27/3/61











จากกรณีที่ ท่านประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์  อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เจ้าของห้างชื่องดัง ที่ได้หันหลังให้ทางโลก ละทิ้งทรัพย์สบัติมากมาย เพื่อบวชเป็นพระภิกษุในวัดที่กันดาร ตองช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง หากมองย้อนไป เขาเคยมีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังใหญ่ บริวาร เงินทองมากมาย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีนั้น หาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่ ธรรมะของพระพุทธเจ้าต่างหากคือความสุขที่แท้จริงและบริสุทธิ์ เส้นทางแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าน่าจะคือความสุขบริสุทธิ์ที่แท้จริง








หากย้อนไปเมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๔๘ คุณนงลักษณ์ ภัทรประสิทธิ์ และครอบครัว พร้อมเครือญาติตระกูลภัทรประสิทธิ์ ได้แสดงความจำนงกับพระราชปริยัติ (สฤษฏิ์ สิริธโร) เจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ นครสวรรค์ เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ขอบริจาคที่ดิน ๓๒๗ ไร่ ในพื้นที่ตำบลนครสวรรค์ออก เพื่อใช้ในกิจการพระพุทธศาสนาตามเจตนารมณ์ของคุณวิศาล ภัทรประสิทธิ์ ที่ได้เสียชีวิตลงก่อนและได้ ประกอบพิธีถวายที่ดินอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๘ ซึ่งต่อมาคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ส่วนราชการ ผู้แทนชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีจิตศรัทธาได้พร้อมใจกันจัดทำโครงการก่อสร้างพุทธอุทยานนครสวรรค์ขึ้น เพื่อใช้ที่ดินแปลงนี้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูง ต่อประเทศชาติ ต่อพระพุทธศาสนา และประชาชนทั่วไป


วัดภัทรสิทธาราม เป็นวัดศาสนสถานที่ก่อตั้งขึ้นตามเจตนารมณ์ของเจ้าของที่ดินซึ่งได้มีการก่อสร้างโบสถ์พร้อมประดิษฐานพระประธานรูปเหมือนหลวงพ่อเพชร ขนาดหน้าตัก ๘๙ นิ้ว แล้วเสร็จและอยู่ระหว่างที่ก่อสร้างศาลาการเปรียญ โดยได้รับบริจาคค่าก่อสร้างจากเจ้าของที่ดินตระกูลภัทรประสิทธิ์ นอกจากนี้ได้มีการสร้างกุฏิกัมมัฏฐานในบริเวณวัดโดยมีผู้มีจิตศรัทธาเป็นผู้บริจาคแล้วเสร็จอีกจำนวนหลายหลัง











ที่มา: http://nsn.onab.go.th (สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครสวรรค์) / www.thodsanon.com

16/3/61












ถ้าพูดถึงเรื่องฐานะทางการเงินและความมีหน้ามีตาแล้ว คนในหมู่บ้านของข้าพเจ้าสมัยนั้น ไม่มีบ้านไหนเทียบเท่าบ้านของกำนันจิตได้ เพราะกำนันจิตทั้งร่ำรวยเงินตรา ทรัพย์สมบัติต่างๆ และเป็นคนกว้างขวาง มีคนนับหน้าถือตามากมาย และถือได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของท้องถิ่นนั้น

กำนันจิตมีบุคลิกที่น่าเกรงขาม พูดเสียงดังฟังชัด ผู้คนในตำบลนั้นจึงเกรงกลัวแกนักหนา มีมากคนที่เกรงกลัวแม้กระทั่งไม่กล้าเอ่ยชื่อถึงในทางเสียๆ หายๆ แม้ลับหลัง แต่หลายคนต่อหน้าเกรงกลัว หากลับหลังสาปแช่งอย่างเอาดีไม่ได้แต่ว่าตาคล้าย ผู้อาวุโสคนหนึ่งของหมู่บ้านเรา ไม่ได้จัดอยู่ในทั้งสองประเภทนั้น เพราะว่าตาคล้ายแกเป็นคนตรงไปตรงมา ต่อหน้าอย่างไรลับหลังก็อย่างนั้น ขณะที่คนอื่นต่างเกรงกลัวกำนันจิต แม้ลับหลังจะกล้ากล่าวถึงในทางเสียๆ หายๆ บ้าง แต่ตาคล้ายไม่เคยเกรงกลัวกำนันจิต ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง แกพูดถึงกำนันจิตในทางเสียหายเสมอ






เมื่อยังเป็นเด็กข้าพเจ้าชอบไปคลุกคลีอยู่กับตาคล้าย เพราะตาคล้ายมีนิทานดีๆ เล่าให้ฟังอยู่เสมอ อีกทั้งแกเป็นคนมีจิตใจโอบอ้อมอารีและรักเด็ก โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย แต่ตาคล้ายชอบเด็กที่กล้าแสดงออก แกชอบเด็กที่โผงผาง กล้าคิดกล้าทำ ข้าพเจ้ามีคุณสมบัติตามนั้น จึงเข้าออกบ้านแกได้บ่อยๆ บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าได้ยินตาคล้ายพูดถึงกำนันจิตในทางเสียๆ หายๆ ชนิดที่น่าจะได้รับอันตรายจากคนในปกครองของกำนันจิต ข้าพเจ้าเคยถามแกว่า

“ตาว่ากำนันจิตอย่างนั้น ไม่กลัวบ้างหรือ”

“กลัวอะไร”

“ก็เห็นคนบ้านเราเขากลัวกำนันจิตกันทั้งนั้น”


“ไปกลัวมันทำไม ไอ้พวกลูกโจรสวะพรรค์นั้น เอ็งไม่รู้จักสันดานที่แท้ของคนในตระกูลนั้นหรอก เอ็งรู้หรือเปล่าพวกมันเลวมาแต่ชั่วปู่ชั่วย่า”แล้วตาคล้ายนั่นแหละ ที่เป็นคนเล่าประวัติความเป็นมาของตระกูลกำนันจิตให้ฟังว่า“เริ่มมาตั้งแต่ท่านขุนพ่อของมัน ไอ้ตระกูลนี้ร่ำรวยได้เพราะโกงคนอื่นมาแท้ๆ มันทำมาหากินเองไม่เป็นหรอก เป็นแต่โกงคนอื่น ที่ทางที่มันมีอยู่เป็นร้อยๆ พันๆ น่ะโกงคนอื่นมาทั้งนั้น”“โกงอย่างไรหรือตา” ข้าพเจ้าถามด้วยความสนใจ“มันโกงสารพัดวิธีล่ะ ท่านขุน พ่อของไอ้จิตน่ะ อาศัยว่าเป็นคนลิ้นดี สอพลอเก่ง ถึงได้เป็นถึงท่านขุน ความจริงพ่อของท่านขุนเป็นจีนอพยพมาจากประเทศจีนโน่น แรกเริ่มเดิมที ตาแป๊ะคนนั้นเป็นกุลีเรือขนข้าวของเถ้าแก่รับซื้อข้าวในเมือง ต่อมาก็แยกตัวจากเถ้าแก่มาทำมาหากินอยู่ที่หมู่บ้านเรา โดยมาตัดไม้เผาถ่านอยู่ตรงท้ายวัด ที่ตั้งบ้านกำนันจิตในปัจจุบันนั่นล่ะ เมื่อก่อนมันเป็นที่วัด ต่อมา ตาแป๊ะได้แต่งงานกับคนในหมู่บ้านเรา เขาว่ากันว่า ยายพลอยเมียของตาแป๊ะนั่นน่ะแกเป็นแม่หม้ายผัวเรือล่มตาย แต่ไม่มีลูกมีเต้าด้วยกันหรอก ต่อมา ไม่รู้ทำอีท่าไหนถึงได้มาอยู่กินกับตาแป๊ะ จึงได้สร้างบ้านขึ้นที่ท่าเรือท้ายวัด สร้างยื่นลงไปในน้ำ เพราะว่าสมัยนั้นชาวบ้านไม่ให้สร้างในวัด

ต่อมาได้ลูกเต้ากันหลายคน ท่านขุนน่ะเป็นคนโต ตาแป๊ะพ่อของแกยึดอาชีพตัดไม้เผาขาย หรือล่องเรือไปส่งให้โรงตีเหล็กที่ในเมือง ตอนเด็กๆ ท่านขุนก็ช่วยพ่อขนถ่านไปขายในเมือง แกจึงได้รู้จักหนทางในเมืองดี ไปรู้จักผู้คนไว้มากมาย พอเติบโตขึ้นก็ทำงานแทนตาแป๊ะ ท่านขุนแกเป็นคนฉลาดแต่ว่าแกมโกง ขณะที่ขนถ่านไปขายในเมืองก็ขยันเอาไปฝากตามบ้านเจ้านาย เอาข้าวเอาของไปให้เปล่าๆ บ้าง ขายให้ราคาถูกๆ บ้าง จนกระทั่งไปสนิทกับเจ้านายในเมืองคนหนึ่ง และต่อมา ทางบ้านเมืองเขาได้ตั้งนายบ้านขึ้น สมัยนั้น นายบ้านยังแต่งตั้งกันอยู่ ไม่รู้ว่า ท่านขุนไปวิ่งเต้นท่าไหนมาจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายบ้านพอได้เป็นนายบ้าน และทำงานรับใช้เจ้านายเท่านั้นแหละเอ็งเอ๋ย ลวดลายเลวๆ ต่างๆ ก็เริ่มนำออกมาใช้ โดยเริ่มโกงที่ดินวัด สมัยนั้นที่ทางบ้านเราเขายังไม่มีการทำหลักฐานถือกรรมสิทธิ์กันหรอก เพียงแต่จำๆ กันเอาเองว่าได้จองตรงไหนไว้ ที่วัดก็เหมือนกัน ไม่มีอาณาเขตแน่นอนเพียงแต่คนเฒ่าคนแก่จำๆ ไว้ว่า จากตรงนั้นถึงตรงนั้น

แล้วจู่ๆ นายบ้านตอนนั้น ซึ่งก็คือท่านขุนในเวลาต่อมานั่นแหละ มาบอกชาวบ้านว่าให้กำหนดที่ทำมาหากินตัวเองให้แน่นอน ทางการจะออกหนังสือกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ ไม่รู้ว่าแกไปทำอย่างไร หนสุดท้าย ท่าเรือท้ายวัดกลายเป็นสมบัติเก่าที่ตาแป๊ะเตี่ยของแกจับจองไว้เสียนี่ เท่านั้นไม่พอ ยังลามเข้าไปในเขตวัดอีกหลายไร่ที่ว่างๆ รอบๆ วัดก็กลายเป็นมรดกจากเตี่ยแกไปอีกร่วมร้อยไร่ วัดสมัยนั้นมีที่ทางมากมาย เพราะชาวบ้านช่วยกันบริจาคให้กันคนละก้าวไร่สิบไร่ แต่ท่านขุนก็จัดการให้เป็นของตัวเองไปเสียเกินครึ่ง ชาวบ้านรู้กันทั้งตำบลว่าแกโกงที่วัด ก็แค่ตาแป๊ะเผาถ่านขายจะมีปัญญาที่ไหนไปหักล้างถางป่า บุกเบิกที่ทำกินไว้ให้ลูกหลานได้เป็นร้อยๆ ไร่ แต่ท่านขุนก็มีหนังสือกรรมสิทธิ์ถูกต้อง ไม่มีใครกล้าไปโต้แย้งแก ได้แต่สาปแช่งกันในใจ นั่นถือเป็นการเริ่มต้นฝึกฝนกลโกงของท่านขุน ซึ่งตอนนั้นก็ยังเป็นเพียงนายบ้านอยู่

ต่อมา เมื่อแกได้เป็นนายบ้าน ได้รับอำนาจจากบ้านเมือง แทนที่แกจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับชาวบ้านตามที่ทางการบ้านเมืองเขาตั้งใจ แต่กลับเอาอำนาจนั้นมากดขี่ข่มเหงเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน เพราะกลโกงต่างๆ ของแกทำให้ท่านขุนน่ำรวยขึ้นอย่างทันตาเห็น เงินทองที่แกโกงมาได้ ก็แบ่งส่วนหนึ่งไปให้กับเจ้านายในเมืองหน้าที่ทางราชการของแกจึงเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานแกก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น “ท่านขุน” แล้วยิ่งมีตำแหน่งยิ่งใหญ่เท่าไหร่แกก็ยิ่งเอารัดเอาเปรียบ และใช้ตำแหน่งข่มแหงชาวบ้านมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ใครเดือดร้อนเงินทองก็มาหยิบยืมของแก ซึ่งจะคิดดอกแพงๆ ไม่มีเงินคืนก็เอาพวกข้าวของที่หาได้มาใช้แทน ส่วนพวกที่ค้างมากๆ บางรายก็ถึงกับถูกยึดที่ทางทำกิน บางคนถึงกับต้องเสียลูกสาว ลูกชาย มาเป็นทาสในเรือนเบี้ยของท่านขุน

ผู้ชายแกใช้เป็นทาส ส่วนคนหญิงถ้าคนไหนหน้าตาสวยๆ แกก็ข่มเหงเอาเป็นเมีย ท่านขุนนี้เป็นคนที่ไม่มีศีลธรรมแท้ๆ ไม่ว่าจะโลภ โกรธ หลง แกมีมากกว่าใคร โลภมากก็ปานนั้น มักมากในกามารมณ์ก็ปานนั้น ลูกเขา เมียใคร ถ้าแกเกิดถูกใจอยากได้ขึ้นมา ก็ต้องได้ บางรายแกก็ใช้ลูกน้องซึ่งก็เป็นพวกนักเลงหัวไม้ที่แกเลี้ยงไว้ไปฉุดมา บ้างก็ใช้แผนให้มาเป็นทาสในเรือนเบี้ยแล้วข่มเหงน้ำใจเอาเป็นเมีย นี่แหละพฤติกรรมของบรรพบุรุษไอ้จิต ถ้าใครไปทำการคัดค้านแก หรือทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับแก ก็จะกลายเป็นคนร้าย เป็นขโมย เป็นโจร เป็นคนที่บ้านเมืองไม่ต้องการไปทันที บ้างก็ถูกจับเข้าคุกเข้าตะราง บ้างก็ต้องกลายเป็นโจรไปจริงๆ”“แล้วทำไมชาวบ้านเขาถึงไม่ไปร้องเรียนเจ้านายของท่านขุนล่ะครับ”

“โอ๊ย ใครจะไปกล้า เจ้านายเป็นอย่างไร คนบ้านเราสมัยนั้นไม่มีใครเคยเห็นหน้าค่าตาหรอก อย่างตานี่ก็ได้เห็นตอนที่ไปติดคุกติดตะรางแล้ว คนบ้านเราสมัยนั้นไม่ค่อยมีใครรู้หนังสือหรอก ในเมืองก็ไม่ค่อยได้เข้าไปเพราะว่าถนนหนทางยังไม่สะดวกเหมือนทุกวันนี้ เข้าเมืองทีก็ต้องอาศัยเรือไป ข้ามคืนข้ามวันกว่าจะถึง พวกเจ้านายก็อยู่กันแต่ในเมือง ข้าราชการห่างไกลเจ้านาย ก็เลยเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านได้ตามอำเภอใจ อย่างตานี่ก็โดนท่านขุนแกเล่นงานเอาเสียจนเสียผู้เสียคนเหมือนกัน”“เขาเล่นงานตาอย่างไรหรือครับ” ข้าพเจ้าถามด้วยความสนใจ “ก็มันมาโกงที่ทำกินของพ่อแม่ตา พ่อของตาเสียชีวิตตั้งแต่น้องๆ ของตายังเล็กอยู่ พี่ชายคนโตมีอายุครบบวชพระพอดี ส่วนตาก็พอเริ่มเป็นหนุ่ม ตอนนั้น แม่ของตาต้องการจะบวชพี่ชาย แต่มีเงินไม่พอ จึงไปขอยืมท่านขุน แกก็ให้ยืมโดยให้แม่ของตาแปะแม่โป้งไว้ในกระดาษ 2 แผ่น แม่ของตาอ่านและเขียนหนังสือไม่เป็นจึงต้องใช้วิธีแปะโป้งแทนการเซ็นชื่อ

ต่อมาเมื่อ มีเงินครบแม่ก็เอาไปคืนท่านขุน ท่านขุนฉีกกระดาษที่แปะโป้งไว้ต่อหน้าแต่ฉีกเพียงแผ่นเดียว พี่ชายของตาบวชแล้วก็พอใจจะใช้ชีวิตในผ้าเหลืองจึงอยู่เป็นพระต่อไป ต่อมา แม่ป่วยยหนักจึงเสียชีวิต ตาและหลวงพี่ช่วยกันจัดงานศพเรียบร้อย แต่หลังจากเสร็จงานศพแม่ไม่เท่าไหร่ ท่านขุนก็ให้ลูกน้องมาบอกให้ตาและน้องๆ ย้ายออกไปจากบ้าน ก็ที่ริมทะเลที่ไอ้กำนันมันทำเป็นส่วนมะพร้าวทุกวันนี้นั่นแหละ เมื่อก่อนมันเป็นที่ตั้งบ้านของตา กำนันให้ลูกน้องมาบอกว่า แม่ของตาขายที่แปลงนั้นให้กับแกไปแล้ว ตาไม่เชื่อ เพราะแม่ไม่เคยบอกให้รู้เลย บอกแต่เพียงว่าเอาที่ไปค้ำประกันกู้เท่านั้น และต่อมาก็ได้นำไปใช้คืนจนหมดแล้ว ท่านขุนจึงเอาหนังสือมาให้ดู มันเป็นรอยแปะโป้งของแม่ ส่วนที่เหลือกำนันเขียนขึ้นเองทั้งหมด ตารู้ว่าตัวเองไม่มีปัญญาสู้รบตบมือกับแกแน่จึงไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ยอมย้ายออก เพราะตอนนั้นมืดไปเสียทุกด้าน ไม่รู้จะย้ายไปอยู่ที่ไหน แต่เพียงไม่กี่วันท่านขุนก็มาจับตาส่งตำรวจข้อหาขโมยควายเพื่อนบ้าน เลยถูกตัดสินจำคุก”“แล้วตาไปขโมยของเขาทำไมล่ะ” ข้าพเจ้าพูดอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่

“ข้าเปล่าขโมย พวกมันใส่ร้ายข้า ตอนที่ข้าอยู่ในคุกก็ได้ทราบความจริงว่า ท่านขุนสมคบคิดกับเพื่อนบ้านคนหนึ่งเพื่อต้องการให้ตาออกจากบ้านนั้น เพราะเมื่อตาออกมาแล้ว ก็เหลือแต่น้องๆ ซึ่งยังเล็กๆ กันอยู่ ไม่สามารถจะไปสู้รบตบมือกับแกได้แน่ หลวงพี่มารับน้องๆ ไปอยู่ด้วยกันที่วัด และพวกเขาอยู่กับหลวงพี่กันจนเติบใหญ่ เมื่อมีครอบครัวก็แยกย้ายกันไป ส่วนตัวหลวงพี่อยู่ในผ้าเหลืองจนมรณภาพ”“ตาติดคุกกี่ปีครับ”

“ตอนนั้นติดอยู่แค่ 2 ปี แต่พอออกมา พวกมันก็กลั่นแกล้งตาต่างๆ นานา จนตาทนไม่ไหว จึงพลั้งมือฆ่าพวกมันตายคนหนึ่ง คราวนี้แหละติดยาวเลย ข้าอยู่ในคุก 20 ปี อยู่จนท่านขุนเสียชีวิต พอข้าออกมาจากคุกเที่ยวนี้ ไอ้จิตลูกชายท่านขุนได้เป็นกำนันแทนพ่อมันแล้ว ตอนนั้นมันยังหนุ่มมาก ตาออกมาอยู่ข้างนอกได้ไม่ทันไรก็ได้แต่งเมียมีเหย้ามีเรือน เห็นว่าตอนนั้นอายุมากแล้ว อีกอย่างมีเหย้ามีเรือนแล้วก็ไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมันอีก ข้าขออยู่ส่วนของข้า แต่พวกมันก็ไม่กล้ามายุ่งเกี่ยวกับข้าหรอก”

“ท่านขุน พ่อของกำนันจิตกดขี่ข่มเหงชาวบ้านมากเลยหรือครับ”“ความเลวของท่านขุนนี่ เล่ากันสามคืนสามวันก็ไม่จบหรอก ชาวบ้านต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ต้องฉิบหาย สิ้นเนื้อประดาตัวเพราะคนโกง คนไม่มีศีลธรรมคนนี้ไม่รู้เท่าไหร่ เรื่องร้ายๆ ของตระกูลนี้มีอีกมาก พวกมันโกงคนอื่นทุกวิถีทาง จึงได้ร่ำรวยกว่าใครไงล่ะ แต่เอ็งเชื่อเถอะ พวกมันรวยไปได้ไม่นานหรอก มันจะต้องฉิบหายเข้าสักวัน บรรพบุรุษมันทำกรรมไว้มาก สักวันพวกมันจะต้องรับกรรม”ตอนนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้คิดอย่างที่ตาคล้ายคิดหรอก เพราะข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมเท่าไหร่นัก หลังจากนั้น 2 – 3 ปี ข้าพเจ้าก็จากบ้านมาเข้ามาอยู่ในเมืองเพื่อศึกษาต่อ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่นั้นตาคล้ายก็เสียชีวิตลง ข้าพเจ้าไม่ได้ไปร่วมงานศพของแกหรอก เพราะตอนนั้นมัวยุ่งอยู่กับการเรียนและตอนหลังๆ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดถึงแกบ่อยนัก มาคิดถึงอีกครั้งก็ตอนที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของครอบครัวกำนันจิต

กำนันจิตมีลูก 3 เป็นผู้ชาย 2 คน คือ คนโต และคนรอง คนที่ 3 เป็นผู้หญิง ทั้งหมดอายุมากกว่าข้าพเจ้า ตอนที่ข้าพเจ้ายังเรียนชั้นประถมอยู่ พี่จร ลูกชายคนโตของกำลังจิตโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว และตอนนั้นได้ไปเรียนหนังสืออยู่ในเมือง นานๆ จะกลับมาบ้านที แต่ว่ากลับมาแต่ละที มักจะมีเพื่อนๆ ตามมาเที่ยวด้วยเป็นกลุ่มๆ เพื่อนของแกล้วนแต่เป็นลูกคนมีเงิน มาถึงก็ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน กินเหล้าเมายา เฮฮากันทั้งวัน บ้านกำนันจิตมีทุกอย่างพร้อม ไม่ว่าจะรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ แม้กระทั่งเรือ พวกเพื่อนๆ ของพี่จรมาถึง ก็ขับรถ ขับเรือเที่ยวกันสนุกสนาน ที่จรเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง ชอบกินเหล้าและชอบบู๊ จึงมีเรื่องกับนักเลงต่างถิ่นอยู่บ่อยๆ และทุกครั้งกำนันจิตจะเป็นคนเคลียร์เรื่องเรียบร้อย บางรายที่พี่จรไปลงไม้ลงมือกับเขา ก็ต้องเสียค่าเสียหายให้ แต่บางรายก็เจ็บไปฟรีๆ

ส่วนพี่จันทร์ ลูกชายคนรองของกำนัลจิต ตอนนั้นก็ไปเรียนหนังสืออยู่ในเมืองเหมือนกัน และเริ่มเป็นหนุ่มแล้วลือกันว่า คนมีเจ้าชู้น่าดู ชาวบ้านจึงว่ากันว่าคงจะติดท่านขุนผู้เป็นปู่ส่วนพี่ใจ ลูกสาวคนเดียวของกำนัลจิตมีอายุมากกว่าข้าพเจ้าเพียงปีสองปี ตอนนั้นแกเรียนหนังสืออยู่ในบ้าน แต่อยู่คนละระดับกับข้าพเจ้า คือ พี่ใจเรียนอยู่ระดับมัธยม ส่วนข้าพเจ้ายังเรียนอยู่ระดับประถม เมื่อเรียนจบจากที่นั่น พี่ใจขึ้นมาเรียนต่อที่กรุงเทพทันที ส่วนข้าพเจ้าตามมาทีหลัง

ว่ากันตามความจริงแล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจใยดีอะไรกับเรื่องราวในครอบครัวของกำลังจิตเท่าไหร่นัก แต่มันก็แปลกที่ได้รับข่าวคราวของครอบครัวนี้อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาเจอกับคนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน พวกเขามักจะพูดคุยกันถึงเรื่องผู้คนในครอบครัวของกำนัลจิต ข้าพเจ้าได้รับทราบความเคลื่อนไหวของผู้คนในครอบครัวกำนันจิตจากคนพวกนี้แหละมีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อนร่วมโรงเรียนของข้าพเจ้าคนหนึ่งมาถามข้าพเจ้าว่า“เอ็งรู้เรื่องของพี่จร ลูกกำนันจิตบ้างไหมข้าพเจ้าใส่สายน่าพร้อมตอบ “ไม่ค่อยรู้เรื่องของพวกเขาหรอก”“งั้นเอ็งก็คงยังไม่ทราบสิว่าพี่จรตายแล้ว”ข่าวนั้นทำให้ข้าพเจ้าตกใจเล็กน้อย “เรอะ เป็นอะไรตายล่ะ”ขับรถตกเหวเมาเพื่อนสรุปสั้นๆ“เรื่องมันเป็นยังไงวะ”“พี่จรเรียนไม่จบหรอก กำนันส่งไปอยู่ภูเก็ต อยู่ที่นั่นแกก็ไม่ได้ทำมาหากินอะไร วันๆ ก็ดีแต่กินเที่ยวผลาญเงินพ่อแม่ซึ่งกำลังส่งไปให้ทุกเดือน ซื้อบ้าน ซื้อรถ ให้อยู่ที่นั่นเลย ต่อมาแกชวนเพื่อนไปกินเหล้าเมา แล้วก็ขับรถเที่ยวกัน แต่ไม่รู้ไปขับอีท่าไหนรถตกเหวตายหมดทั้งคัน”นั่นเป็นข่าวการสูญเสียครั้งแรกของผู้คนในครอบครัวกำนันจิต และหลังจากนั้นปีเศษๆ เพื่อนคนเดียวกันนั้นก็นำข่าวเกี่ยวกับพี่จันทร์ลูกชายคนรองของกำนัลจิตมาบอกข้าพเจ้าว่า“พี่จันทร์ถูกตัดสินประหารชีวิต”“คดีอะไรวะ”“ข่มขืน ฆ่า”“ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าสักวัน พี่จันทร์จะต้องโดนคดีแบบนี้ ได้ข่าวว่าเจ้าชู้นักไม่ใช่หรือ”

“สมคำร่ำลือล่ะ แกเอ๋ย ขอให้เป็นผู้หญิงเถอะ ไม่ว่าจะหน้าตาเป็นยังไง พี่จันทร์แกเอาทั้งนั้น คนนี้เหมือนท่านขุน ปู่ของแกไม่มีผิด ทำแล้วไม่มีการรับผิดชอบ ชอบข่มเหงผู้หญิงเป็นที่หนึ่ง”“แล้วนี่ไปพลาดเข้าอีท่าไหนล่ะ ถึงได้ถูกตัดสินประหารชีวิต”“ได้ยินคนที่บ้านพูดกันว่า แกเกิดไปชอบลูกสาวเถ้าแก่คนหนึ่งขยันจีบอยู่นาน แต่ผู้หญิงไม่สนใจ และไม่มีทีท่าว่าจะสนใจแกเลย แกจึงใช้วิธีที่บรรพบุรุษแก่ถนัด คือฉุดไปข่มขืน แต่ผู้หญิงขัดขืน แกเลยฆ่าทิ้งซะ”“นี่ก็เป็นอันว่า กำนันจิตเสียลูกชายไปอีกคน”

“ยังไม่แน่หรอก ตอนนี้กำนันจิตกำลังวิ่งเต้นช่วยลูกชายเต็มที่ ได้ข่าวว่าถึงกับขายที่ขายทางไปเป็นร้อยๆ ไร่”หลังจากวันนั้นแล้ว ข่าวพี่จันทร์เงียบหายไปนาน จนกระทั่งเพื่อนคนเดิมมาเจอข้าพเจ้าโดยบังเอิญ และบอกข้าพเจ้าว่า“กำนันแกช่วยลูกชายสำเร็จแล้วนะ พี่จันทร์ได้รับการลดโทษเหลือแค่จำคุกตลอดชีวิต”หลังจากนั้น 2 ปี ข้าพเจ้าได้ข่าวเกี่ยวกับพี่จันทร์อีกครั้ง ทีนี้เป็นข่าวร้ายที่สุดของแก เพราะได้ข่าวว่า แกเสียชีวิตในคุก เสียชีวิตเพราะเป็นโรคปอดขั้นร้ายแรง เป็นอันว่ากำนันต้องสูญเสียลูกชายไปจนได้ หลังจากที่แกทุ่มเงินทุ่มทองไปร่วมล้านต่อชีวิตลูกชายไว้ได้เพียง 2 ปีเท่านั้น จะว่าไปแล้วเรื่องผู้คนในครอบครัวของกำนัลจิต คนที่ข้าพเจ้าได้ข่าวบ่อยมากที่สุดก็คือพี่ใจ อาจจะเป็นเพราะว่าพี่ใจขึ้นมาอยู่กรุงเทพเหมือนกัน และมาอยู่ในกลุ่มเพื่อนคนบ้านเดียวกัน คนพวกนั้นได้มีโอกาสพบปะกับข้าพเจ้าอยู่บ้าง ข่าวคราวของแกจึงได้มาถึงหูข้าพเจ้าบ่อยๆ

ข่าวของพี่ใจเป็นข่าวคาวเสียมากกว่า เพื่อนฝูงพูดกันว่า แกประพฤติตัวเหลวแหลกมาก เรียนหนังสือไม่จบ มั่วผู้ชายไม่เลือกหน้า การงานก็ไม่ทำ ดีแต่ผลาญเงินพ่อแม่ ซึ่งป้าดวงและกำนันจิตพ่อแม่ของแกส่งมาให้ผลาญเดือนละเป็นหมื่นๆ แล้วข่าวคืบหน้าของพี่ใจครั้งหนึ่งก็มาพร้อมกับการขึ้นมาเยี่ยมของญาติคนหนึ่งของข้าพเจ้า วันนั้น ข้าพเจ้ากลับจากทำงาน ไปถึงบ้านก็ปรากฏว่ามีญาติจากบ้านขึ้นมาเยี่ยม ข้าพเจ้าจึงต้อนรับพวกเขาด้วยความยินดีปรีดา ได้ถามเรื่องการเดินทาง ญาติคนนั้นบอกข้าพเจ้าว่า“ขึ้นมาพร้อมกันหลายคน พี่ดวง เมียกำนันจิตก็มาด้วย”“ป้าดวงแกมาทำอะไรหรือ”“ขึ้นมาเยี่ยมอีใจ”“เออ ตอนนี้พี่ใจแกอยู่ที่ไหนล่ ะไม่ได้ข่าวนานแล้ว”“อ้าว เอ็งไม่รู้เรอะ มันติดยางอมแงมจนถูกตำรวจจับ ตอนนี้พ่อแม่มันพาไปรักษาอยู่ที่วัดถ้ำกระบอก พี่ดวงแกขึ้นมาเยี่ยมอยู่บ่อยๆ

ข้าพเจ้าใจหายเมื่อได้ทราบข่าวนั้น แม้รู้ว่าพี่ใจเป็นคนไม่สู้จะเรียบร้อยเท่าไหร่นัก แต่ก็คิดไม่ถึงว่าแกจะถึงติดยางอมแงมจะเสียผู้เสียคน ข่าวของพี่ใจมาถึงข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า ป้าดวงแม่ของแกมารับกลับไปอยู่ที่บ้าน แต่ยังเสพยาอยู่เหมือนเดิม และดูเหมือนว่าจะยิ่งเสพมากขึ้นกว่าเดิม กำนันจิตจำเป็นต้องยอมให้แกเสพเจ้ายาอันตรายนั่น เพราะว่าเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถรักษาชีวิตลูกคนเดียวที่เหลืออยู่ไว้ได้ เจ้ายาอันตรายนั้นสามารถต่อชีวิตพี่ใจได้จริงๆ แต่กำนันจิตต้องสูญเสียทั้งเกียรติยศและเงินตราจำนวนมากมาย ถึงกับต้องขายที่ทางไปเกือบหมดชีวิตของกำนัลจิตตอนนั้นช่างแตกต่างกับเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง แกสูญเสียทั้งชีวิตลูกๆ ทั้งเกียรติยศและเงินตรา แกไม่ได้อยู่ในฐานะที่ควรจะเกรงขามต่อไป ชีวิตของแกที่เหลือก็ไม่ต่างอะไรกับคุณสิ้นเนื้อประดาตัวทั่วไป ความเศร้าโศกเกิดขึ้นกับสองผัวเมียผู้น่าสงสารอีกครั้ง เมื่อเจ้ายาอันตรายนั่นได้คร่าชีวิตลูกสาวคนเล็ก และเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ของแกไปเห็นความเปลี่ยนแปลงของครอบครัวกำนันจิตแล้ว ข้าพเจ้าอดนึกถึงคำพูดของตาคล้ายไม่ได้ ข้าพเจ้าอยากทราบจริงๆ ว่าถ้าแกยังมีชีวิตอยู่ และได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของผู้คนในครอบครัวของกำนันจิตเป็นอย่างนี้ แกจะรู้สึกอย่างไร

“เอ็งเชื่อข้าเถอะ พวกมันร่ำรวยไปได้ไม่นานหรอก จะต้องฉิบหายเข้าบ้างสักวัน บรรพบุรุษมันทำกรรมไว้มาก สักวันพวกมันต้องรับกรรม”  วันนี้คือวันที่ตาคล้ายว่ากระมัง











ที่มา: http://updatesara.com/12481










เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2561ที่ผ่านมา พระสุเมธาธิบดีนนเง็ก สังฆนายก ราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นประธานในพิธีถวายรางวัลผู้นำพุทธโลกแก่สมเด็จพระวันรัตน์น้อยจรัส รองสังฆนายกลำดับที่ 3 แห่งประเทศกัมพูชา และมหาอุบาสิกาอีก 3 ท่าน ที่สนับสนุนกิจการพระพุทธศาสนามาตลอด ได้แก่คุณหญิงเซียง จันเฮง, คุณหญิงเมาะมาลัย แกกำยาน และคุณหญิงไล้ กำไน


โดยมีคณะสงฆ์และผู้นำชาวพุทธนานาชาติ ร่วมงาน จาก 11 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา, ไทย, ศรีลังกา, เมียนมาร์, มาเลเซีย, บังคลาเทศ, อินเดีย, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, สหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ และนอร์เวย์ งานนี้จัดโดย องค์กร BUDDHIST Cultural Center of Cambodia (BCCC) โดยมี มหาอุบาสิกาเนี๊ยก บุญทา เป็นผู้นำในการจัดงาน ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา













ที่มา: http://www.banmuang.co.th/news/education/105554











เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 15 มี.ค.61 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันใกล้วันออกสลากกินแบ่งของรัฐบาลในวันที่ 16 มี.ค.นี้ ได้มีชาวบ้านหนองหญ้าขาว หมู่ 8 ต.ช่องสามหมอ อ.คอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ พากันแตกตื่นว่า มีคนขุดพบจุดคล้ายหลุมศพและซากกระดูกของมนุษย์โบราณ ที่ขุดพบได้ในพื้นที่กำลังก่อสร้างรั้วบริเวณทางเข้าหน้าบ้านของชาวบ้านรายหนึ่ง ในตำบลช่องสามหมอ และคาดว่าน่าจะมีอายุกระดูก หม้อไหเครื่องปั้นดินเผาแบบโบราณ ขุดพบในครั้งนี้มีอายุเก่าแก่มานานแล้วไม่น้อยกว่าหลายร้อยปี

ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบ ในจุดดังกล่าว ที่ชาวบ้านพบว่าภายในหลุมที่ขุดลึกลงไปลึกไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร ปากหลุมกว้างกว่า 2 เมตร ที่ชาวบ้านขุดลึกลงไปเป็นโพรงขนาดใหญ่  ซึ่งพบว่ายังมีมีโครงกระดูกมนุษย์โบราณในสภาพ นอนเหยียดขา แขนซ้ายยกขึ้นมีเครื่องประดับคล้ายกำไลเงินสวมอยู่ หันหัวไปทางทิศตะวันตก รอบๆ มีเศษภาชนะโบราณและซากฟันกราม ที่หลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง

ทางชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างพากันมุ่งเดินทางมาจุดดังกล่าว เพื่อนำธูปเทียนเครื่องบูชามาขอกราบไหว้ขอพรขอโชคลาภในช่วงวันใกล้สลากกินแบ่งรัฐบาลออกในวันที่ 16 นี้กันต่อเนื่องไม่ขาดสายเป็นจำนวนมาก ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล








ที่จุดพบเครื่องปั้นดินเผาและซากกระดูกมนุษย์โบราณ เป็นที่ดินของนางพิมพา อายุ  59 ปี ที่ตั้งอยู่ หมู่ 8 บ้านหนองหญ้าขาว ตำบลช่องสามหมอ อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเจ้าของบ้านที่รายนี้ กล่าวว่า ขณะที่ตนเองกำลังได้ว่าจ้างคนงานมาทำรั้วบ้านและกำแพงบ้าน ขณะที่ช่างกำลังขุดหลุมลึกลงไปประมาณ 1 เมตรเศษๆ เพื่อที่จะฝังเสาปูนบริเวณหน้าบ้าน

จู่ๆ ก็พบหัวกะโหลกมนุษย์โผล่ขึ้นมาเมื่อนำเศษดินออกก็พบว่าเป็นโครงกระดูกคนขนาดใหญ่กว่าปกติคล้ายมนุษย์โบราณ พร้อมด้วยมีเครื่องประดับเป็นกำไลเงินและเครื่องปั้นดินเผาอยู่โดยรอบ ซึ่งนางพิมพา ยังกล่าวต่อว่า

ครั้งนี้ก็เชื่อว่า มีวิญญาณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งเร้นลับ มาดลจิตใจให้ตนเองมาขุดหลุมทำรั้วบ้านใหม่ในครั้งนี้ขึ้น ที่อยู่ดีๆ ก็คิดอยากจะทำรั้วใหม่ขึ้นมา ทั้งที่ตั้งใจที่จะหาช่างมาทำนานแล้ว แต่ครั้งนี้ก็มาฝันแปลกๆ บ่อยครั้งและก็คิดจะทำขึ้นมาทันที เพื่อให้ช่วยนำซากกระดูกศพขึ้นมาบำเพ็ญกุศล จะได้ไปเกิดใหม่ เพราะก่อนหน้านั้นเคยฝันเห็นคนตัวใหญ่คล้ายๆ คนโบราณมาหลายครั้งแล้ว


หลังข่าวการขุดพบเจอโครงกระดูกและเครื่องปั้นดินเผาพร้อมด้วยกำไลโบราณ แพร่สะพัดออกไป  ชาวบ้านที่ทราบข่าว โดยเฉพาะคอหวยนักเสี่ยงโชคต่างพากันแตกตื่นแห่มามุงดูทั้งหมู่บ้าน เพราะไม่เคยพบเห็นโครงกระดูกในลักษณะนี้มาก่อนเช่นกัน

รวมทั้งยังมีการพาร่างทรงมาทำพิธีเข้าทรง และชาวบ้านต่างนำดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมานาน และเพื่อเป็นสิริมงคลต่อตนเองจึงนำดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้ขอพรกันต่อเนื่องในครั้งนี้ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล

ด้าน นายประหยัด อนันต์เต่า กำนันตำบลช่องสามหมอ กล่าวว่า ตนเองได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและกรมศิลปากรทราบในเบื้องต้นแล้ว เพื่อจะได้จัดทีมมาสำรวจหาร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีที่ชัดเจนอีกครั้ง ว่าสิ่งที่พบเป็นโครงกระดูกเครื่องปั้นดินเผามีอายุเก่าแก่มากเท่าใด หรือไม่ เพื่อความชัดเจนที่แท้จริงต่อไป

ซึ่งเบื้องต้นในช่วงนี้ก็ต้องขอให้เจ้าที่หน้าที่ เข้ามากันพื้นที่ไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปรุมล้อมหรือเข้าใกล้หลุมดังกล่าวมากเกินไป เพื่อป้องกันการแตกพังเสียหายที่อาจจะเป็นการค้นพบสิ่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์บ้านเมืองชัยภูมิเราที่สำคัญขึ้นอีกแห่งก็เป็นได้

ในส่วนด้านเจ้าของที่ดินเองก็อยากขอเพียงว่าการขุดพบครั้งนี้ อยากจะนำโครงกระดูกที่พบไปทำการฌาปนกิจที่วัดในหมู่บ้าน เพื่อความเป็นสิริมงคลของที่อยู่อาศัยตนเองในปัจจุบันเท่านั้นต่อไป










ที่มา:https://news.sanook.com/5698634/

15/3/61












พระเอกที่มาแรงแซงทุกโค้งนาทีนี้ต้องยกให้คุณพี่หมื่น โป๊บ ธนวรรธน์ จากละคร บุพเพสันนิวาส ต้องบอกว่าหนุ่มคนนี้ไม่ได้เก่งแค่การแสดง แต่ในชีวิตจริงยังมีความสามารถทางด้านศิลปะ โดยหลายปีก่อนนั้น หนุ่มโป๊ปลงมือวาดรูปนำไปประมูลเพื่อหาเงินทำบุญ ต้องบอกเลยว่าฝีมืออยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

สำหรับ โป๊ป ธนวรรธน์ จบการศึกษาระดับปวช. จากวิทยาลัยช่างศิลป และจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขานิเทศศิลป์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และเคยทำงานประจำตำแหน่งคอมพิวเตอร์กราฟิก ก่อนจะก้าวสู่วงการบันเทิง กว่าจะมาเป็นคุณพี่หมื่นก้าวสู่พระเอกแนวหน้าอย่างในวันนี้ก็ฝ่าฟันมาไม่ใช่น้อยเหมือนกัน



















ที่มา: https://news.sanook.com/5680814/










กำลังอยู่ในช่วงต่อสู้คดี งานนี้อดีตผู้ประกาศข่าวชื่อดัง สรยุทธ สุทัศนะจินดา เลยค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยอัพเดตเรื่องราวในชีวิตของตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะเหตุนี้เลยทำให้พวกเว็บข่าวปลอมปล่อยข่าวออกมาว่า อดีตผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ถูกยิงที่เขาใหญ่ ทำให้หลายคนที่อ่านข่าวนี้ตกใจไม่น้อย

งานนี้อดีตผู้ประกาศข่าวชื่อดัง เลยต้องอัพเดตชีวิตล่าสุดของตัวเองลงในอินสตาแกรมเพื่อแจ้งข่าวให้ทุกคนที่ห่วงใยทราบว่า ตนเองปลอดภัย ไม่ได้โดนยิง และยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นคลิปที่สรยุทธกำลังนั่งทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยๆ ด้วยเมนูบ้านๆ พร้อมแคปชั่นว่า

“ขอบคุณทุกๆ ท่านที่เป็นห่วงครับ เรื่องถูกยิงที่เขาใหญ่เป็นข่าวปลอมนะครับ ปล่อยมาหลายรอบแล้ว ผมใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ ครับ”

ซี่งหลังจากที่สรยุทธลงคลิปดังกล่าวไป ก็มีแฟนๆ และเพื่อนพ้องในวงการเข้ามาคอมเมนต์ด้วยความห่วงใย และบอกว่าคิดถึง อยากให้กลับมาเล่าข่าวให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง.



https://www.instagram.com/p/BgSh22gnzKq/?utm_source=ig_embed











ที่มา: https://www.thairath.co.th/content/1227967#cxrecs_s

14/3/61











10 มี.ค.สำนักข่าวเดลี่ มิรเรอร์รายงานข่าว เกี่ยวกับเรื่องที่หลายๆคนอาจจะกำลังสงสัย เวลาที่เราเจอกับคนบางคนแล้วเขามีรูเล็กๆบริเวณหู เรามาดูกันว่าเจ้ารูๆนี้คืออะไร

มันเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากๆ ที่คนจะเกิดมาพร้อมกับรูเล็กๆ บริเวณหูของพวกเขาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาแปลกประหลาดหรือเป็นมนุษย์ต่างดาวอะไร


เราเรียกเจ้ารูๆนี้ว่า‘พรีออริคูลา ไซนัส’ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงแค่ 1% เท่านั้นของประชากรเฉลี่ยทั่วโลก ในประเทศอังกฤษพบว่ามีประชากร 1% ที่จะมีรูบนใบหู ส่วนในคนเอเชียและแอฟริกา มีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 4-10% จากจำนวนประชากรทั้งหมด และน้อยลงมาคือคนในอเมริกา

อธิบายง่ายๆ‘พรีออริคูลา ไซนัส’ก็เหมือนกับ เวลาร่างกายของเรามีสิ่งผิดปกติอื่นๆ เช่น การมีตุ่มขึ้นบนผิวหนัง,ฟันเก หรือการมีลักยิ้มนั่นเอง








บางคนสงสัยว่าแล้วถ้าฉันใส่เครื่องประดับเข้าไปในรูนี้ได้มั้ย คุณหมอได้ออกมายืนยันแล้วว่าเราใช้ก้านของจิวเวอวร์รี่ใส่ลงไปไม่ได้ เพราะอาจทำให้เจ้ารูบนหู เกิดการติดเชื้อได้


ในทางเทคนิคอาจกล่าวได้ว่า ‘พรีออริคูลา ไซนัส’ คือข้อบกพร่องทางพันธุกรรมที่เกิดจากพันธุกรรม ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาคนแรกมีชื่อว่า แวน ฮิวจ์ซิงเกอร์ เขาได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังในปี ค.ศ.1864 พบว่าคนที่มีรู ‘พรีออริคูลา ไซนัส’ ส่วนมากจะเป็นที่หูข้างใดข้างหนึ่ง แต่ก็มีบางกลุ่มที่เป็นทั้งสองข้าง

นักชีววิทยาวิวัฒนาการคนหนึ่ง ชื่อ นีล ชูบิน กล่าวว่า รูบริเวณหูนี้ อาจเหมือนกับวิวัฒนาการของเหงือกปลาที่เหลืออยู่

ถ้าคุณอยู่ใน 1% นี้ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะมันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตอะไร เพราะปัญหาส่วนใหญ่ที่พบ จะเกิดขึ้นจากในกรณีที่รูติดเชื้อมากกว่า ซึ่งจะรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ หรือหากใครไม่อยากมี ‘พรีออริคูลา ไซนัส’ ก็สามารถผ่าตัดกำจัดออกไปได้





ที่มา:https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_833839

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget