักษณ์ดังนี้คงเป็นยักษ์เป็นมารปลอม ตัวมา พระราชาเชื่อจึงจับนางใส่เรือลอยน้ำไป นางลอยไปกับเรือ

จนไป เจอพระราชาองค์ที่ 2 กำลังประพาสท่องเที่ยว นางจึงร้องบอกว่านางคือมเหสีของพระเจ้าพกะ แล้วนางจึงออกอุบายให้พระราชาองค์ที่ 2 คือพระเจ้าทีปาวาริกะฉุดนางขึ้นจากเรือ เมื่อมือสัมผัสมือพระเจ้าทีปาวาริกะก็เกิดหลงใหลในสัมผัสของนาง พานางไปแต่งตั้งเป็นมเหสี ฝ่ายพระเจ้าพกะหวนคิดถึงนางปัญจปาปาจนไม่เป็นอันกินอันนอน ต่อมาได้ข่าวว่านางมาอยู่กับพระเจ้าทีปาวาริกะ จึงยกกองทัพมาหวังจะชิงนางคืน ภายหลังได้ตกลงกันว่าจะแบ่งเวลาที่จะอยู่ร่วมกับนางปัญจปาปา นั่นคือนางปัญจปาปาจะอยู่กับพระราชาองค์ที่ 1 ช่วงหนึ่ง แล้วจึงย้ายไปอยู่กับพระราชาองค์ที่ 2 อีกช่วงหนึ่งเป็นเวลาเท่าๆ กันเหตุการณ์จึงสงบลง นางปัญจปาปาจึงเป็นมเหสีของพระราชา 2 เมืองได้ด้วยประการฉะนี้

"เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สิ่งไหนที่ทำดีก็ให้ผลดี สิ่งไหนที่ทำไม่ดี ก็ให้ผลไม่ดี ฉะนั้นเวลาทำความดี ควรทำด้วยใจที่ยินดีทั้งก่อนให้ ขณะที่ให้ และหลังจากให้ เราจะได้รับบุญที่บริบูรณ์เต็มที่ทุกประการ"








ที่มา: http://www.winnews.tv/news/6369




อดีตเจ้าอาวาส วัดป่าพุทธยานันทาราม ลาสเวกัส

หลวงพ่อมหาดิเรก เป็นผู้ก่อตั้ง วัดถ้ำแสงเทียน อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ สร้างวัดแพร่แสงเทียน อ.ร้องกวาง สร้างวัดป่าพุทธยานันทราม เมืองรัฐเวกัส รัฐเนวาด้า ประเทศอเมริกา เป็นพระนักปฎิบัติที่มีลูกศิษย์ทั่วประเทศและทั่วโลก

รายงานข่าวจากวัดป่าพุทธยานันทาราม เมืองลาสเวกัส แจ้งว่า เมื่อเวลา 18 นาฬิกา (หกโมงเย็น) วันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา พระมหาดิเรก พุทฺธยานนฺโท วัดแพร่แสงเทียน ต.ไทยย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่ และอดีตเจ้าอาวาสวัดป่าพุทธยานันทาราม เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกา วัย 65 ปี ได้ถึงแก่มรณภาพลงอย่างกะทันหัน ด้วยอุบัติเหตุตกลงไปในแท๊งค์น้ำภายในวัดพระธาตุแสงเทียน อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่





จากการสอบสวนทราบว่า  หลวงพ่อได้หายไปตั้งแต่ช่วงใกล้ฉันเพล เวลา 11.00 น และมีการออกค้นหา จนลูกศิษย์มาพบร่างอาจารย์จมน้ำในบ่อน้ำเมื่อเวลา 17.30 น  โดยร่างนอนคว่ำหน้าอยู่ในบ่อเก็บน้ำที่ลึก 60 ซม.ที่คาดว่า อาจก้มเปิดดูระดับน้ำในบ่อเก็บ จนพลาดตกลงในบ่อร่างกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนมรณะภาพ สำหรับในวันจันทร์ที่ 13 พ.ย 2560 คณะสงฆ์และลูกศิษย์ อ.เด่นชัย จะเคลื่อนสรีระ หลวงพ่อ จาก รพ.สมเด็จพระยุพราช เด่นชัย ไปที่วัดเพื่อทำพิธีสรงน้ำสรีระสังขาร และประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลตามทางศาสนากันต่อไป

พระมหาดิเรกนั้น เป็นศิษย์ในสาย หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ซึ่งเป็นผู้นำในการปฏิบัติธรรมแนวเคลื่อนไหว ได้เข้ารับการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ 4/2541 และได้เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจ เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าพุทธยานันทราม เมืองลาสเวกัส ได้ระยะหนึ่ง จึงเดินทางกลับเมืองไทย แต่ก็ยังคงไปๆ มาๆ จนกระทั่งได้ถึงแก่มรณภาพลงอย่างกะทันหัน











ที่มา: วัดป่าพุทธยานันทาราม ลาสเวกัส

13/11/60






คลิปต่อไปนี้เป็นคลิปการชกมวย "บัวขาว บัญชาเมฆ" ขึ้นชกเมื่อวาน กับ "มารวน ทูทูห์" ผู้ที่ขึ้นชื่อว่ากังหันนรกจากฮอลแลนด์ แต่งานนี้บัวชาวจัดหนักให้ แค่ยก 2 โดนหมัดเขวี่ยงควายเข้าไป เป็นไปตามคาด ไม่ต้องพูดไรมาก ศึกคุนหลุนไฟต์ วันที่12 พ.ย. 60




คลิปนี้โพสต์โดย TeaPro Grams









ที่มา: http://www.kanomjeeb.com/highlight/9678/





สาวใหญ่อ้างพญานาคเข้าฝัน บอกพื้นที่ ต.แนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ มีวัตถุโบราณ ได้ฤกษ์ดีนำชาวบ้านช่วยกันขุด ตะลึงพบวัตถุโบราณจริงๆ แจ้งกรมศิลปากรตรวจสอบ

(11 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า หลังจากที่ชาวบ้านมีการขุดพบวัตถุโบราณ ที่บ้านเลขที่160 หมู่3 บ้านโคกสง่า ต.แนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ โดยพบมีดดาบลักษณะเป็นกริชโบราณ กำไลวงข้อแขน 2 วง และพระปางนาคปรก 10 องค์ ซึ่งยังระบุไม่ได้ว่าเป็นของยุคสมัยใด


โดยเจ้าของบ้าน เล่าว่า ที่ขุดเพราะมีพญานาคมาเข้าฝันเมื่อปีที่แล้ว ว่าที่ตรงนี้มีวัตถุโบราณ แต่ยังไม่ได้เวลาที่เหมาะสมในการขุด จนกระทั่งเมื่อวันที่ (9 พ.ย) ที่ผ่านมาได้เวลาฤกษ์ดี จึงชวนพี่น้องและชาวบ้านบางส่วนใช้จอบและเสียมขุดหาในบริเวณดังกล่าวจนกระทั่งเที่ยงคืน จึงพบและได้ทำพิธีนำขึ้นมาบูชา แต่ร่างทรงบอกว่าเขาให้เจอแค่นั้น ต้องรอคืนวันที่ 10 อีกทีจึงจะพบพระปางนาคปรกองค์ใหญ่อีกองค์




ทั้งนี้ทางเจ้าของบ้านได้ขอร้องชาวบ้านและประชาชนที่มาดูว่าอย่าส่งข่าวและแชร์ออกไป เพราะเกรงว่า เจ้าหน้าที่จะมายึดของดังกล่าวไป เพราะตนคิดว่าเขามาเข้าฝันเรา เขาคงจะให้เราเป็นเจ้าของ และตนก็จะไว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัวต่อไป

ล่าสุด นางบัวลอย อายุ 39 ปี เจ้าของ เปิดเผยว่า เมื่อปีที่แล้วฝันว่าในบ้านหลังนี้ มีพระและของโบราณอยู่ แต่ยังไม่พร้อมหลายๆอย่างก็เลยอยู่ๆไปก่อน แต่เมื่อวันที่ 1 พ.ย.60 ได้ฝันว่ามีเครื่องบินมาลง มีพญานาคมาบอกว่า ถึงเวลาแล้วนะ เป็นโองการสวรรค์ สำหรับตนมีอาชีพเกษตรกรรม อดีตเคยเป็นร่างทรง

บรรยากาศทั้งวันพบว่า ชาวบ้านที่ทราบข่าวแห่มากราบไหว้ และพากันถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก รวมทั้ง นายอำเภอกาบเชิงและ นายก อบต.แนงมุด ก็ลงพื้นที่มาตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว พญานาคมาเข้าฝัน และผุดขึ้นในพื้นที่บ้าน ต้องการให้ตนบูชา ส่วนการดำเนินการ ตรวจสอบโดยเจ้าหน้ากรมศิลปากรต่อไป











ที่มา: http://news.sanook.com/4218906/

11/11/60






หญิงชาวอินเดีย 5 ราย ถูกชาวบ้านมัดติดต้นไม้-รุมทำร้าย หลังต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด ขณะที่ทางฝ่ายสามีของพวกเธอก็ถูกรุมทำร้ายด้วยเช่นกัน


เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลี่เมล์ของอังกฤษรายงานว่า หญิงชาวอินเดีย 5 ราย ในหมู่บ้านหนึ่งในเขต Mayurbhanj รัฐโอริสสา ทางตะวันออกของอินเดีย ถูกกล่าวว่าเป็นแม่มด ร่ำเรียนฝึกฝนคาถา จึงถูกชาวบ้านจับมัดติดกับต้นไม้แล้วรุมทำร้ายทุบตีอย่างทารุณ ขณะที่ชาวบ้านอีกส่วนนับร้อยคนพากันมุงดู




โดยภายในคลิปเผยให้เห็นหญิงทั้ง 5 รายถูกมัดรวมกันติดอยู่กับต้นไม้ จากนั้นถูกชาวบ้านหลายคนเข้าไปทำร้ายทุบตีซึ่งพวกเขาใช้ทั้งมือ เท้า กิ่งไม้และท่อนไม้ และนอกจากหญิงทั้ง 5 รายดังกล่าวแล้ว สามีของพวกเธอก็ยังถูกกลุ่มชาวบ้านนี้ทำร้ายร่างกายด้วยเช่นกัน ด้วยเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย


ทั้งนี้ ผู้เสียหายทั้งหมดได้ยื่นเรื่องร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสืบสวน









ที่มา: http://news.sanook.com/4160890/

10/11/60






อัลบั้มภาพต่อไปนี้ งดงามด้วยการกระทำ ระหว่างวิ่งก้าวคนละก้าว ผ่านวัดนํ้าน้อยนอก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีอยู่ประโยคหนึ่งที่พระรูปนี้พูดกับพี่ตูน อ่านแล้วตื้นตันใจมาก




พระรูปนี้กระซิบบอกตูนว่า...

"หลายวันก่อนโยมยังเป็นนักดนตรี
แต่วันนี้ กลายเป็น นักสร้างตำนานแล้ว"

เขารีบเงยหน้าขึ้นมาตอบว่า
“ไม่ใช่ผมหรอกครับ
ทุกคนต่างหากที่สร้างตำนาน”

หยิบภาพล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ ๙
มอบให้ แล้วบอกเขาว่า
“ในหลวงรัชกาลที่ ๙
ท่านเคยเสด็จมาที่วิหารด้านหน้านี้ด้วยเช่นกัน”
เขามองภาพแล้ว …..หลับตา

สุดท้าย เขาบอกพระว่า

“ช่วยจับหัวผมหน่อยครับ”

จับหัวเขาแล้วอำนวยพรว่า
“ขอให้สำเร็จทุกประการ”

คุณโยมทำปักษ์ใต้บ้านอาตมาน้ำท่วมท่วมไปด้วยน้ำใจ ที่ไม่มีกำแพงใดๆ ไม่ว่าเชื้อชาติ ศาสนา เพศ วัย หรือสิ่งใด ขวางกั้นได้อ่อนโยน – อ่อนน้อม – ถ่อมตัว จริงใจ – มั่นคง – มั่นใจ – เสียสละ เพราะหลายสิ่งในตัวผู้ชายคนนี้ จึงก่อให้เกิด “ศรัทธา” ที่ท่วมท้น อนุโมทนา ผู้ร่วมสร้างสิ่งดีงามในครั้งนี้ทุกท่าน













ที่มา: http://www.kanomjeeb.com/gallery/3381/





แม่ค้าสาวร้านขนมจีนเปิดใจ หลังถูกลูกค้าอารมณ์ร้อน ไม่พอใจปาถุงน้ำเงี้ยวเดือดๆ ใส่หน้า ลวกตามร่างกาย ยืนยันไม่ได้ก่อกวนหรือตอบโต้ลูกค้า ไม่ถือสาโกรธเพราะเข้าใจคนอารมณ์ร้อน

จากกรณีที่โด่งดังไปทั่วโซเชียลมีเดียว ลูกค้าสาวสุดโหดขว้างถุงขนมจีนน้ำเงี้ยวเดือดๆ ใส่แม่ค้าร้านขายขนมจีนเชียงใหม่ จนเป็นแผลผุพองน้ำร้อนลวกขนาดใหญ่ตั้งแต่ช่วงคอลงไปถึงหน้าอก อีกทั้งยังยืนต่อว่าซ้ำ เหตุไม่พอใจรอนาน ล่าสุดแม่ค้าสาวอาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว แต่ยังต้องพักรักษาตัวต่อ ทำให้ต้องขาดรายได้เลี้ยงครอบครัว และหวังให้อีกฝ่ายออกมารับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: ลูกค้าสาวปาขนมจีนน้ำเงี้ยวร้อนๆ ใส่แม่ค้า ฉุนใส่ถุงเล็กให้

น้องคำ อายุ 26 ปี ลูกจ้างร้านขนมจีนป้าพินธุ์ ย่านสันติธรรมในตัวเมืองเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เหตุดังกล่าวลูกค้าสาวได้เข้าร้านมาสั่งซื้อขนมจีนน้ำเงี้ยง 1 ถุง ราคา 30 บาท บอกให้ตนใส่ถุงใหญ่ให้ อีกทั้งยังตำหนิว่าตนมัดปากถุงให้ช้า วันเกิดเหตุตนก็ชี้แจงไปกับลูกค้าว่า ที่ร้านมีเพียงถุงขนาดเดียว ประกอบตนเจ็บมืออยู่ทำให้มัดถุงได้ช้า ทันใดนั้นลูกค้าหยิบถุงน้ำเงี้ยวร้อนๆ มาสาดเข้าใบหน้าตน ถุงแกงแตกและลวกใส่ลำคอไปถึงหน้าอก




เหตุการณ์ตนก็เข้าใจว่าลูกค้าคงอารมณ์ร้อนและไม่พอใจ เพราะหลังก่อเหตุลูกค้าก็ยังถูกต่อว่าด่าทอซ้ำอีก พร้อมกับหาว่าตนทำหน้าตายียวนกวนประสาท โดยที่ตนก็ไม่ได้ตอบโต้ลูกค้าใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นแฟนหนุ่มของลูกค้าก็เข้ามาขอโทษตน บอกว่าเธอเป็นคนใจร้อนมาก และรับปากว่าจะรับผิดชอบด้วยการพาไปรักษา แต่ตนก็ปฏิเสธเพราะต้องรอนายจ้างก่อน อีกทั้งยังรู้สึกกลัวคู่กรณี ไม่กล้าเดินทางไปด้วย

กระทั่งต่อมาคู่กรณีก็ได้ตกลงกับนายจ้างว่าจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาแผล เสียค่าใช้จ่าครั้งแรกกว่า 7,000 บาท และเพิ่งไปล้างแผลเสียไปอีกกว่า 3,000 บาท ขณะที่วันนี้แพทย์ได้นัดไปตรวจอาการ ยังไม่ทราบว่าจะเสียค่าใช้จ่ายอีกเท่าไหร่

นอกจากนี้ น้องคำ ยังกล่าวต่อว่า หลังจากที่เกิดเหตุได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับคู่กรณีแล้วที่สถานีตำรวจภูธรช้างเผือก โดยที่ทางพนักงานสอบสวนกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานและจะเรียกตัวคู่กรณีมารับทราบข้อกล่าวหา รวมทั้งเจรจาไกล่เกลี่ยให้รับผิดชอบค่าเสียหายต่างๆ ทั้งนี้ยืนยันว่าตนไม่เคยรู้จักหรือมีความขัดแย้งกับลูกค้าสาวคนนี้มาก่อน

แต่อย่างไรก็ตาม ตนก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองใดๆ และให้อภัยกับสิ่งที่กระทำ ส่วนบาดแผลจากการถูกน้ำเงี้ยวร้อนๆ ลวกนั้น ตอนนี้ยังเจ็บแผลอยู่แม้ว่าอาการจะดีขึ้นบ้าง แต่ยังไม่สามารถไปทำงานได้ตามปกติ และทำให้ต้องขาดรายได้จากการทำงานไปวันละ 700 กว่าบาท ต้องเดือดร้อนพอสมควร เนื่องจากมีภาระต้องรับผิดชอบดูแลครอบครัว เพราะปกติตัวเองจะทำงานที่ร้านขนมจีนของนายจ้างวันละ 2 กะเวลา ตั้งแต่ 11 โมงเช้า ถึง ตี 2 ซึ่งหลังเกิดเหตุตนก็ไม่สามารถไปทำงานได้และเจ้าของร้านต้องปิดร้านด้วย ทั้งนี้หวังว่าคู่กรณีจะเห็นใจและแสดงความรับผิดชอบ










ที่มา: http://news.sanook.com/4191702/

9/11/60







ในโลกออนไลน์ได้มีการส่งต่อเรื่องราวสุดประทับใจของภิกษุผิวสีรายหนึ่ง ที่ได้บุกเบิกนำพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ยังทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะประเทศอูกานดา ซึ่งเป็นแผ่นดินบ้านเกิด ทราบชื่อต่อมาคือ พระพุทธรักขิตะ หรือ สตีเว่น คาบอคโกซา (Steven Kaboggoza) ชาวอูกานดา ประเทศหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา


โดยพระพุทธรักขิตะ เผยว่า แรกเริ่มท่านรู้จักพุทธศาสนาเพียงผิวเผินตามหนังสือเรียน แต่พอรู้จักพระสงฆ์ไทยจากการเป็นเพื่อนร่วมชั้นระหว่างเรียนการบริหารที่อินเดีย ก็ทำให้ท่านสนใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งหลังเรียนจบก็ได้ออกเดินทางไปยังพื้นที่กำเนิดพุทธศาสนาต่างๆ ทั้ง ทิเบต และเนปาล ก่อนที่จะจบลงที่ประเทศไทย ซึ่งการมาที่ไทยนอกจากมาศึกษาพระพุทธศาสนาแล้ว ก็มาประกอบอาชีพหาเงินด้วยการเป็นครูดำน้ำที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานีด้วย ก่อนที่จะกลับไปบ้านเกิดอีกครั้งหลังจากห่างบ้านไปท่องโลกนาน 7 ปี




และจากตรงนี้นี่เองที่ทำให้ท่านคิดที่จะอุทิศตนเพื่อพุทธศาสนาด้วยการบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เนื่องจากพอไปถึงที่บ้านญาติๆ ของเขาก็ไม่ค่อยชอบใจที่ท่านนำหนังสือธรรมะกลับไปด้วย โดยถึงขั้นจะเผาหนังสือทิ้งและให้เขาหันไปนับถือศาสนาคริสต์ตามครอบครัว ท่านจึงตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง


โดยคราวนี้ได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อไปศึกษาธรรมะโดยเฉพาะ จนกระทั่งปี 2002 ท่านจึงตัดสินใจบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ หลังได้พบกับ ท่านปัณณาธิภา (Pannadipa) ณ ศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนาตถาคต (Tathagata) ทีเอ็มซี – TMC – Tathagata Meditation Centre ในเมืองซาน โฮเซ่ (San Jose) รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) โดยมีพระอาจารย์ คือ ท่านซายาดอว์ ยู สิละนันทะ (Sayadaw U. Silananda)

ทั้งนี้หลังจากศึกษาพระธรรมมาได้ระดับหนึ่ง ท่านจึงตัดสินใจกลับบ้านเกิดอีกครั้ง เพื่อทำตามปณิธานที่ตั้งไว้ว่า “จะต้องกลับไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ยูกันดาให้จงได้” ซึ่งฟังดูอาจจะดูเหมือนง่าย แต่หากพอทำจริงมันยากมากเพราะชาวบ้านยังไม่เชื่อใจ บ้างก็ว่าท่านถูกมนต์ดำ บ้างก็ว่าท่านวิกลจริต เดินเข้ามาแกล้งสารพัด จนเป็นที่ตลกขบขัน แต่ด้วยวัตรปฏิบัติของท่านที่เรียบง่าย และงดงาม ไม่เคยถือโทษโกรธผู้ใด แต่ไขข้อสงสัยให้แก่ผู้ที่เข้ามาตั้งคำถามอย่างใจเย็น จนเป็นที่น่าประทับใจ ทำให้ผู้คนเปิดใจให้กับท่านมากขึ้น


และในปี 2005 ศูนย์พระพุทธศาสนาในยูกันดาได้รับการสถาปนาขึ้น ในนาม Uganda Buddhist Centre หรือ UBC ซึ่งถือเป็นจุดเกิดพระพุทธศาสนาในดินแดนกาฬทวีปแผ่นดินแอฟริกา


โดยคราวนี้ได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อไปศึกษาธรรมะโดยเฉพาะ จนกระทั่งปี 2002 ท่านจึงตัดสินใจบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ หลังได้พบกับ ท่านปัณณาธิภา (Pannadipa) ณ ศูนย์ปฏิบัติวิปัสสนาตถาคต (Tathagata) ทีเอ็มซี – TMC – Tathagata Meditation Centre ในเมืองซาน โฮเซ่ (San Jose) รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) โดยมีพระอาจารย์ คือ ท่านซายาดอว์ ยู สิละนันทะ (Sayadaw U. Silananda)

ข้อมูลบางส่วนจาก ศูนย์กลางพุทธศาสนาในยูกันดา และ พุทธรักขิตาภิกขุ กับการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแอฟริกา โดย คุณ สุภาศิริ อมาตยกุล









ที่มา: http://hossod.com/





เมื่อวันที่ 2 พ.ย. เอเอฟพีรายงานการค้นพบครั้งใหม่ที่น่าตื่นตะลึงในแวดวงนักโบราณคดีอีกครั้ง หลังผลการสแกนของคณะนักวิจัยมหาพีระมิดกีซ่า หรือพีระมิดคูฟู พบช่องว่างขนาดมหึมา 2 แห่ง ภายในพีระมิด โดยหนึ่งในช่องว่างนี้มีขนาดเท่าใหญ่โตพอๆ กับเครื่องบินเชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน



 ช่องว่างทั้งสองแห่งไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน และยังไม่เคยได้รับการสำรวจมานานกว่า 4,500 ปี โดยก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์ทราบเพียงว่าในมหาพีระมิดแห่งนี้มีช่องว่างเพียง 2 แห่งเท่านั้น ได้แก่ ห้องเก็บมัมมี่ฟาร์โรห์ และห้องเก็บมัมมี่พระมเหสี




ทั้งนี้ พีระมิดคูฟู หรือพีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา ถือเป็นหนึ่งในสามหมู่พีระมิดแห่งกีซ่า และมีขนาดใหญ่ที่สุด รวมทั้งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วย โดยนักโบราณคดีเชื่อว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู แห่งราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล









ที่มา: https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_611685

8/11/60






คลิปต่อไปนี้ทางทีมงานจะพาไปชมกับคลิปการชกสุดมันส์ เมื่อ "แสนชัย" สั่งสอนจนสลบ แล้วมาปลอบใจ "น้องยักษ์" หลังจากฟื้นขึ้นมา ในการชกแบบคาดเชือก ไม่เป็นไรนะ..ครั้งหน้าพี่จะรอเอ็งกลับมาแก้เหมือนใหม่ จะสุดมันส์ขนาดไหน ลองไปชมจากในคลิปนี้กันเลย



คลิปนี้โพสต์โดย กาดํา FUNNY MUAYTHAI








ที่มา: http://www.kanomjeeb.com/highlight/9608/





คลิปต่อไปนี้หลายคนอาจจะตื่นเต้นที่ได้ดู เพราะเป็นคลิปที่หาดูยาก ทางทีมงานจะพาไปชมกับคลิป อันดับเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ วินาทีการปล่อยน้ำที่ใหญ่ที่สุด จะเป็นอย่างไร ลองไปชมจากในคลิปนี้กันเลย



คลิปนี้โพสต์โดย Channel MR.B








ที่มา: http://www.kanomjeeb.com/highlight/9606/





ตำรวจไล่จับ "นายตั๊ม" ไอ้หื่นเพิ่งพ้นโทษคดีปล้ำเด็ก อาสาพาสาวทอมไปส่งสาวทอม ก่อนลวงเข้าป่าพาไปขืนใจ แต่ดิ้นหลุดหนีมาได้

(7 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาพขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ชีพมูลนิธิสว่างบริบูรณ์เมืองพัทยาเร่งนำสาวทอม เหยื่อเคราะห์ร้ายที่ถูกคนรู้จักทำร้ายร่างกายและพยายามจะข่มขืนกระทำชำเรา ส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลบางละมุง ขณะที่ พ.ต.ท.วุฒิพงษ์ สมใจ รอง ผกก.(ป.) สภ.หนองปรือ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจและเจ้าหน้าที่กู้ชีพมูลนิธิสว่างบริบูรณ์เมืองพัทยาและรถพยาบาล เข้าตรวจสอบบริเวณถนนพัฒนาการ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังได้รับแจ้งมีสาวทอมถูกทำร้ายร่างกาย

ในที่เกิดเหตุพบ นางสาววรรณภา 16 ปี ที่อยู่ในอาการจุกและเจ็บบริเวณหน้าอก เจ้าหน้าที่จึงทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเล่าว่า ในระหว่างยืนรอรถสองแถวจะไปทำงาน มี นายตั้ม คนร้ายที่รู้จักมาขันอาสาไปส่ง โดยอ้างว่าได้ไม่เปลืองเงิน ตนเองจึงยอมให้นายตั้มไปส่ง เพราะไม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น




จากนั้น นายตั้มได้พาขับรถวนไปหลายรอบ กระทั่งพาขับเข้าไปในป่าข้างทาง ก่อนลงจากรถแล้วเอามือปิดปาก ก่อนพูดว่า น้องไม่ต้องกลัวพี่จะไม่บอกใคร จากนั้นนายตั้มได้ปลดกลางเกงตนลงกองที่พื้น ตนพยายามบอกอย่าทำ ก่อนอาศัยจังหวะดินหลุดและวิ่งหนีออกมาจากป่ามาร้องของความช่วยเหลือ ส่วนตัวนายตั้มได้หลบหนีไป

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบและทราบว่า นายตั้ม หรือ นายธีรศักดิ์ อายุ 30 ปี มีที่พักอยู่ภายในซอยเขาน้อย จึงนำกำลังเข้าไปจับกุมได้ที่บ้านพักและควบคุมตัวมาสอบสวน เพื่อส่งดำเนินคดีตามกฏหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติพบว่า นายธีรศักดิ์ เพิ่งพ้นโทษออกจากคุกมาไม่นาน ในคดีกระทำชำเราเด็กเมื่อปี 2553










ที่มา: http://news.sanook.com/4160762/






พ่อบุรีรัมย์ร้องเรียนสื่อ ลูกชายกลับมาร้องไห้บอกว่าโดนไล่ออก หนำซ้ำยังบังคับให้กราบเท้าขอโทษ อ้างเล่นกับเพื่อนรุนแรง ด้าน ผอ.ยืนยันไม่จริง เป็นเรื่องเข้าใจผิด

(7 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งร้องเรียนจาก นายสิงหา อายุ 35 ปี ผู้ปกครองของน้องแมน (นามสมมติ) อายุ 9 ปี นักเรียนชั้นประถมปีที่ 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ หลังจากที่ลูกชายถูกทางโรงเรียนไล่ออก แต่ไม่ยอมออกตามมติ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรมในกรณีนี้

นายสิงหา เปิดเผยว่า เมื่่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ลูกชายกลับมาบ้านตั้งแต่ช่วงเที่ยงวัน พร้อมกับหิ้วกระเป๋านักเรียนมาร้องไห้เสียใจ เนื่องจากถูกผู้อำนวยการโรงเรียนสั่งไล่ออก เนื่องจากเล่นกับเพื่อนมากเกินไป ในตอนแรกตนก็ไม่เชื่อ จึงได้พาลูกชายไปหาผู้อำนวยการโรงเรียน ก่อนจะได้รับคำตอบว่า ไม่ได้ไล่ออกแต่เด็กเข้าใจผิด

ผู้อำนวยการโรงเรียนบอกว่า ได้มีการตักเตือนเพราะเห็นว่าเด็กๆ เล่นกันรุนแรงเกินไป จึงได้จับแยกออกจากกัน แต่สิ่งที่ นายสิงหา ไม่ค่อยชอบใจนักกับคำพูดของผู้อำนวยการฯ ที่บอกว่า "เหมือนหมากัดกันเราต้องใช้น้ำสาดใส่ให้แยก" แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร ตนกับลูกจึงได้ขอโทษในเรื่องความเข้าใจผิด




กระทั่งช่วงเย็นวันเดียวกันนั้น ลูกชายกลับบ้านมาเล่าอีกว่า หลังจากที่พ่อกลับไปแล้ว ครูประจำชั้นพาให้ไปหาผู้อำนวยฯ อีกครั้ง พร้อมกับบังคับให้ก้มกราบเท้า แต่ลูกไม่เข้าใจเพราะไม่รู้ที่ไปที่มา จนถูกครูจับกดตัวให้คุกเข่าลง ก่อนจะยกมือไว้และจับหัวลงให้กราบเท้า

นอกจากนี้ เช้าวันถัดมายังเสียงซุบซิบในโรงเรียนว่า ทำไมลูกชายยังมาโรงเรียนอยู่อีก ทั้งๆ ที่โดนไล่ออกไปแล้ว ทำให้ตนในฐานะพ่อรู้สึกไม่สบายใจ การกราบเท้าครูบาอาจารย์เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญู แต่ต้องไม่ใช่การบังคับและทำเช่นนี้กับเด็ก

นายสิงหา บอกว่า ตนก็อยากจะทราบเหตุผลของการกระทำเช่นนี้ บังคับให้ลูกชายก้มลงกราบเท้า จึงอยากจะเรียกร้องให้ทางโรงเรียนเห็นใจเด็กและอยากให้ชี้แจงทำความเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ทางผู้สื่อข่าวก็ได้ติดต่อสอบถามประเด็นนี้ไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งดังกล่าว ก็ได้รับคำตอบว่า ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง ไม่เคยสั่งไล่เด็กออกจากโรงเรียน ส่วนการบังคับให้เด็กก้มกราบเท้าก็ไม่เคยเกิดขึ้น เพียงแต่เรียกให้มาพบเท่านั้น เพราะเหตครั้งนี้เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย พร้อมกับขอให้เป็นเรื่องภายในโรงเรียน ไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ อีก











ที่มา: http://news.sanook.com/4161058/

7/11/60








เร็วๆ นี้ที่ถนนแห่งหนึ่งในอำเภอฟางเฉิง เมืองหนานหยาง มณฑลเหอหนาน ชายคนหนึ่งเป็นลมล้มพับไประหว่างจูงสุนัขเดินเล่น ขณะที่ผู้คนรอบข้างกำลังโทรเรียกรถพยาบาลนั้นเอง เจ้าหมาน้อยก็คอยมาอยู่ใกล้ๆ และใช้ขาหน้าแตะศีรษะของเจ้าของ พยายามเรียกให้เขาฟื้นขึ้นมา

บรรดาชาวเน็ตต่างเห็นพ้องกันว่าสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์กับเจ้าของมาก ดังคำกล่าวที่ว่าเลี้ยงดูสุนัขหนึ่งวัน สุนัขจะตอบแทนบุญคุณไปสามปี







ที่มา: http://news.sanook.com/4162050/





 ชาวเมืองพิชัยฮือฮา! อนุสาวรีย์ พระยาพิชัยดาบหัก มีคราบน้ำไหลออกมาเป็นทางพาดผ่านแก้มเสมือนหนึ่งมีน้ำตาไหลอาบแก้มทั้ง 2 ข้าง เผยเพิ่งผ่านวันชนะศึก พระเจ้าตากสินนำทหารตีค่ายโพธิ์สามต้นแตก... 

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 7 พ.ย. 60 นายเจษฎา ลิ้มศรีตระกูล นายอำเภอพิชัย พร้อมด้วย นายศิลปชัย ถาวรพัฒนาสกุล นายก อบต.ในเมือง อ.พิชัย ได้ลงพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพื้นที่บ้านเกิดพระยาพิชัยดาบหัก ที่บ้านห้วยคา อ.พิชัย หลังได้ทราบข่าวว่าอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหักซึ่งเป็นปางนั่งครองเมือง คล้ายมีคราบมีน้ำตาไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง และเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมาเป็นวันสำคัญ ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พร้อมทหารเอกคู่บัลลังก์คือพระยาพิชัย เข้าโจมตีเอาชนะข้าศึกที่ค่ายโพธิ์สามต้น ที่เรียกว่าวันชนะศึก 




ทั้งนี้ ทางอำเภอพิชัยพร้อมด้วยองค์การบริหารส่วนตำบลในเมือง ได้ใช้รถกระเช้า นำขันเงินบรรจุน้ำสะอาด พร้อมผ้าสะอาด เพื่อเช็ดบริเวณที่มีน้ำตา โดยอาจเป็นปรากฏการณ์ที่ต้องตรวจสอบตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงนี้อากาศชื้นเย็นและน้ำค้างที่กระทบกับโลหะในองค์ท่านจนเกิดเป็นคราบคล้ายน้ำตาไหลออกมาก็เป็นไปได้

"อย่างไรก็ตาม หากเป็นน้ำตาจริง ก็น่าจะเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ เพราะทางอำเภอได้มีการพัฒนาพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ให้มีความสะอาดสวยงาม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยหลังจากที่มีข่าวเรื่องน้ำตา ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่และจังหวัดที่ใกล้เคียงให้ความสนใจเข้ามากราบสักการะอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหักเป็นจำนวนมาก"


นายเจษฎา นายอำเภอพิชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ชาวบ้านเคยเล่าให้ฟังว่า เคยเกิดมาก่อนหน้านี้แล้ว 2 ครั้ง คือช่วงที่เกิดปัญหาการเมืองแบ่งเป็น 2 สี และช่วงใกล้วันถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ก็เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว  

อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก ประดิษฐานอยู่ที่ บ้านห้วยคา ต.ในเมือง อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งมีพื้นที่กว่า 326 ไร่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2545 ภายในมีการจัดแสดงชีวประวัติพระยาพิชัยดาบหักและมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น และมีรูปอนุสาวรีย์พระยาพิชัยและลานสวนกว้างที่ตกแต่งด้วยไม้ประดับที่มีความร่มรื่นสวยงามเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของอำเภอพิชัย เปิดให้บริการทุกวันช่วงเวลา 08.30-16.00 น.








ที่มา: https://www.thairath.co.th/content/1119827





ตำรวจเจอตัวแล้ว “แม่ใจโหดเกินมนุษย์” ฆ่าลูกทั้งเป็น จับยัดถุงพลาสติกและโยนทิ้งจากคอนโดฯ แบบไม่สนใจใยดี เจ้าตัวไม่มีทีท่าว่าจะเสียใจต่อการกระทำแม้แต่น้อย

จากกรณีเมื่อวานนี้ (6 พ.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งพบเด็กทารกแรกเกิด เพศชาย ถูกคนใจร้ายจับยัดใส่ถุงพลาสติกแล้วโยนลงมาจากห้องพักภายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ริมถนนพัทยาสาย 2 ย่านพัทยากลาง

เบื้องต้นตำรวจตั้งไว้ 2 ประเด็นคือ แม่เด็กคลอดก่อนกำหนดแล้วเกิดแท้งจนเสียชีวิตเลยทิ้งศพเด็กเพราะกลัวความผิด หรือไม่ก็เป็นฝีมือของพ่อแม่ของเด็กที่ตั้งใจฆ่าเพราะไม่มีปัญญาเลี้ยง โดยหลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก.สภ.เมืองพัทยา สั่งการให้ชุดสืบสวนออกหาข่าวไล่ล่าตัวคนใจบาปมาดำเนินคดีตามที่ได้รายงานไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าของเรื่องนี้ พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก.สภ.เมืองพัทยา พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนร่วมจับกุม น.ส.เนตรชนก อายุ 20 ปี แม่ของเด็กทารกที่เสียชีวิต หลังจากตรวจสอบกล้องวงจรปิดและได้รับเบาะแสจากพลเมืองดีว่า น.ส.เนตรชนก กำลังตั้งครรภ์อยู่




จากการตรวจค้นห้องพักบนชั้นที่ 17 ของคอนโดมิเนียม พบหลักฐานหลายอย่าง ทั้งเสื้อผ้าและรองเท้าแตะเปื้อนเลือด ถูกทิ้งในถังขยะภายในห้องพัก นอกจากนี้ยังพบก้อนเนื้อลักษณะคล้ายรกเด็กอีก 1 ชิ้นตกอยู่ในพื้นห้องน้ำ และคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่เป็นจำนวนมากติดอยู่ตามผนังห้องน้ำและบริเวณหน้าต่างริมระเบียง

จากการสอบสวน น.ส.เนตรชนก ให้การว่า ตนได้คบหาเป็นแฟนกับ นายคิม อายุ 40 ปี ชาวเกาหลีใต้ มาเกือบ 2 ปีแล้ว นายคิม ก็มีภรรยาชาวเกาหลีใต้อยู่แล้ว ทำงานเป็นวิศวกรอยู่ที่โรงงานแห่งหนึ่งใน อ.ศรีราชา โดยจะเดินทางมาหาตนเป็นครั้งเป็นคราว

ต่อมาตนเกิดตั้งท้องและปัจจุบันอายุครรภ์ประมาณ 8 เดือนกว่าแล้ว แต่พอ นายคิม ทราบว่าตนท้อง จึงพยายามตีตัวออกห่าง ล่าสุดเจ้าตัวได้เอ่ยปากขอเลิกและจะกลับไปอยู่กับภรรยาที่ประเทศเกาหลีใต้ ทำให้ตนเสียใจเป็นอย่างมาก

กระทั่งเย็นวานนี้ ขณะตนเข้าห้องน้ำ จู่ๆ เด็กเกิดคลอดออกมากะทันหันในสภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่ด้วยความที่น้อยใจแฟนหนุ่มใหญ่แดนกิมจิ ประกอบกับไม่มีเงินจะส่งเสียเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่ จึงตัดสินใจจับเด็กยัดใส่ถุงพลาสติกแล้วโยนลงมาจากห้องพักดังกล่าว

พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก.สภ.เมืองพัทยา เปิดเผยว่า หลังจับกุม น.ส.เนตรชนก มีอาการตกเลือด จึงต้องส่งตัวไปรักษาที่ รพ.บางละมุง แต่ก็ได้อายัดตัวและส่งตำรวจไปเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจากการสังเกตในขณะสอบปากคำพบว่า น.ส.เนตรชนก ไม่ได้มีความเศร้าโศกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแม้แต่น้อย จึงถือว่าเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก เพราะฆ่าได้แม้กระทั่งลูกตัวเองและเป็นการฆ่าทั้งๆ ที่เด็กยังมีชีวิตอยู่










ที่มา: http://news.sanook.com/4159070/





เจ้าเบียร์ สุนัขพันธุ์อัลเซเซียนวัย 10 ปี สู้ตายแทนเจ้าของ หลังจากถูกวัยรุ่นเข้าทำร้ายร่างกาย โดยมีวงจรปิดจับภาพเหตุการณ์เอาไว้ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุการณ์จากภาพวงจรปิดเกิดขึ้นเมื่อเวลา 18.15 น. ของวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริเวณหน้าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ บริเวณหมู่บ้านพฤกษา 15 ต.บางปู อ.เมือง จ.สมุทรปราการ บันทึกภาพเหตุการณ์ที่มีชายวัยรุ่นอายุประมาณ 25 – 30 ปี ใช้เสื้อยืดปิดบังใบหน้า ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดที่หน้าร้าน โดยมีท่อนไม้ยาวประมาณ 1 เมตร ติดมือมาด้วย

หลังจากจอดรถเสร็จชายคนดังกล่าวได้ถือท่อนไม้ที่เตรียมมาด้วยวิ่งเข้าไปภายในร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ก่อนจะลงมือใช้ท่อนไม้ที่นำมาด้วยเข้าฟาดกระหน่ำทุบตีใส่ นายเดชา อายุ 58 ปี เจ้าของร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ ขณะกำลังปิดประตูร้าน





ก่อนจะวิ่งออกมาด้านนอก และระหว่างที่เจ้าของร้านต่อสู้กับคนร้ายนั้น เจ้าเบียร์ สุนัขพันธุ์อัลเชเซียน วัย 10 ปี ได้วิ่งเข้ามาช่วยเจ้าของและเข้ากัดคนร้ายจนต้องล่าถอยและรีบขึ้นรถ จักรยานยนต์ ขี่หลบหนีไป

หลังเหตุการณ์สงบ พบว่านายเดชาได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่ง ญาติจึงพาไปทำแผลที่โรงพยาบาล ก่อนจะเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.บางปู

นายเดชา เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุชายวัยรุ่นเข้ามาบอกให้ซ่อมที่พักเท้าหลังของรถจักรยานยนต์ที่มีการบิดงอ ให้ช่วยดัดกลับคืนสู่สภาพเดิม และเปลี่ยนยางรถจักรยานยนต์ด้วย แต่วัยรุ่นคนดังกล่าวมีอาการลังเล พูดกลับไปกลับมา และจะให้รีบทำให้เสร็จ ตนจึงบอกให้ไปทำร้านอื่น เพราะการดัดขาพักเท้าต้องใช้เวลานาน ก่อนที่วัยรุ่นจะขี่รถจักรยานยนต์ออกไป และย้อนกลับมาทำร้ายตน

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่พอจะทราบตัวผู้ก่อเหตุแล้ว พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดสมุทรปราการ โดยฝ่ายสืบสวนได้ออกไล่ล่าติดตามตัวแล้ว คาดว่าใช้เวลาไม่นานจะสามารถจับกุมตัวได้










ที่มา: http://news.sanook.com/4162610/





โลกออนไลน์มีการแชร์คลิป พระรูปหนึ่งกำลังมีปากมีเสียงกับพระอีกรูปจนถึงขั้นเตะก้านคอสลบ ล่าสุดเข้าพบตำรวจแล้ว

เพจเฟซบุ๊ก สำนักข่าวเจริญพวง ได้โพสต์คลิปเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่พระรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสแห่งหนึ่งใน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เกิดมีปากเสียงและเข้าไปเตะก้านคอพระลูกวัดกระทั่งหมดสติ

เบื้องต้นพบว่าสาเหตุเนื่องมาจากความขัดแย้งเรื่องเงินทำบุญช่วงเทศกาลวันลอยกระทง อีกทั้งยังมีข้อมูลว่า พระผู้ช่วยเจ้าอาวาสรูปนี้มักมีปัญหาขัดแย้งกับพระลูกวัดอยู่บ่อยครั้ง บางรายก็ถูกเตะหรือทำร้ายเข้าโรงพยาบาลในลักษณะเดียวกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอาเรื่อง

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า พระผู้ช่วยเจ้าอาวาสรูปนี้มีพฤติกรรมติดการพนัน เล่นหวยใต้ดิน และตีไก่ชน ทำให้สูญเสียเงินไปนับแสนบาท อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีข้อมูลว่าพระผู้ช่วยเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจและถูกดำเนินคดี เสียค่าปรับตามกฎหมายแล้ว










ที่มา: http://news.sanook.com/4150202/

6/11/60







เป็นอีกหนึ่งสีสันในขบวนวิ่งของ หนุ่มตูน บอดี้แสลม  เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ Tunt Silamat ได้เผยแพร่ภาพว่ามีสุนัขปริศนาตัวหนึ่งเข้ามาร่วมวิ่งในขบวนกับทีมงานพี่ตูนด้วย ซึ่งทางทีมงานเล่าว่า สุนัขตัวนี้วิ่งตามมาตั้งแต่เบตงยันจบเซต โดยช่วงพักมันก็เข้าไปนอนหลบแดดใต้รถทีมงาน และกินอาหารที่ให้









ล่าสุดทางทีมงานได้ตั้งชื่อให้มันว่า “เจ้าเบตง” มีรายงานว่าตอนนี้มีคนรับมันไปเลี้ยงต่อเรียบร้อยแล้ว














ที่มา: http://www.kanomjeeb.com/news/11825/

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget