18/1/61








กลายเป็นเรื่องราวที่ได้รับการแชร์ในโลกออนไลน์หลายพันครั้ง เมื่อสมาชิกเฟซบุ๊ก Nuttanitcha Chotsirimeteekul ได้แชร์เรื่องราวการให้ลูกชายตัวน้อยได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตหลังจากเอ่ยปากบอกพ่อแม่ว่า ไม่อยากเรียนหนังสือ ซึ่งสิ่งที่ได้ทำนั้น กลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญให้เด็กน้อยเข้าใจชีวิตอย่างดีเลยทีเดียว

โดยโพสต์ดังกล่าวเริ่มจากอธิบายว่า ลูกชายไม่อยากไปเรียนจึงอธิบายแต่หนูน้อยก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องไปเรียนหนังสือ พ่อแม่ จึงวางแผนให้ด้วยการพาไปทำงานร้านกับข้าวใกล้บ้าน ทำความสะอาดเช็ดถู หลังจากนั้น ก็พาหนูน้อยไปเดินเก็บขวดขาย ซึ่งก็ทำให้เด็กชายพบกับความลำบาก ความร้อน ความเหนื่อยที่กว่าจะได้เงินแต่ละบาทไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อให้ลูกได้รับรู้ ความสุข ความทุกข์ ความเหนื่อยยาก และเรายังอยู่ข้างเขา และในขณะเดียวกัน เราต้องสอนให้เขาอยู่โลกความจริง ในสิ่งรอบตัว




เพราะวันหนึ่งจะไม่มีเราอยู่ข้างเขาเสมอไป



โปรดดูวิดีโอ

เรื่องมีอยู่ว่า



ต้องสตรองและมุ่งมั่น

ชมคลิป








ที่มา: http://hossod.com/16148









ขึ้นชื่อว่า พระเกจิอาจารย์ แล้ว หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อีกองค์หนึ่งที่แทบทุกคนมักรู้จักท่านเป็นอย่างดี ไม่ว่าทางด้าน อิทธิปาฏิหาริย์ หรือทางด้านยารักษาโรค ท่านเป็นพระอาจารย์ที่ทรงคุณวิเศษหลายประการ เชื่อกันว่าท่านสําเร็จวิชา ๘ ประการ คือ…

๑.วิปัสสนาญาณ ๒.มโนมยิทธิ ๓.อิทธิวิธี ๔.ทิพโสต ๕.เจโตปริยญาณ ๖.ปุพเพนิวาสานุวัติ ๗.ทิพยจักษุ ๘.อาสวักขยญาณ

เมื่อหลวงปู่ท่านมีญาณถึงขั้นนี้แล้ว ท่านจะต้องเป็นพระที่แก่กล้าในทางอภิญญาแน่นอน ท่านเกิดเมื่อไรไม่มีใครทราบทราบแต่เพียงว่าพ่อชื่อ น่วม แม่ชื่อ ทองดี นามสกุล เกตเวชสุริยา เกิดที่บ้านปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท มีพี่น้องทั้งหมด๘คนด้วยกัน

ส่วนท่านเป็นคนโตพออายุได้๗ขวบ ท่านก็เรียนหนังสือภาษาไทยและขอมที่วัดนี้เอง สมัยเด็กท่านซุกซนมาก ชอบโดดนําเกาะเรือโยงเล่นเป็นประจำจนกระทั่งแม่ต้องทำโทษ ไม่ให้ขึ้นจากนำ อยู่มาวันหนึ่ง ขณะเล่นนำ จะเป็นเพราะสนุกหรือน้อยใจไม่ทราบได้ท่านเกาะเรือโยงเข้ากรุงเทพฯ แล้วไม่กลับไปบ้านอีกเลย หลักจากท่านบวชเป็นพระภิกขุแล้ว จึงเดินทางมาเยี่ยมแม่ที่บ้าน พอแม่เห็นต่างก็ดีใจ จากนั้นท่านก็ไม่ได้ทิ้งแม่ไปไหนอีกเลย พอถึงฤดูเข้าพรรษาท่านก็จำพรรษาที่วิหารเก่าแก่ของวัดปากคลองมะขามเฒ่านั่นเอง




เนื่องด้วยข้าพเจ้าได้ตํารายาสมุนไพรนี้มาโดยบังเอิญซึ่งเป็นตําราของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ (จากนายศุกล เฮ็งรักษา) ซึ่งได้มาจากร้านค้าของเก่า ข้าพเจ้าเห็นว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้นําไปใช้ และเพื่อดํารงค์รักษาตําราอันสําคัญ เหมื่อนเพชรลําค่า มิให้สูญหายไป ประกอบกับปัจจุบันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงฟื้นฟู พืชสมุนไพร ดังกล่าวด้วย

ตํารายาสมุนไพรนี้ หวังว่าคงได้รับความนิยมพอสมควร ความดีจากการทําดีทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าขอถวายให้กับหลวงปู่ศุข กรมหลวงชุมพร ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าทั้งหมดเลย

ตํารายาสมุนไพร ๑

ยาแก้โรคมะเร็ง

ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ กํแล้วามะถันเหลือง ๑ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๔ บาทเท่ากัน กะลามะพร้าวแก่ (ผ่าเป็น ๔ ส่วน เอา ๓ ส่วน) ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้นํามาใส่หม้อดินต้มกับนําพอสมควร ใช้นํารับประทานต่างนําชา จนนํายาจืด มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็ง ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล เคยใช้รักษาหายมาแล้วฯ

ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา กระดูกงูเห่า ๑ หัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ ทิ้งถ่อน ๑ แก่นมะเกลือ ๑ มะเดื่อปล้อง ๑ ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้เอาอย่างละเท่าๆกัน นํามาใส่หม้อดินต้มกับนําพอสมควร ใช้นํารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลาก่อนอาหาร วันละ ๓ เวลา มีสรรพคุณแก้โรคมะเร็งทุกอย่าง เป็นยาตัดรากโรคมะเร็งให้หายขาด เคยใช้รักษาหายมามากแล้ว ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ

ยาแก้ปวดเมื่อยต่างชนิด

ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา ลูกข่อย ๑ ขนาน, แห้วหัวหมู ๑ขะนาน,หางไหลหัวเผือก หนัก ๒๐ บาท, กรุงเขมา หนัก ๒๐ บาท, ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้นํามาตากให้แห้ง ตําเป็นผง ผสมกับนําผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทรา ใช้รับประทานครั้งละ ๒-๓ เม็ด เวลาก่อนนอน เมื่อรับประทานยานี้ได้ผลดีแล้ว ต้องกรวดนําอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าของยาขนานนี้ด้วย มีสรรพคุณแก้ปวดเมื่อยได้ผลดีชะงัดแลฯ

ยาแก้ปวดขาอย่างรุนแรง

ท่านให้เอาเถากะทกรก หนัก ๑ บาท, หญ้างวงช้าง ๑, รากคนทา ๑, ขิงแห้ง ๑,หัวข่า ๑,หญ้าหางช้าง ๑, ตัวยาทั้ง ๖ นี้เอาหนักอย่างละ ๑๐ บาทเท่ากัน ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้นํามาใส่หม้อดินต้มกับนําสามส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลื่อนํา ๑ ส่วน ใช้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยกาแฟ เวลา เช้า กลางวัน เย็น วันละ ๓ เวลา มีสรรพคุณแก้โรคปวดขาอย่างรุนแรงให้หายไปได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ

ยาลดความอ้วน

ท่านให้เอา ต้นบอระเพ็ด จำนวนมากพอสมควรนำมาล้างนำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆตากแดดให้แห้ง บดให้ละเอียด ผสมกับ นำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทรา ใช้รับประทานครั้งละ ๓ เม็ด เวลาก่อนอาหารเช้า ทุกวันติดต่อกันประมาณ ๑ เดือน ความอ้วนจะค่อยๆลดลงไปตามลำดับ โดยไม่เสื่อมเสียสุขภาพและไม่เป็นการทรมารสังขารอีกด้วย มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ

ยาลดไขมันในร่างกาย

ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา ต้นแห้วหมูทั้งห้า (ถอนเอาทั้งต้นตลอดถึงราก) จำนวนมากน้อยตามต้องการ นำมาล้างนำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆตากแดดให้แห้ง คั่วไฟให้สุกเหลือง ใช้ชงกับนำร้อนรับประทานต่างนำชา มีสรรพคุณช่วยลดไขมันในร่างกาย ได้ผลอย่างชะงัดนักแล เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้วฯ

ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา เมล็ดกาแฟดิบๆจำนวน ๑๔ เมล็ด นำมาแช่นำไว้ในตู้เย็นตอนกลางคืน รุ่งขึ้นเช้า นำเอาเมล็ดกาแฟนั้นมาต้มกับนำ ประมาณ ๓-๔ ถ้วยแกง ต้มเคี่ยวให้นานๆ ใช้นำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลา เช้า-กลางวัน-เย็น วันละ ๓ เวลา ติดต่อกัน ๗ วัน มีสรรพคุณช่วยลดไขมันในร่างกายได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ

ยาแก้โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

ท่านให้เอา หัวกระเทียมโทน (กระเทียมหัวเดียวโดยเพาะ ไม่มีกลีบ) ๒๑หัว นํามาปอกเปลือกแล้วใส่โหล หรือ ใส่โถ ใส่นําผึ้งแท้ลงผสมให้ท่วมหัวกระเทียม ปิดฝาโหล หรือ โถ ให้สนิท หมักดองไว้ ๗ วัน ติดต่อกัน มีสรรพคุณแก้โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ

ตํารายาสมุนไพร ๒

ยาแก้โรคหัวใจ

ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา หัวยาข้าวเย็นทั้ง ๒ (คือหัวยาข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑)กํามะถันเหลือง ๑, กําแพงเจ็ดชั้น ๑, ทองพันชั่ง ๑, ชะเอมเทศ ๑,ตัวยาทั้ง ๖ อย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๑๐ บาทเท่ากัน นํามาใส่หม้อดินต้มกับนําพอสมควร ใช้นํายารับประทานครั้งละหนึ่งถ้วยชา เวลาหลังอาหารวันละ ๓ เวลา มีสรรพคุณแก้โรคหัวใจโต ซึ่งมีอาการหัวใจเต้นปรกติ อ่อนเพลีย เหนื่อยหอบให้หายไป ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ

ขนานที่ ๒ ท่านให้เอาต้นไมยราบ (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) นำมาล้างนำให้สะอาด สับเป็นชิ้นเล็กๆตากแดดให้แห้ง คั่วไฟให้สุกเหลือง ใช้ชงกับนำร้อนรับประทานต่างนำชา มีสรรพคุณแก้โรคหัวใจสั่น หรือ หัวใจเต้นแรงผิดปรกติ ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้วฯ

ขนานที่ ๓ ท่านให้เอา ต้นและใบบัวบก จำนวนมากพอสมควร นำมาล้างนำให้สะอาด ตำให้แหลก คั้นเอานำ ผสมกับ นำตาลทรายแดง หรือ นำตาลทรายขาว ก็ได้ พอมีรสหวานเล็กน้อย ใช้รับประทานครั้งละ ๑ แก้ว วันละ ๓ เวลา ติดต่อกันประมาณ ๗-๑๐วัน มีสรรพคุณแก้โรคหัวใจ ซึ่งมีอาการเจ็บปวดที่หน้าอกข้างซ้าย หายใจขัด เหนือยง่าย ออ่นเพลีย มีเหงื่อออกอยู่ตลอดเวลา ได้ผลดีชะงัดนักแล เคยใช้รักษาตัวเองหายขาดมาแล้วฯ

ขนานที่ ๔ ท่านให้เอา หัวผักกาดขาวสด (หัวไชเท้า) นำมาล้างนำให้สะอาด ปอกเปลือกแล้ใช้จิ้มนำผึ้งแท้ รับประทานครั้งละ ๑ หัว เวลาเช้า-เย็น ทุกวัน ประมาณ ๑๕ วัน มีสรรพคุณแก้โรคหัวใจ ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ เมื่อหายโรคแล้ว ให้ใส่บาตรพระ ๕ องค์ อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าของยาขนานนี้ด้วยฯ

ขนานที่ ๕ ท่านให้เอา มะพร้าวออ่น ๑ ลูก นำมาปอกตัดหัวออก เอาต้นคื่นฉ่ายสด นำมาหั่นเป็นท่อนๆประมาณ ๑ กำมือ ใส่ลงในผลมะพร้าวออ่นนั้น นำไปเผาไฟให้เดือดประมาณ ๕-๑๐ นาที ใช้นำมะพร้าวพร้อมกับคื่นฉ่ายนั้นรับประทานให้หมด ให้ปรุงยานี้รับประทานวันละ ๑ ครั้ง ติดต่อกัน ๗ วัน แล้วปรุงยานี้รับประทานวันเว้นวัน ต่อไปอีกประมาณ ๑-๒ เดือน มีสรรพคุณแก้โรคหัวใจ ซึ่งมีอาการหายใจขัด ปวดเจ็บที่หน้าอกข้างซ้าย ออ่นเพลีย ไม่มีแรง ให้หายขาด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้วฯ

ยาแก้โรคความดันโลหิตสูง

ขนานที่ ๑ ท่านให้เอาต้นกาฝากมะม่วงทั้ง ๕ (เอาทั้งต้นตลอดถึ่งราก) จำนวนมากพอสมควร นำมาตากแดดให้แห้ง ใส่หม้อดินต้มกับนำพอสมควร ใช้นำยารับประทานต่างนำชา มีสรรพคุณแก้โรคความดันโลหิตสูงให้ลดลง อาการปวดศรีษะจะพลันหายไป ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ

ขนานที่ ๒ ท่านให้เอา รากมะละกอตัวผู้ (เอารากทางทิศตะวันออก ตัดหัวและปลายรากทิ้งเสีย) ๑ กำมือ กับ สารส้ม (ก้อนขนาดเท่าหัวแม่มือ) ๑ ก้อน นำมาใส่หม้อดินต้มกับนำพอสมควร ใช้นำยารับประทานครั้งละ ๑ แก้ว วันละ ๒-๓ ครั้ง มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูงให้ลดลงเป็นปรกติ ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ

ขนานที่ ๓ ท่านให้เอา คื่นฉ่าย (ที่ใช้รับประทานกับข้าวต้ม หรือใช้ใส่ ก๋วยเตี๋ยว) นำมาคั้นเอาเฉพาะนำ ใช้นำยารับประทาน มีสรรพคุณแก้โรคความดันโลหิตสูงให้หายเป็นปรกติ ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ

ยาแก้ความดันโลหิตตํา

ท่านให้เอาหมูเนื้อแดง หนัก ๑ ก.ก กับพริกไทยร่อน ๑ กระป๋องนมข้น ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้ นํามาบดผสมกัน ใส่โถ หรือ ใส่โหล ใส่นําผึ้งแท้พอท่วมยา หมกข้าวเปลือกไว้ประมาณ ๑๕ วันขึ้นไป ใช้นํายาดองนี้ใช้รับประทานครั้งละ ๑ ช้อนโต๊ะ วันละครั้งทุกวัน เพียง ๕ วันเท่านั้น อาการป่วยโรคความดันโลหิตตํา และโรคโลหิตจาง จะหายเป็นปรกติ มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ

ยาแก้โรคโลหิตจาง

ท่านให้เอา ผลมะนาวสด ผ่าซีก บีบเอาเฉพาะนํา นํามาผสม กับนําหวานและปรุงด้วยเกลือทะเล (เกลือใส่แกง) พอสมควร ใส่นําแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆเป็นยาบํารุงโลหิต และ แก้โรคโลหิตจาง ทําให้มีผิวพรรณผุดผ่องมีนํามีนวล มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ

ยาแก้โรคเบาหวาน

ขนานที่ ๑ ท่านให้เอา รั้งผึ้ง (เอาทั้งรั้งพร้อมทั้งตัวอ่อน) ๑รัง, เหล้า ๑ ขวด, หัวกระชาย ๑๒ หัว, เปลือกตะโกนา (ต้นตะโกดัด สด หรือ แห้ง ก็ได้) ๓เปลือก, ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ นํามาดองรวมกัน โดยนํารังผึ้งใส่ลงในโถ หรือ ใส่ลงในโหล เทเหล้าผสมพอท่วมรังผึ้ง ใส่หัวกระชาย (ซึ่งปอกเปลือกและทุบให้แตกเสียก่อน) และ ใส่เปลือกตะโกนา ลงผสม หมักดองไว้ ๓ วัน ใช้นํายาดองนี้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชาจีน เวลาก่อนอาหารเช้า-เย็น วันละ ๒ เวลา ทุกวันติดต่อกันไปจนครบ ๑ เดือน แล้วฯ

ท่านให้เอา ต้นเหงือกปลาหมอ (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) จํานวนพอสมควรนํามาล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผง จํานวน ๖ ถ้วยชาจีน เอาพริกไทยร่อน จํานวน ๓ ถ้วยชาจีน บดให้ละเอียด ผสมกับนําผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทรา จํานวน ๑๐๘ เม็ด ใช้รับประทานครั้งละ ๑ เม็ด เวลาก่อนอาหารเช้า-เย็นทุกวัน ติดต่อกันไปจนครบ ๕๔ วันแล้วโรคเบาหวานจะหายขาด เจ้าของยาขนานนี้ได้ใช้รักษาตัวเองหายขาดมาแล้ว มีสรรพคุณชะงัดนักแลฯ

ยาแก้โรคเหนื่อยหอบ

ท่านให้เอา รากต้นกระดังงร หนัก ๖ บาท, รากต้นพิกุล หนัก ๕ บาท, รากต้นทองพันชั่ง หนัก ๕ บาท, หัวยาข้าวเย็นเหนือ หนัก ๔ บาท, ตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้ นํามาใส่หม้อดินต้มกับนําพอสมควร ใช้นํายารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา มีสรรพคุณแก้อาการเหนื่อยหอบให้หายไป ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ

ยาแก้เครื่องสืบพันธ์อ่อน

ท่านให้เอา หัวกระชาย ๑, ขมิ้นอ้อย ๑, พริกไทยร่อน ๑, ลูกกระวาน ๑, ว่านนํา ๑, ตัวยาทั้ง ๕ นี้เอาหนักอย่างละ ๓ บาทเท่ากัน นํามาตากแดดให้แห้งบดเป็นผง ละลายกับ นําผึ้งแท้ ก็ได้ นําตาลมะพร้าว ก็ได้ นําตาลโตนด ก็ได้ นําอ้อย ก็ได้ ปั้นเป็นลูกกลอน ใช้รับประทานเวลาเช้า-เย็น วันละ ๒ เวลา มีสรรพคุณแก้อาการเครื่องสืบพันธุ์อ่อนให้กลับคืนเป็นปรกติได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ

ยาแก้โรคเครื่องสืบพันธุ์ตาย

ท่านให้เอา พริกไทยร่อน ๑ ผิวมะกรูด ๑ หัวกระชาย ๑ (ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้เอาอย่างละเท่าๆกัน) งูเห่า (ย่างไฟให้สุก) ๑ ตัว, ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้นํามาตากแดดให้แห้ง บดเป็นผง ใช้ละลายกับนําตาลโตนด รับประทานวันละ ๒ เวลา เพียงเวลา ๒ อาทิตย์เท่านั้น จะปรากฎผลดีอย่างน่าอัศจรรย์แล เคยใช้รักษาได้ผลดีมาแล้วฯ










ที่มา: http://hossod.com/89

17/1/61










หลายคนอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับการบริจาคโลหิตว่าจะได้รับในด้านใดบ้าง วันนี้เราจึงนำความรู้เกี่ยวกับอานิสงส์บริจาคโลหิตเป็นทาน โดยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง มาฝากกันค่ะ

ผู้ถาม : “ทีนี้การ บริจาคโลหิตเป็นทาน นั้น อยากจะเรียนถามว่าเป็นทานขั้นไหนครับ…?”


หลวงพ่อ :  “เขาเรียกว่า ทานภายในนะ จะถือว่าเป็นปรมัตถทานก็ยังไม่ได้ เขาเรียกทานภายใน คือให้ของภายในกายนี่เป็น “ทานภายใน” ให้ของนอกกายเขาเรียก “ทานภายนอก” นะ ยังจะถือว่าเป็นปรมัตถทานไม่ได้นะ ถ้าเป็นปรมัตถทานต้องอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทำ”




ผู้ถาม : “เป็นยังไงครับหลวงพ่อ…?”

หลวงพ่อ : “เชือดเนื้อเอาไปเลี้ยงเขาเลย”

ผู้ถาม :  “ถึงขนาดนั้นเชียวหรือครับ…?”


หลวงพ่อ :  “ใช่ นั่นเป็น “ปรมัตถทาน” เราถือว่าเป็นปกติทานก็แล้วกัน แต่เป็นทานภายในเพราะอานิสงส์สูงมาก อาจจะสูงกว่าทานภายนอกสักหน่อยหนึ่งนะ”

ผู้ถาม :  “แล้ว การบริจาคโลหิต กับ การอุทิศร่างกายให้กับโรงพยาบาล เป็นทานอันไหนมีอานิสงส์มากกว่ากันครับ…?”

หลวงพ่อ :  “อุทิศเลือดให้ขณะยังไม่ตายมีอานิสงส์สูงกว่าเมื่อตายแล้ว ตายแล้วเหมือนของเขาทิ้งแล้ว ร่างกายใช้อะไรไม่ได้ มีประโยชน์เพียงแค่วัตถุทาน จะให้มีอานิสงส์สูงเท่ากับให้เลือดตอนมีชีวิตอยู่นั้นไม่ได้แน่ ใช่ไหม…

ดูอย่างพระพุทธเจ้าเมื่อสมัยเป็นพระเวสสันดร ตอนนั้นที่คนเขามาขอช้างหรือของต่าง ๆ พระองค์ก็คิดว่าทำไมไม่ขอดวงตา ถ้าขอท่านก็จะให้ ไม่ว่าจะเป็นแขนซ้ายหรือแขนขวาก็จะให้ นี่ท่านตั้งใจให้ตอนมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ตอนตายแล้ว ฉะนั้นถ้าให้ได้ก็เป็นปรมัตถบารมี

ผู้ถาม :  “ทีนี้ถ้าจะบริจาคร่างกายให้นักศึกษาแพทย์เขาศึกษาต่อเมื่อเราตายแล้ว แต่อธิฐานไว้ว่า “ตายเมื่อไรขอพ้นจากวัฏฏสงสาร” อย่างนี้จะมีโอกาสไม่ให้มาเกิดอีกใช่หรือเปล่าครับ…?”

หลวงพ่อ : “ถ้าเวลาจะตายนะ จิตตัดกิเลสแน่นอน ไม่อยากมาเกิดอีก หรือเมื่อนั้นเมื่อเวลาจะตาย จิตตัดความรักในระหว่างเพศ ตัดความโกรธ ก็ไม่มาเกิดอีก มันไม่แน่นะ เดาส่งไม่ได้ มันเฉพาะจิตใช่ไหม…จะเดาไม่ได้ แต่บังเอิญก่อนที่จะตาย เวลานี้ทรงอารมณ์ของพระโสดาบันได้นะ และก็ตัดสินใจไว้เสมอทุกเช้าว่า “ร่างกายนี้ตายเมื่อไร ขอไปนิพพานเมื่อนั้น” อันนี้จิตทรงตัวแน่นอน อย่างนี้ไปได้ทันที”

จาก หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๗๖-๗๗ โดย หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

ขอขอบคุณที่มาจาก : บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน และ พลังจิต

ภาพจาก : อินเทอร์เน็ต









ที่มา: http://updatesara.com/2757

15/1/61









ชายหนุ่มแย่งใช้ห้องน้ำคนพิการ

โทษของความไม่สุภาพ

ความไม่สุภาพ คือ

        ความมักง่ายมากจนถึงขาดสติ ไม่สามารถควบคุมตนเองต่อหน้าผู้อื่น ทำให้แสดงกิริยา ท่าทาง คำพูด แม้การนุ่งห่มก็ไม่เป็นระเบียบ ไม่เหมาะสม จึงแสดงอาการแข็งกระด้างหยาบคาย ใจแคบ น่ารังเกียจ ขณะกระทบอารมณ์ต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่เรื่องนั้น ๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดา เช่น

        1. การออกปากขอของเขาร่ำไป - แย่งชิงการใช้ของกลาง - ฉกฉวยเอาของแจกมากเกินส่วน - แกล้งนิ่งนอนใจให้เขาออกทรัพย์แทน ฯลฯ ไม่สุภาพเพราะ มักมาก

        2. การพูดประชด - พูดคำหยาบ - พูดกระโชกโฮกฮาก - เดินลงส้น - กระทืบเท้า - ปิดประตูใส่หน้า - ทำท่ากระฟัดกระเฟียด - ขว้างปาสิ่งของ - แกล้งโชว์อวัยวะเพศ ฯลฯ ไม่สุภาพเพราะมักโกรธ


        3. การยืน - เดิน - นั่ง - นอนไม่สำรวม การแต่งกายรัดรูป - ชะเวิกชะวาก - ผิดกาลเทศะ การพูดจายั่วยวนชวนให้คิดฟุ้งซ่านแม้เรื่องเพศ ฯลฯ ไม่สุภาพเพราะมักหลง

 ความไม่สุภาพจัดเป็นความชั่วเบื้องต้น เพราะแสดงถึงความล้มเหลวในการจัดระเบียบความคิด แยกผิด - ถูก ดี - เลวในเรื่องคำพูด ความประพฤติ กิริยามารยาทไม่ออก จึงมีโทษมาก คือ

        1. ทำให้ตนเองเสียความน่ารัก น่าเชื่อถือ

        2. ทำให้กระทบกระทั่ง ทะเลาะวิวาทได้ง่าย

        3. ทำให้แตกความสามัคคี

       4. ทำให้เสียทรัพย์ เสียโอกาส เสียนิสัย

        5. ทำให้เสียศีล ถึงกับประพฤติผิดในกาม ได้ง่าย

        การขาดสติต่อเนื่องถึงกับแสดงความไม่สุภาพ ทำให้ใจ ยิ่งหยาบ ยิ่งแคบ ยิ่งสกปรก และยิ่งเพาะบ่มนิสัยเสียต่าง ๆ เช่น

       ชอบดูถูกผู้อื่น  ไม่เกื้อกูลพ่อแม่  ไม่อ่อนน้อมถ่อมตน  ชอบความแตกแยก  มักโกรธ ฉุนเฉียว  มักมาก เอาเปรียบ  ลบหลู่ ตีเสมอ ก้าวร้าว  มักง่ายแม้เรื่องเพศ

      นิสัยเสียจากความมักง่ายในการควบคุมกิริยาท่าทาง เป็นเหตุให้รักษาศีลข้อ 3 ไม่ได้

อ้างอิงจาก หนังสือมองตนให้เป็น โดย ทตฺตชีโว ภิกขุ










ที่มา: http://www.winnews.tv/news/21712









มูลนิธิกระจกเงา เปิดสถิติเด็กหายปี 2560 ยังน่าเป็นห่วง พบสาเหตุหลักกว่า 84% เด็กสมัครใจหนีออกจากบ้านเอง ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งเก็บข้อมูลดีเอ็นเอเด็กไว้ในฐานข้อมูล และนำหลักสากลเข้ามาใช้ในการสเก็ตช์ภาพเด็ก

วันที่ 11 ม.ค. 2561 มูลนิธิกระจกเงา ร่วมกับสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ และกองทะเบียนประวัติอาชญากร จัดแถลงข่าวสถานการณ์เด็กหายประจำปี 2560 โดยนายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา ระบุว่าสถิติรับแจ้งเด็กหายปี 2560 มีจำนวน 422 ราย สาเหตุหลัก 84% คือเด็กที่สมัครใจหนีออกจากบ้าน อายุเฉลี่ยระหว่าง 13-15 ปี


โดยเด็กหญิงจะหายออกจากบ้านมากกว่าเด็กชายเกือบ 3 เท่า ขณะเดียวกันพบว่าเด็กที่หายออกจากบ้านมีปมปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นปัจจัยในการตัดสินใจหนีออกจากบ้าน โดยเฉพาะครอบครัวที่ลงโทษเด็กด้วยความรุนแรง ด่าทอ และห้ามเด็กทำสิ่งต่างๆ โดยไม่อธิบายเหตุผล นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กที่หายออกจากบ้านมีแนวโน้มถูกชักชวนไปอยู่กับแฟนหรือคนที่รู้จักในโลกออนไลน์ และมีความเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันหรือป้องกันไม่ถูกวิธี




นายเอกลักษณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มสถานการณ์เด็กหายพบว่า 3 ปีที่ผ่านมา มีสถิติรับแจ้งเด็กหายลดลงทุกปี แต่ยังถือว่ามีความรุนแรง เนื่องจากแต่ละปี มีเด็กหายออกจากบ้านเกินกว่า 400 คน โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากสุดคือวัยรุ่นอายุระหว่าง 11-15 ปี


ด้าน พ.ต.อ.วาที อัศวุตมางกูร หัวหน้ากลุ่มงานตรวจเลือดชีวเคมีและเขม่าดินปืน สถาบันนิติเวชวิทยา กล่าวว่า สถาบันนิติเวชวิทยา ได้ทำโครงการศูนย์กลางข้อมูลสารพันธุกรรม(เด็ก)ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งปัจจุบันยังคงทำอยู่ มีการเก็บข้อมูลสารพันธุกรรมเด็กไว้ในฐานข้อมูลราว 1,292 คน และฝ่ายทะเบียนประวัติอาชญากร 1 กองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถือว่าเป็นหน่วยงานแรกในไทยที่ใช้กระบวนการสร้างภาพสเก็ตช์เด็กหายให้มีอายุเทียบเท่าปัจจุบัน โดยใช้หลักสากลคือ เด็กหายที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ยังหาไม่พบ จะทำการสเก็ตช์ภาพเพิ่มอายุทุก 2 ปี ส่วนเด็กหายที่มีอายุเกิน 18 ปี จะสเก็ตช์ทุก 5 ปี ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่ลักษณะใบหน้ามีการเปลี่ยนแปลง และที่ผ่านมากองทะเบียนฯได้ร่วมมือกับมูลนิธิฯทำภาพสเก็ตช์มาแล้ว 7 ภาพ

ขณะที่ พ.ต.อ. ชัยวัฒนะ บูรณะ ผู้กำกับการ 2 กองทะเบียนประวัติอาชญากร แนะนำว่าผู้ปกครองต้องให้ความรัก ความอบอุ่น ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่ให้เกิดปัญหาในครอบครัว รับรู้ข้อมูลเด็กต่อเนื่อง สร้างเครือข่ายผู้ปกครองที่สามารถติดต่อสื่อสารได้ง่ายและรวดเร็ว อย่าปล่อยให้เด็กอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงหรือตามลำพัง พร้อมแนะนำให้ฝึกให้เด็กรู้จักวิธีของคนร้ายที่ใช้ล่อลวงเด็กให้มีทักษะการสังเกตจดจำเบื้องต้น










ที่มา: https://voicetv.co.th/read/Hyzx9FE4M

14/1/61








แม่พาลูกสาวพิการแต่กำเนิด ไร้มือ-เท้า วัย 8 ขวบ ไปเที่ยวงานวันเด็ก พอใกล้เที่ยงก็พากลับบ้าน เพื่อช่วยกันร้อยพวงมาลัยขาย

(13 ม.ค. 61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่องค์การบริหารส่วนตำบลป่างิ้ว อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย จัดงานวันเด็กให้เด็กๆ ได้ร่วมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ มากมาย เช่นเดียวกับที่ต่างๆ โดยมีผู้ปกครองพาบุตรหลานมาร่วมงานอย่างคับคั่ง รวมถึง นางบูน นาคบัว อายุ 43 ปี ที่ได้พาลูกสาวคือ น้องเรดาร์ อายุ 8 ขวบ ซึ่งพิการไร้มือและเท้ามาตั้งแต่กำเนิด มาเที่ยวงานด้วย

โดยผู้เป็นแม่ต้องอุ้มน้องเรดาร์เข้าเต็นท์ต่างๆ เพื่อทานขนมและเล่นเกม เช่น ระบายสีภาพ ตักไข่ให้โชค โยนลูกบอลชิงของรางวัล ฯลฯ ซึ่งน้องเรดาร์ใช้ความสามารถล่ารางวัลต่างๆ ได้อย่างมากมาย เช่น ของเล่น ไม้แบดมินตัน สมุด ดินสอ สมุดวาดภาพ เป็นต้น รวมถึงการถ่ายรูปกับตุ๊กตามาสคอตรูปมิกกี้เมาส์ และเหล่าฮีโร่ต่างๆ ที่ผู้จัดนำมาสร้างสีสัน เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ ทุกคน จนกระทั่งใกล้เที่ยง ทั้งคู่จึงเดินทางกลับบ้านพักด้วยรถจักรยานยนต์ ระยะทางกว่า 13 กม.





เมื่อกลับถึงบ้าน หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว นางบูน ผู้เป็นแม่ จึงนำดอกมะลิ ดอกดาวเรือง และริบบิ้น ออกมานั่งร้อยพวงมาลัย ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำประจำทุกวัน โดยเมื่อน้องเรดาร์เห็น ก็รีบเข้าไปช่วยแม่ร้อยอีกแรงอย่างขะมักเขม้น

นางบูนเปิดเผยขณะร้อยพวงมาลัยว่า ทุกปีเมื่อถึงงานวันเด็กจะพาลูกไปเที่ยวงานอย่างสม่ำเสมอ เพราะลูกสาวชอบและสนุกสนานมาก ปีนี้ อบต.ดงคู่ ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ไม่ได้จัดงาน จึงต้องพาลูกซ้อนจักรยานยนต์ไปเที่ยวที่ อบต.ป่างิ้ว ซึ่งอยู่ห่างออกไป 13 กม. เมื่อเที่ยวงานเสร็จก็จะต้องรีบกลับมาร้อยพวงมาลัยต่อทันที เนื่องจากต้องนำไปส่งให้กับโรงงานน้ำตาลใกล้บ้านตามที่สั่งจองมา โดยมีน้องเรดาร์ช่วยร้อยเช่นเคย










ที่มา: http://news.sanook.com/4970146/









เป็นอีกคลิปที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อเพจ YouLike คลิปเด็ด 4  เผยคลิปของหนุ่มคนหนึ่งได้อัดคลิประบายความในใจ หลังพี่ชายแท้ๆของตัวเองแอบไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับภรรยาของหนุ่มในคลิป โดยหนุ่มคนดังกล่าวได้อัดคลิประบายความในใจทั้งน้ำตา เนื่องจากภรรยาของหนุ่มคนนี้กำลังตั้งท้องอยู่ด้วย โดยภรรยาเป็นคนมาสารภาพกับหนุ่มคนดังกล่าวเองในภายหลัง


นอกจากนี้หนุ่มในคลิปยังฝากถึงพี่ชายด้วยว่าทำกับน้องชายคนนี้ได้อย่างไร จากนั้นยังขู่พี่ชายว่าอย่าให้เจอ เพราะชีวิตไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว เนื่องจากพี่ชายแท้ๆมาทำเช่นนี้ โดยสุดท้ายชายในคลิปก็ต้องเลิกรากับภรรยาด้วย

จากนั้นมีอีกคลิปเหตุการณ์ต่อเนื่องจากคลิปแรก เป็นนาทีที่หนุ่มในคลิปที่เปิดใจมาดักพูดคุยกับพี่ชายแท้ๆที่มีเรื่องราวกัน พร้อมถามถึงเหตุการณ์ทั้งหมด เมื่อพี่ชายยอมรับสารภาพว่าทำจริง หนุ่มในคลิปพร้อมเพื่อนอีก 5-6 คึนได้เข้าไปรุมทำร้ายพี่ชายที่ขับรถแท็กซี่มาจอด โดยมีหญิงสาวอุ้มเด็กพยายามเข้ามาห้าม แต่ก็ไม่เป็นผล จนพี่ชายต้องบอกว่า “รู้สึกผิดมาก พี่คนนี้ขอโทษน้องจริงๆ ให้พี่กราบตีนก็ยอม”

โดยทั้ง 2 คลิปเหตุการณ์กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชี่ยล









ที่มา: YouLike คลิปเด็ด 4 และ หัวร้อน https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_705955

12/1/61










แม่พาลูกชาย 10 ขวบ ตาบวมช้ำแจ้งความ หลังถูกพ่อเลี้ยงใช้โทรศัพท์ตบหน้า เพราะบันทึกภาพพ่อเลี้ยงกับแม่ทะเลาะกัน

เมื่อเวลา 23.00น.วันที่ 11 มกราคม 2561 น.ส.จินดารัตน์ ทองคำ อายุ 31 ปี พร้อมด้วยด.ช.เอ (นามสมมุติ)ลูกชายวัย 10 ขวบ หอบร่างสะบักสะบอมเดินทางมาที่สภ.คลองหลวง ต.คลองหลวง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.อ.อดิศักดิ์ คชศักดิ์ รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.คลองหลวง เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายวิเศษ หรือแขก เทสารินทร์ อายุ 42 ปี อาชีพรปภ.หมู่บ้านจัดสรรสามีตนเองและเป็นพ่อเลี้ยงของลูก ในข้อหาทำร้ายร่างกาย

น.ส.จินดารัตน์ ทองคำ เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุนั้นเป็นสามีใหม่ของตนเองที่เพิ่งคบหาดูใจกันมาได้ประมาณ 1 ปี โดยทั้งคู่มีลูกติดด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่มาระยะหลังประมาณ 2 เดือน ตนเองพยายามจะเลิกกับสามีใหม่ โดยออกมาเช่าห้องเช่าแห่งใหม่ที่บริเวณหมู่ที่ 10 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เพื่อแยกกันอยู่เพราะจับได้ว่าสามีทำร้ายลูก


โดยเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาตนเองและลูกกลับบ้านช้าผิดปกติเพราะตนเองขี่จักรยานยนต์พ่วงข้างไปออกเร่ขายผลไม้และกลับผิดเวลาเพราะต้องการหาเงินมาเลี้ยงดูลูก ที่ป่วยเกี่ยวกับเส้นประสาทตาขวาผิดปกติทำให้ตาขวามองไม่เห็น เมื่อกลับมาถึงห้องตนเองกับสามีก็เกิดมีปากเสียงกันโดยบุตรชายได้ใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปไว้ ทำให้สร้างความไม่พอใจให้สามีใหม่ จึงคว้าโทรศัพท์จากลูกมาแล้วตบใส่ที่ใบหน้าอย่างแรง 1 ครั้ง จนทำให้ตาฝั่งซ้ายบวมบูดจนเขียว ส่วนตนเองก็ถูกทำร้ายร่างกายด้วยการตบที่บ้องหูอย่างแรง จนทำให้หูฝั่งซ้ายไม่ได้ยินเสียงตนเองจึงคว้ามีดมาเพื่อป้องกันตัว ก่อนที่สามีใหม่จะวิ่งหนีไป





ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ตนเองเคยได้รับแจ้งจากเพื่อนบ้านว่า อย่าปล่อยลูกไว้กับพ่อเลี้ยง เพราะเวลาที่ตนเองไม่อยู่เพื่อนบ้านจะเห็นว่าลูกตนถูกทำร้าย จนตนเองต้องย้ายหนีมา เพราะจับได้คาตาว่าสามีใหม่ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงใช้หินทุบหัวลูกจนเกิดการทะเลาะวิวาทกับตนเอง แต่เมื่อตนเองหนีออกมาก็ไม่วายสามีใหม่ยังตามมาราวี ซึ่งครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุดตนเองจึงเดินทางมาแจ้งความเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมาย

ทางด้านร.ต.อ.อดิศักดิ์ คชศักดิ์ รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.คลองหลวง เปิดเผยว่า ได้มำหนังสือส่งตัวให้แม่ลูกไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติไว้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี และจะร่วมกับพนักงานอัยการในการสอบปากคำผู้เสียหายพร้อมประสานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนเร่งติดตามตัวนายวิเศษ หรือแขก เทสารินทร์ มาทำการสอบปากคำเพื่อดำเนินคดีทางกฏหมายต่อไป










ที่มา: https://news.mthai.com/general-news/610182.html









พล.ต.ต.สมชาย นุ่มโต ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด บอกว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพนักงานสอบสวนพบว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นการทำร้ายร่างกายกันหลังงานเลิก จนกระทั่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 3 ราย แต่มาแจ้งความเพียง 2 ราย

หลังการแจ้งความได้บันทึกปากคำและส่งผู้บาดเจ็บไปตรวจร่างกายที่อยู่โรงพยาบาล เพื่อนำหลักฐานการตรวจร่องรอยการบาดเจ็บมาประกอบสำนวนการสอบสวน จากนั้นจะได้ให้ชุดสืบสวนเก็บข้อมูลหลักฐานและภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดที่มีภาพของผู้ก่อเหตุ แล้วส่งให้ผู้นำชุมชนตรวจสอบว่าผู้ก่อเหตุคือใคร และรายชื่อที่อยู่เบื้องต้น 2 ราย ส่วนอีก 5 รายที่เหลือ อยู่ระหว่างการรอตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจน ที่จะนำมาสอบปากคำและดำเนินคดีต่อไป คาดว่าภายในเวลาไม่เกิน 2 วันนี้ ก็จะสามารถเรียกตัวมาสอบสวนดำเนินคดีได้ทั้งหมด

ส่วนสาเหตุของการทะเลาะวิวาทในข้อมูลชัดเจนว่า ทั้งสองฝ่ายไม่เคยมีกรณีพิพาทกันมาก่อน แต่เหตุที่เกิดเป็นเพียงการกระทบกระทั่งกันในขณะที่มาเที่ยวงานเท่านั้น ซึ่งความผิดเบื้องต้น ตั้งข้อทั้ง 2 ฝ่าย ร่วมกันก่อเหตุทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจผู้อื่น ยึดตามความเห็นจากการตรวจอาการบาดเจ็บของร่างกายตามหลักฐานของแพทย์เป็นหลักในการสอบสวนดำเนินคดีตามความผิด

ซึ่งสภาพร่างกายไม่ได้บาดเจ็บสาหัสเพราะไม่มีการใช้อาวุธในขณะก่อเหตุ ซึ่งเป็นข้อหาทำร้ายร่างกายซึ่งมีเพียงโทษปรับเท่านัั้น ซึ่งตนเน้นให้พนักงานสอบสวนยืนอยู่ในจุดของความเป็นกลางและเข้มงวดด้านการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายต่อไป










ที่มา: http://news.sanook.com/4941703/

8/1/61









แง่มุมร้ายๆ ของการเป็น “ คนใจดี ” มากจนเกินไป ที่สามารถย้อนกลับมาทำร้ายได้ทั้งตัวเอง และคนใกล้ตัว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

1.ตกที่นั่งลำบาก
เพราะความที่เป็นคนมีจิตใจดีมากจนเกินไป จึงมักชอบหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับคนอื่นอยู่บ่อยครั้ง จนลืมมองความเป็นจริงหลายอย่างไปว่า

ข้อเสียของการได้มอบความช่วยเหลือ อาจเป็นสิ่งที่สามารถย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองและคนใกล้ชิด โดยการนำพาทุกคนไปตกอยู่ในที่นั่งลำบาก และไร้ซึ่งการหลีกเลี่ยงหรือหลบหนีอะไรได้พ้น

2.คอยแก้ปัญหา ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย
ในบางครั้ง ความใจดีก็ทำให้เราต้องกลายมาเป็นคนที่คอยนั่งแก้ไขปัญหาให้กับคนอื่น ทั้งๆ ที่ตัวเองต่างก็ไม่ได้มีส่วนได้ หรือส่วนเสียให้กับเรื่องราวเหล่านั้น

แถมยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ที่สามารถช่วยสร้างความหนักหนาให้กับหัวใจได้เป็นอย่างดี เพราะการต้องมานั่งคิดและแก้ไขปัญหาแทนคนอื่น โดยที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยแม้แต่นิด

3.กลัวคนอื่นจะไม่พอใจ
“ ความใจดี ” อาจเป็นสิ่งที่สามารถทำให้คนบางคนเกิดความเกรงกลัวได้ว่า คนอื่นจะต้องรู้สึกไม่พอใจแน่ๆ ถ้าหากมอบความช่วยเหลือให้คนเหล่านั้นออกไปได้อย่างไม่ดีพอ





ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งความคิดที่สามารถย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองเอาได้อย่างง่ายๆ เพราะนอกจากจะต้องมานั่งแบกรับภาระปัญหาของคนอื่นแล้ว ยังต้องมาคอยหวาดระแวงว่า ใครจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีกด้วย

4.เก็บการกระทำของคนอื่นมาคิดมาก
แง่ร้ายของการเป็นคนใจดีคือ มักกลายเป็นคนที่ชอบนำคำพูด รวมถึงการกระทำของคนรอบข้างมาคิดมากจนเกิดเป็นความทุกข์

และมักเป็นความคิดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะด้วยพื้นฐานที่มีความใจดีซ่อนอยูในนั้น จึงทำให้ต้องคอยเก็บการกระทำของคนอื่นมาคิดเล็กคิดน้อยอยู่เสมอ

5.ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลายครั้งกับการต้องนำตัวเองเข้าไปยืนอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าและคายไม่ออก เพราะไม่สามารถบอกปัด หรือปฏิเสธความช่วยเหลือได้

จนทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดและลำบากใจ แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะทำตามใจตัวเองได้อย่างที่ต้องการได้อยู่ดี

6.ห่วงแต่ความลำบากของคนอื่นจนลืมตัวเอง
บุคคลประเภทนี้ มักจะเป็นผู้ที่ไม่สามารถทนเห็นความลำบากที่เกิดขึ้นกับคนอื่นได้ และคอยแต่จะอยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

คนใจดีบางคน จึงมักชอบห่วงแต่ความลำบากของคนไกลตัว มากกว่าที่จะมองเห็นถึงความรู้สึกของคนใกล้ตัว จนกลับกลายเป็นว่า ได้ลืมนึกถึงตนเองและครอบครัวไป

7.กลายเป็นคนใจร้าย เพราะการตอบปฏิเสธแค่ครั้งเดียว
ข้อเสียของความใจดี ที่มักจะไม่ค่อยได้ตอบปฏิเสธกับใคร เมื่อถูกเข้ามาขอรับความช่วยเหลือ จนในบางครั้ง หากสถานการณ์รอบข้างบีบบังคับให้ตอบปัดการช่วยเหลือ

ก็อาจมีผลทำให้คนบางคนต้องตกเป็นผู้ที่ถูกมองว่าใจร้ายจากคนอื่นโดยทันที ทั้งๆ ที่เพิ่งเคยตอบไปปฏิเสธไปแค่เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น

8.เสียความรู้สึก เมื่อหมดประโยชน์
คนบางประเภทก็มักชอบเดินข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิต เพื่อหวังเอาผลประโยชน์จากความใจดีที่มีอยู่ จนสุดท้ายก็ได้กลับกลายเป็นว่า

บ่อยครั้งที่คนใจดีหลายคน อาจจะต้องกลายเป็นคนใจร้าย เพียงเพราะการถูกมองข้ามความสำคัญ เมื่อหมดผลประโยชน์กับคนบางคน










ที่มา: http://rugyim.com/231

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget