31/5/61







สุนารี ราชสีมา ถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลด่วน เจอสุนัขในบ้านกัดบาดเจ็บสาหัส ได้แผลเหวอะรอบตัว หลังเข้าห้ามไม่ให้กัดกัน

ทำเอาแฟน ๆ ของนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง สุนารี ราชสีมา ตกใจกันเป็นแถว ที่ล่าสุด (30 พฤษภาคม 2561) เพจเฟซบุ๊ก นิตยสารลูกทุ่งอินเตอร์ ข่าวเด็ด-คลิปดัง ออกมาเผยภาพนักร้องลูกทุ่งดัง นอนรักษาตัวอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล โดยทั่วตัวมีบาดแผลเหวอะ หลังถูกสุนัขกัดบาดเจ็บสาหัส






โดยเบื้องต้นคนใกล้ชิดของ สุนารี เปิดเผยเหตุการณ์กับผู้สื่อข่าวลูกทุ่งอินเตอร์ ว่า เหตุเกิดภายในบ้านพักของนักร้องดัง เนื่องจากมีสุนัขในบ้านกัดกัน สุนารี จึงเข้าไปห้ามสุนัข ทำให้สุนัขหันมากัดบริเวณขา แขน และลำตัวของนักร้องดัง จนเป็นแผลเหวอะหลายจุด ก่อนถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาบาดแผล

งานนี้ก็มีแฟน ๆ เข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจเจ้าตัวกันเพียบ พร้อมอวยพรให้แผลหายในเร็ววัน























ที่มา: https://women.kapook.com/view194118.html









ครอบครัวชาวอเมริกันสลาย หนูน้อยวัย 8 เดือน ถูกสุนัขพิทบูลที่เลี้ยงไว้ ขย้ำทำร้ายจนเสียชีวิต เจ้าหน้าที่เผย ครอบครัวเลี้ยงมันมาตั้งแต่เป็นลูกสุนัข แต่สุดท้ายก็ไม่เชื่อง

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 เว็บไซต์ยูเอสเอทูเดย์ เผยรายงานว่า เกิดเหตุสลดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งในเมืองมิรามาร์ รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เด็กน้อยเพศหญิงวัยเพียง 8 เดือน  (ไม่เปิดเผยชื่อ) ถูกสุนัขสายพันธุ์พิทบูล ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของทางครอบครัวขย้ำทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะเสียชีวิตในที่สุด






เยสเซเนีย ดีแอซ เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่น เผยกับรายงานระบุว่า ครอบครัวดังกล่าวเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์พิทบูลไว้จำนวน 3 ตัว ขณะเกิดเหตุหนูน้อยเคราะห์ร้ายรายดังกล่าว อาศัยอยู่กับคุณยาย แต่แล้วอยู่ ๆ สุนัขพิทบูลเพศผู้ตัวหนึ่งซึ่งมีอายุประมาณ 3-4 ปี ก็ได้เข้าไปทำร้ายหนูน้อยที่กำลังนอนเล่นอยู่ที่เก้าอี้โยกภายในห้องนอน ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งให้ไปยังที่เกิดเหตุพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัย แต่ไม่ทันกาล หนูน้อยเสียชีวิตลงแล้ว

สำหรับสุนัขพิบูลตัวดังกล่าว ครอบครัวรับมันมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า สุนัขตัวดังกล่าวนี้คากว่าจะต้องถูกนำไปการุณยฆาต ภายหลังจากเกิดเหตุ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผลการประเมินของทางผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานควบคุมสัตว์

อย่างไรก็ดี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เปิดเผยรายละเอียดข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับเหยื่อหนูน้อยรายดังหกล่าว รวมทั้งข้อมูลของทางครอบครัว เนื่องจากทางพ่อและแม่ของเด็กต้องการขอเวลาเพื่อแจ้งเหตุเศร้าครั้งนี้ให้ทางญาติคนอื่น ๆ ได้ทราบและทำใจให้ได้เสียก่อน













ที่มา: https://hilight.kapook.com/view/173110

28/5/61









สุดอัศจรรย์! หลวงพ่อพูลละสังขารมานาน  แต่ร่างเปลี่ยน “สีทอง” แปลกกว่านั้น..สังขารท่านยังเหมือนกับมีชีวิต ลูกศิษย์เชื่อเกิดจากบารมีของหลวงพ่อ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่..สาธุๆ

หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม พร้อมด้วยคณะสงฆ์และศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันจัดพิธีเปลี่ยนผ้าครองสังขารของหลวงพ่อพูล อัตตรักโข อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม





ที่ได้มรณภาพไปเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม๒๕๔๘ ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา รวมเวลาถึง ๑๒ปีโดยสรีระสังขารของหลวงพ่อพูลได้ถูกเก็บไว้ในโลงแก้ว เพื่อให้ประชาชนได้สักการะ และในทุกวันมาฆบูชาของทุก ๆ ปี จะมีการทำพิธีเปลี่ยนผ้าครองสังขาร ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก


จากพิธีการเมื่อวันที่ ๒๑กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ คณะเจ้าหน้าที่ได้มีการนำสังขารของหลวงพ่อพูลอออกจากโลงแก้ว เพื่อนำมาตั้งไว้กลางศาลาการเปรียญเพื่อมาตั้งบนแท่นการทำความสะอาด โดยทุกคนที่จะสัมผัสสังขารของหลวงพ่อพูลจำเป็นต้องสวมถุงมือเพื่อป้องกันความชื้นที่จะทำให้เกิดเชื้อราขึ้น


ซึ่งขั้นตอนการทำความสะอาดก็จะใช้สำลีชุบด้วยแอลกอฮอล์มาใช้ทาทั่วสังขารของหลวงพ่อพูล เพื่อฆ่าเชื้อโรค และเชื้อราซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังสำหรับการจัดเก็บสังขารที่ต้องอยู่ในที่อบ และมีความชื้นสูง โดยศิษยานุศิษย์ที่ได้เข้ามาร่วมในพิธีการดังกล่าวต่างถือเป็นมงคลที่ได้เข้ามาร่วมภายในงาน






ซึ่งหลังการเปลี่ยนจีวรผืนใหม่ก็จะนำจีวรผืนเก่ามาตัดแบ่งแจกให้ผู้เข้าร่วมในพิธีนำไปเก็บไว้เป็นมงคล และเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงหลวงพ่อพูล ดังที่เคยทำมาแล้ว ๑๒ปี ซึ่งพิธีการเป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยใช้เวลาประมาณ ๒ชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น


พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน รักษาการเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวในพิธีว่า สำหรับพิธีการทำความสะอาดสังขาร และเปลี่ยนจีวรให้กับหลวงพ่อพูล ได้ทำมาตั้งแต่ปีแรกๆ ที่หลวงพ่อพูลท่านได้ละสังขารไป โดยตั้งแต่แรกที่ปรากฏความอัศจรรย์คือท่านได้ละสังขารของท่าน เมื่อวันวิสาขบูชา เมื่อปี ๔๘

แต่สังขารกลับไม่เน่าเปื่อย จากนั้นจึงได้มีการเปลี่ยนจีวร และทำความสะอาดสังขารท่านปีแรกๆ ได้ทำแบบปิด แต่พบว่ามีลูกศิษย์ลูกหามารอกันที่หน้าศาลาเป็นจำนวนมาก ต่อมา จึงได้เปิดให้มีการเข้ามาชม และร่วมในพิธี ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา จะพบว่าเส้นผมของหลวงพ่อพูลท่านจะขึ้นยาวมากขึ้นทุกปี และเส้นเลือดต่างๆ ก็จะยังปูดบวม โดยปีนี้เส้นเลือดที่ขมับนั้นปรากฏขึ้นเป็นเส้นชัดเจน


และเมื่อไม่นานมานี้สังขารของหลวงพ่อพูลได้มีการเปลี่ยนแปลงคือ จากสีที่เป็นสีดำคล้ำ ได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสีทอง ซึ่งหลายคนที่ได้ร่วมในพิธีต่างเกิดความปีติที่ได้พบสิ่งมงคล ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์เชื่อว่าเกิดจากบารมีของหลวงพ่อพูลที่ได้มีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในร่มกาสาวพัตร นานกว่า ๗๐ ปี และเป็นพระที่สมถะ เรียบง่าย มีการบำเพ็ญเพียรด้วยความตั้งมั่น จึงทำให้สังขารของท่านยังเหมือนกับมีชีวิต














ที่มา: http://www.partiharn.com/contents/2312








เมื่อวันที่ 27 พ.ค. โลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปจากเฟซบุีกเพจ แค่คุณแชร์ เราก็ดีใจ ซึ่งได้โพสต์ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เผยให้เห็นหนุ่มรายหนึ่งจับกีตาร์ร้องเพลงบ่นถึงเศรษฐกิจประเทศไทยในปัจจุบันที่ข้าวยากหมากแพง แถมค่าแรงยังน้อย โดยเพจดังกล่าวระบุข้อความว่า “หนุ่มตรัง แต่งเพลงถึงรัฐบาล เรื่องข้าวของ เเพง ลองฟังเเล ว่าหรอยหม้าย ถ้าชอบกดไลค์ รักกะกดแชร์นะพีหลวงนะ.. ที่มา….วัชรา เรื่องทิพย์”





หลังจากที่คลิปดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์  ชาวเน็ตได้เข้ามารับชมมากกว่าแสนคน พร้อมทั้งแชร์ส่งต่ออย่างกว้างขวางและแสดงความคิดเห็นชื่นชมผู้แต่งเพลงเป็นจำนวนมาก












ที่มาhttps://news.mthai.com/social-news/645230.html









หญิงอินเดียไม่รู้ตัวถูกงูพิษกัดขณะนอนหลับ ตื่นมาให้นมลูกสาวตามปกติ สุดท้ายเสียชีวิตทั้งคู่

หนังสือพิมพ์ The Times of India รายงานว่า หญิงอินเดียคนหนึ่งนอนหลับเกิดฝันว่าถูกงูพิษกัด ตื่นมาสับสนไม่รู้ถูกกัดจริงหรือแค่ฝัน แต่ไม่มีอาการถูกพิษปรากฏชัดเจนจึงให้นมลูกสาววัย 2 ขวบตามปกติ สุดท้ายเสียชีวิตทั้งแม่และลูกในเวลาไร้เรี่ยกัน

เหตุสลดดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าตรู่เวลาประมาณ 04.00 น. วันที่ 24 พ.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ที่หมู่บ้านแมนดลา (Mandla) เมืองมุซาฟฟาร์นากา รัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของอินเดีย หญิงคนดังกล่าวชื่อ ปาร์วีน (Parveen) เนื่องจากไม่รู้สึกถึงอาการถูกพิษชัดเจน ครอบครัวของเธอจึงใช้ผ้าพันแผลบริเวณมือของเธอไว้อย่างง่ายๆ และไม่ได้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล






โดยเธอได้จัดการเตรียมอาหารเช้าให้กับครอบครัวตามปกติ หลังจากนั้นก็ไปให้นมลูกสาว แต่ลูกสาวที่อายุเพียง 2 ขวบมีอาการถูกพิษอย่างรวดเร็วจึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล ทว่าไม่นานแพทย์ก็ได้แจ้งว่าไม่สามารถรักษาและยื้อชีวิตหนูน้อยไว้ได้ ต่อมาไม่กี่ชั่วโมงเธอก็ล้มหมดสติและเสียชีวิตหลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

สามีของเธอกล่าวว่า “ตอนเรานำศพลูกสาวกลับมาที่บ้าน ปาร์วีนก็ล้มหมดสติไปแล้ว เรารีบนำตัวเธอส่งโรงพยาบาล แพทย์แจ้งกับเราว่าเธอเสียชีวิตจากการถูกงูพิษกัด”

รายงานระบุว่า ครอบครัวของเธอพบงูพิษอยู่ในห้องอีกห้องหนึ่ง แต่ไม่ได้จับตัวมันไว้ ส่วนงูพิษตัวนั้นก็ได้เลื้อยหนีออกไปจากบ้านแล้ว

ทั้งนี้ ในอินเดียมีงูอาศัยอยู่ประมาณ 300 ชนิด ในจำนวนนี้มี 60 ชนิดที่มีพิษร้ายแรง จากการศึกษาของ American Society of Tropical Medicine and Hygiene (ASTMH) ในปี 2011 พบว่า ในแต่ละปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการงูพิษกัดประมาณ 100,000 คน โดย 46,000 คนในจำนวนนี้เป็นประชาชนในอินเดีย













ที่มา:https://www.sanook.com/news/6596870/









วันที่ 28 พฤษภาคม 2561 เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลภูน้ำหยด และเจ้าหน้าที่ทหาร กองพันทหารม้าที่ 18 กองพลทหารม้าที่ 1 จังหวัดเพชรบูรณ์ ลงพื้นที่สำรวจเทือกเขาที่มี ซากฟอสซิล ในพื้นที่บริเวณหมู่ 12 บ้านยางจ่า ต.ภูน้ำหยด อ.วิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์





ซึ่งจากการลงพื้นที่สำรวจ พบว่าพื้นที่ เกือบ 200 ไร่ รวมทั้งพื้นที่ราบ และพื้นที่เขาสูงที่เป็นก้อนหิน สามารถพบเห็นซากฟอสซิลสัตว์ เช่น เปลือกหอย พืชใต้ท้องทะเลประเภทปะการัง และอื่นๆ กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นที่ โดยซากฟอสซิล ที่พบจะเกาะอยู่ตามก้อนหิน สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และยังคงมีความสมบูรณ์ บางฟอสซิลก็มีสภาพผุกล่อนตามกาลเวลา


นอกจากนี้ พื้นที่โดยรอบบริเวณพบว่า มีการยึดเกาะรวมตัวกันของก้อนหินขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยมีหินปูนเป็นตัวเชื่อม ดูคล้ายกับแนวหินปะการัง มีรูปร่างสวยงาม กระจายไปในทิศทางเดียวกัน โดยทางองค์การบริหารส่วนตำบลภูน้ำหยด เตรียมพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ของจังหวัดเพชรบูรณ์ และใช้เป็นแหล่งศึกษาทางธรณีวิทยา ให้กับเด็กนักเรียน นักศึกษา รวมถึงประชาชนที่มีความสนใจ





เพราะเชื่อว่า โครงสร้างและซากฟอสซิล ที่พบ ในพื้นที่ดังกล่าวเคยอยู่ในทะเลมาก่อน ขณะที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ก็เตรียมประกาศให้เป็นแหล่งอุทยานธรณี ของจังหวัดเพชรบูรณ์ ด้วยเช่นกัน














ที่มา:https://www.sanook.com/news/6598222/

24/5/61










เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน! “จิตสุดท้ายก่อนตาย” สำคัญต่อการเกิดใหม่! หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสอน “ 5 วิธีจูงจิตผู้ป่วยใกล้ตาย ” ให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี!

สำคัญ! “จิตสุดท้ายก่อนตาย” ชี้ทางไปสู่ชาติหน้า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเมตตาสอน “5วิธีจูงจิตผู้ป่วยใกล้ตาย” ให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี

ผู้ที่กำลังจะถึงแก่ความตายนั้น ภายในจิตย่อมเกิดอารมณ์และความคิด สุดท้ายอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้นจะผ่านเข้าไปในจิต มีทั้งอารมณ์ยินดีและยินร้าย พอใจและไม่พอใจ เพียงระยะเวลาสั้นๆ ของผู้ที่ไม่เคยฝึกอบรมจิตมาก่อน จิตจะส่งกระแสออกไปตามอารมณ์ต่างๆ นับไม่ถ้วน






เมื่อดวงจิตจะต้องดับลงจริงๆ แล้ว ดวงจิตจะยึดเอาอารมณ์สุดท้ายที่จิตเสวยอยู่นั้นมาเป็นอารมณ์จิตและติดเข้าไปยังปรโลกด้วย ไปก่อให้เกิดภพภูมิของจิต อันเปรียบเสมือนมิติแห่งความคิดที่ดวงจิตวิญญาณ เมื่อผ่านเข้าไปยังปรโลกใหม่ไปสร้างมิติแห่งความฝันนี้ให้บังเกิดขึ้น

อารมณ์ของจิตสุดท้ายก่อนตายนี้นับว่ามีความสำคัญมาก เพราะดวงจิตวิญญาณจะยึดเอาไว้ เพื่อเป็นการน้อมนำไปสู่การเกิดใหม่ หรือบางครั้งอารมณ์จิตติดอยู่ในเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่ง

จึงสำคัญมากที่จะต้องรักษาจิตสุดท้าย ไม่ให้ฟุ้งซ่าน มีสติอยู่เสมอ เพื่อให้ดวงจิตนี้นำไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ จึงสอน “วิธีจูงจิตผู้ป่วยใกล้ตาย” ไว้ให้ ดังนี้...

"..ถ้าป่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้คือ

๑) ให้นำพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมอาหารและ ของใช้ที่จำเป็น นำไปให้ผู้ป่วยเห็นและให้ตั้งจิต อธิษฐานว่า

"ของทั้งหมดนี้ขอถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่วยด้วย"

แล้วญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจของผู้ป่วยจะได้สบายเพราะได้เห็น พระพุทธรูปและได้ทำบุญ

๒) ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ก็ควรนำเงินจะมากหรือน้อย ตามแต่ศรัทธา ให้ผู้ป่วยถือเงินไว้และให้ตั้งจิต อธิษฐานว่า






"เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดย เจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม"

๓) ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ ควรนำพระพุทธรูปมา ตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็น อย่าไปตั้งไว้ในที่ผู้ป่วย เห็นไม่ถนัด ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็จะได้เห็น พระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้าง และถ้าตาย เมื่อใดก็จะไม่ลงนรก

๔) ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้ นึกถึงพระพุทธเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม

๕) ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพาน ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง" ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้  ลงนรกก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้บอกสั้นๆ อย่าบอกยาว

๖) ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหว ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้นึกถึงพระไว้หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดี พูดมากไปเขาจะกลุ้มจะทำให้ลงนรกไป ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมากฉะนั้น การแนะนำคนป่วยก่อนตาย ต้องระมัดระวังให้ดี.."

จาก..หนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน

โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง













ที่มา:https://www.share-si.com/2018/05/5_22.html









 ตำนานเรื่องพระร่วงปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในภาษาไทยครั้งแรกใน “พงศาวดารเหนือ” ฉบับพระวิเชียรปรีชา (น้อย) ซึ่งเรียกขุนนางขอมที่ดำดินมาว่า "ขอมดำดิน" ยังไม่เรียกว่า "พญาเดโช" หลักฐานฝ่ายไทยที่ระบุชื่อพญาเดโชครั้งแรกคือ "บทกลอนประกอบการขับร้องเรื่องขอมดำดิน" ซึ่งทรงนิพนธ์โดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ แต่ไม่ทราบว่าได้ข้อมูลมาจากที่ใด ส่วน "เดโชดำดิน" ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในภาษาเขมรครั้งแรกในพงศาวดารเขมรฉบับวัดโกกกาก ที่เรียบเรียงในสมัยสมเด็จพระนโรดม

แต่พวกเราคุ้นเคยเรื่องขอมดำดินกันดี จากแบบเรียนภาษาไทยซึ่งนำมาจาก "บทละครพูดเรื่องพระร่วง" พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ เล่าถึงความสามารถของพระร่วงที่หาวิธีสร้างชะลอมใส่น้ำได้โดยไม่รั่ว เพื่อส่งส่วยน้ำให้ขอมที่เมืองนครธม จนเป็นที่เลื่องลือไปว่าพระร่วงเป็นผู้มีบุญ "พระปทุมสุริยวงศ์" กษัตริย์ขอมทรงหวาดระแวงว่า พระร่วงอาจตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ จึงคิดกำจัด โดยส่งผู้มีฝีมือชื่อ "นักคุ้ม" มาฆ่าพระร่วง






บังเอิญว่านักคุ้มดำดินมาโผล่ตรงบริเวณที่พระร่วงกวาดลานวัดอยู่ แต่ไม่รู้จักหน้าตาของพระร่วง จึงถามหากับพระร่วงว่า "พระร่วงที่มาจากเมืองละโว้อยู่ที่ไหน" พระร่วงจึงสอบถามจนรู้ว่าเป็นนายทหารขอมที่ตามมาจับตนจึงบอกว่า "เจ้าจงอยู่ที่นี่แหละอย่าไปไหนเลย จะไปตามพระร่วงให้" ด้วยฤทธิ์วาจาสิทธิ์ของพระร่วง ร่างของขอมดำดินผู้นั้นก็แข็งกลายเป็นหินติดคาแผ่นดินอยู่ตรงนั้น ต่อมาเมื่อเจ้าเมืองสุโขทัยสวรรคต และชาวเมืองรู้ว่าพระร่วงเป็นผู้มีบุญ จึงพร้อมใจกันขอให้พระร่วงลาสิกขาบท แล้วอัญเชิญขึ้นเป็นเจ้าเมือง นับตั้งแต่พระร่วงครองราชย์สมบัติปกครองเมืองสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองนับแต่นั้นมา

ที่วัดมหาธาตุกลางเมืองสุโขทัยเก่า พบก้อนศิลาสีเขียวเรียกกันว่า "ขอมดำดิน" เพราะชาวบ้านเอาไปผูกกับนิทานเรื่องพระร่วงมีวาจาสิทธิ์ บอกให้ขอมที่ดำดินขึ้นมาแข็งเป็นหินไปได้ ทุกวันนี้รูปขอมดำดินถูกต่อยเอาไปใช้เป็นยารักษาโรคตามความเชื่อ จนเหลือเพียงก้อนหินขนาดเล็ก เข้าใจว่าเดิมอาจเป็นประติมากรรมหินที่สร้างขึ้นโดยอิทธิพลศิลปะเขมร และคงถูกเคลื่อนย้ายไปมาในบริเวณเมืองเก่าสุโขทัยจนสุดท้ายนำมาไว้ยังวัดมหาธาตุ และกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ไป






หลักฐานโบราณคดีบ่งให้เห็นชัดเจนว่าบริเวณเมืองสุโขทัยเคยมีอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรมาก่อนตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ คือปราสาทเขาปู่จ่า อ.คีรีมาศ, ศาลตาผาแดง และวัดพระพายหลวงที่เมืองสุโขทัย ทั้งนี้ข้อมูลจากจารึกยังช่วยเชื่อมโยงให้เห็นความสำคัญของ “ขอม” ที่ปรากฏขึ้นที่สุโขทัยด้วย


จารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ (วัดศรีชุม) ออกชื่อ "ขอมสบาดโขลญลำพง" ที่ปกครองเมืองสุโขทัยอยู่ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ และถูก "พ่อขุนผาเมือง" กับ "พ่อขุนบางกลางหาว" มาช่วยกันรบชิงเมืองไว้ได้ในอำนาจแทน

"ขอมสบาดโขลญลำพง" นี้คงเป็นชื่อของบุคคลที่มีอำนาจเกี่ยวพันโดยตรงกับขอม-เขมร ที่อยู่ที่เมืองลพบุรีทางภาคกลางและเมืองพระนครหลวงในกัมพูชาด้วย ในฐานะผู้เก็บรวบรวมทรัพยากรจากดินแดนแคว้นสุโขทัยโบราณลงไปยังศูนย์กลางที่เมืองพระนครหลวง

กลุ่มของพ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางหาวคือกลุ่มคนพูด "ภาษาตระกูลไท-ลาว" เป็นหลัก การบันทึกถึงขอมสบาดโขลญลำพงในจารึกสุโขทัยจึงน่าจะเน้นความเป็นกลุ่มคนที่มีลักษณะบางประการแตกต่างไปจากตน ดังนั้น ขอม ในที่นี้จึงหมายถึงกลุ่มคนที่เกี่ยวพันกับเขมรโบราณ ใช้ "ภาษาตระกูลมอญ-เขมร" อันมีวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับทางลพบุรีและกัมพูชา

จารึกหลักที่ ๒ เป็นการเท้าความเหตุการณ์ในยุคต้นสุโขทัย ซึ่งยังปรากฏความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนดั้งเดิม (ขอม = มอญ-เขมร) กับกลุ่มคนที่เข้ามาใหม่ (ไท-ลาว) กลุ่มแรกเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อส่งทรัพยากรจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน-ล่าง ลงไปสู่เมืองพระนครหลวงกัมพูชา ในขณะที่กลุ่มหลังค่อยๆ เคลื่อนตัวจากลุ่มแม่น้ำโขงลงมายังที่ราบภาคกลางของไทย

ตำนานเรื่องนี้ สะท้อนถึงภาพของการส่งทรัพยากรจากดินแดนลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปยังเมืองพระนครหลวงโดยผู้ปกครองดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับละโว้ (ลพบุรี) – กัมพูชา จนเกิดขัดแย้งกับกลุ่มผู้ปกครองระดับท้องถิ่น จนลุกลามเป็นสงครามขึ้น และผู้ได้รับอำนาจมาแทนที่คือ บรรพบุรุษของราชวงศ์สุโขทัย-พระร่วง












ที่มา:http://www.partiharn.com/contents/2127









คนทั่วไปอาจไม่ทราบว่าการแผ่เมตตาและอุทิศบุญนี้เป็นการสร้างบุญอย่างหนึ่งตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการข้อหนึ่งที่ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้มารับบุญและโมทนาคุณความดีของเรา การแผ่บุญและส่งบุญไปให้คนอื่นนั้นเป็นการสร้างความดีเสมือนเราจุดเทียนขึ้นในความมืดแล้วเราก็ต่อเทียนไปให้ผู้อื่นโดยที่ บุญของเราก็ยังอยู่และได้ยังแสงสว่างให้เกิดขึ้นไปแก่ผู้อื่นด้วย ดังนั้นภายหลังจากการสวดมนต์ นั่งสมาธิและแผ่เมตตาแล้ว ครูบาอาจารย์มักจะให้กล่าวคำอุทิศบุญไปให้ผู้อื่นให้ครอบคลุมด้วยบท อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลว่า..


อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตา ปิตะโร ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข

อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข






อิทัง เม คุรูปัชฌายาจะริยานังโหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจะริยา ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า จงมีความสุข

อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข


อิทัง สัพพะ เปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

อิทัง สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุขทั่วหน้ากันเทอญฯ

หลังจากที่สวดจบแล้ว ให้หมั่นฝึกทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ ด้วยการนั่งสมาธิ การไหว้พระสวดมนต์ การน้อมพิจารณาความจริงของชีวิต เพื่อให้สภาพจิตใจมีความสะอาด สว่าง สงบ อยู่เหนือความโกรธ ความโลภ ความหลง และการเชื่อในบาปบุญคุณโทษ การมีสติปัญญาที่บริสุทธิ์ ปราศจากความอคติลำเอียง มองโลกตามความเป็นจริง














ที่มา:http://www.partiharn.com/contents/2146

22/5/61









วัดนายโรง เตรียมจัดพิธียิ่งใหญ่ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ อายุกว่า 2,500 ปี ประดิษฐานเป็นการถาวร ที่มณฑปจตุรมุขพระพุทธเจดีย์สารีริกธาตุ วัดนายโรง เนื่องในวันวิสาขบูชา พร้อมให้พุทธศาสนิกชนได้ถวายสักการะระลึกหลักธรรมพระพุทธเจ้า






ที่วัดนายโรง กรุงเทพฯ พระครูรัตนโสภณ เจ้าอาวาสวัดนายโรง กรุงเทพฯ พร้อมด้วยพระวัสกาดูเว มหินทวงศ์ มหานายกเถระ ประมุขสงฆ์อมรปุรนิกาย และเจ้าอาวาสวัดทีปทุตตมาราม ประเทศศรีลังกา ร่วมกันแถลงข่าวพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ โดยพระครูรัตนโสภณ กล่าวว่า ตามที่ทางวัดได้รับถวายพระบรมสารีริกธาตุจากประมุขสงฆ์อมรปุรนิกาย มาตั้งแต่ปี2556 ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวเป็นส่วนข้อพระกรด้านขวา มีอายุมากกว่า 2,500 ปี โดยมีหลักฐานยืนยันจากทางประเทศศรีลังกา และอินเดียว่า พระบรมสารีริกธาตุนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกขุดค้นพบที่เมืองกบิลพัสดุ์ ประเทศอินเดีย  เมื่อพ.ศ.2440 โดยนายวิลเลียม แคลกซ์ตัน เปปเป และนายวินเซนต์ สมิท นักโบราณคดีชาวอังกฤษ โดยในขณะนั้นพระศรีสุภูติ อดีตเจ้าอาวาสวัดทีปทุตตมาราม เป็นที่ปรึกษาในการแปลอักษรพราหมีที่จารึกบนผอบที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ดังนั้นจึงได้รับแบ่งพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานที่วัดทีปทุตตมาราม

พระครูรัตนโสภณ กล่าวต่อไปว่า ส่วนการที่วัดนายโรงได้รับถวายพระบรมสารีริกธาตุบางส่วนมาจากพระวัสกาดูเว สืบเนื่องมาจากความสัมพันธ์อันดีระหว่างตนกับพระวัสกาดูเว ที่เคยร่วมกันส่งสริมการศึกษาคณะสงฆ์ศรีลังกา ดังนั้นเนื่องในวันวิสาขบูชาประจำปี 2561 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 29 พ.ค.  ทางวัดนายโรงจะมีการจัดพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานเป็นการถาวรที่มณฑปจตุรมุขพระพุทธเจดีย์สารีริกธาตุ วัดนายโรง อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ถวายสักการะ ในวันที่ 27 พ.ค. เวลา 09.00น. โดยจะมีคณะผู้ร่วมอัญเชิญกว่า 300 คน โดยจะตั้งขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากปากซอยบรมราชชนนี 15 เดินเท้าเข้าไปยังวัดนายโรง.














ที่มา:https://www.winnews.tv/news/23797








วัดถ้ำวังผาพญานาคราช ตั้งอยู่ที่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี


ชาวบ้านในพื้นที่หลายคนเชื่อกันว่า วัดแห่งนี้แต่ก่อนเป็นถ้ำของพญานาคราช ซึ่งถูกหินถล่มทับปากถ้ำ มานานหลายสิบปี และด้วยความที่มีพื้นที่โดยรอบนั้นติดกับแอ่งน้ำใหญ่ที่มองดูคล้ายที่อยู่ของพญานาค






ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันร่วมสร้างรูปปั้นพญานาค 7 เศียร ไว้บริเวณหน้าวัด ให้สักการะกราบไหว้บูชา โดยเชื่อกันว่าใครที่ได้มาบูชาพญานาค 7 เศียรนั้น จะได้โชคได้ลาภกลับไป ทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์รวมแห่งความศรทัธาของชาวบ้านไปโดยปริยาย


นอกจากความศักดิ์สิทธิ์ที่นี่แล้วยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าค้นหาอีกด้วย มีความสงบร่มรื่น พื้นที่โดยรอบ เป็นป่าไม้และลำธารที่มีความสวยงาม และสมบูรณ์ มีทั้งธรรมชาติที่สวยงามและประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องห้ามพลาดหากมาเมืองอุบล














ที่มา:http://www.xn--22cl8ctcwc9g.com/









อีกหนึ่งเรื่องที่เรียกได้ว่าเหลือเชื่อจริงๆและไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนเพราะการตั้งครรภ์ตอนที่อายุมากนั้นย่อมไม่เป็นผลดีต่อร่างกายแม่และเด็กอย่างแน่นอน แต่ล่าสุดมีรายงานว่ายายเม็กซิกัน วัย 70 ปี ออกมาอ้างว่าตั้งครรภ์ 6 เดือน แถมนัดหมอผ่าคลอดเรียบร้อยและด้วยความที่ต้องการให้มั่นใจแบบ 100 เปอร์เซ็นต์จึงไปตรวจอัลตราซาวด์ที่คลินิกเอกชนและโรงพยาบาลรัฐที่อื่นๆ อีก 9 แห่ง รวมเป็น 10 แห่ง ซึ่งผลที่ออกมาก็ทำให้คุณหมอตกใจเพราะเธอท้องจริงๆ แถมยังเผยวันนัดผ่าคลอดในวันที่ 18 กรกฎาคมที่จะถึงนี้อีกด้วย แถมถ้าเธอคลอดลูกสาวออกมาสำเร็จจริงๆ เธอก็จะกลายเป็นคุณแม่มือใหม่ที่อายุมากที่สุดในโลก แทนที่มาเรียชาวสเปนทำลายสถิติเดิมทันที















ที่มา:http://dai.upyim.co/21973/























ที่มา:http://www.naewna.com/sport/339168
























ที่มา:https://www.thairath.co.th/content/1287974

21/5/61










เปิดภาพล่าสุด เจ็ท ลี ในวัย 56 ปี ที่ทำให้แฟน ๆ ต้องตกใจไปตามกัน ดูเปลี่ยนไปราวคนละคน คล้ายชายชรา เนื่องจากอาการเจ็บป่วย

วันที่ 19 พฤษภาคม 2561 เว็บไซต์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานว่า เหล่าแฟนหนังของหนึ่งในซุปตาร์คิวบู้ระดับตำนานอย่าง เจ็ท ลี หรือ หลี่ เหลียนเจี๋ย มีอันต้องตกใจไปตาม ๆ กัน เมื่อได้เห็นภาพถ่ายล่าสุดของนักแสดงคนดังผู้นี้ ที่ต้องเรียกว่าดูแตกต่างจากอดีตอย่างมาก จากคนหนุ่มที่กระฉับกระเฉง ตอนนี้ เจ็ท ลี ในวัย 56 ปี กลับดูอ่อนแรงและแก่ลงไปมาก เนื่องจากอาการเจ็บป่วยของเขา






โดยภาพดังกล่าวมีแฟน ๆ ถ่ายไว้ขณะที่ เจ็ท ลี เดินทางไปยังวัดในทิเบต ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อ 5 ปีก่อน เจ็ท ลี ก็ได้ออกมายอมรับว่าเขากำลังป่วยเป็นโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ (hyperthyroid) หรือภาวะที่ที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมามากกว่าปกติ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบเผาผลาญในร่างกาย และอัตราการเต้นของหัวใจ ที่ผ่านมาเขาก็พยายามรักษาด้วยการใช้ยา และหมั่นตรวจติดตามอาการอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้น อาการของโรคก็ยังกลับมา

นอกจากโรคไฮเปอร์ไทรอยด์แล้ว เจ็ท ลี ยังมีปัญหากับกระดูกสันหลัง และนั่นทำให้เขาต้องหายหน้าหายตาไปจากวงการภาพยนตร์ เนื่องจากเขาไม่สามารถทำกิจกรรมที่สร้างภาระให้แก่ร่างกายได้อีก ครั้งหนึ่งในปี 2556 หมอยังเคยเตือนเขาด้วยว่า เขาอาจจะต้องลงเอยด้วยการนั่งวีลแชร์ หากยังฝืนใช้ร่างกายถ่ายหนังบู๊ต่อไป
ภาพจาก Featureflash Photo Agency / Shutterstock.com

 สำหรับสุขภาพที่ย่ำแย่ลงของเขา ส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้ร่างกายอย่างหักโหม ในการถ่ายทำหนังบู๊มาอย่างยาวนานหลายสิบปี และได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุมาหลายครั้ง การบาดเจ็บที่ขาและกระดูกสันหลังยังทำให้เขาไม่สามารถยืนตัวตรงได้นานนัก
ภาพจาก Denis Makarenko / Shutterstock.com

ขณะที่ชาวเน็ตต่างแสดงความเห็นว่า เจ็ท ลี ซึ่งเคยดูแข็งแรงมากนั้น ในตอนนี้กลับดูเหมือนชายชราคนหนึ่ง เขาเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้ อย่างไรก็ตามแฟน ๆ ที่รักเขาต่างก็ยังพยายามส่งกำลังใจและคำภาวนาไปถึงซุปตาร์ผู้นี้ ให้สุขภาพของเขาดีขึ้นด้วย












ที่มา:https://women.kapook.com/view193532.html









จากกรณีที่ชาวบ้าน หมู่ 10 บ้านน้ำบุ่น ตำบลน้ำแพร่ อำเภอหางดง และชาวบ้านหมู่ที่ 6 บ้านจำปาลาว ตำบลสันกลาง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ บุกเข้าไปภายในศาลาวัดเพื่อขับไล่ พระครูวิรัช เจ้าอาวาสวัดจำปาลาว ซึ่งกำลังตั้งวงดื่มสุราและเบียร์กับพระสังกัดวัดอื่น 2 รูป และผู้หญิงอีก 2 คน โดยก่อนหน้านี้มีชาวบ้านมาพบเห็นจนเกิดความไม่พอใจ จึงได้เรียกชาวบ้านในชุมชนมารวมตัวกันที่วัดถึง 200 คน เพื่อขับไล่ ทำให้พระ 2 รูป และหญิงสาวอีก 2 คน ต้องขับรถหลบหนีออกจากวัด ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น






>> ชาวบ้านขับไล่ เจ้าอาวาสวัด ตั้งวงก๊งเหล้ากับสาว ต่อหน้าพระประธานกลางวิหาร

ล่าสุด วันที่ 20 พฤษภาคม 2561 พระครูอาทร วิสุทธิคุณ เจ้าคณะอำเภอหางดง ได้เดินทางมาที่วิหาร วัดจำปาลาว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่เจ้าอาวาสวัดจำปาลาว เจ้าคณะตำบลน้ำแพร่ อำเภอหางดง ตั้งวงดื่มสุรากับพระรูปอื่นและมีสีกาอยู่ภายในวัด จากการสอบสวนพระครูวิรัช เบื้องต้นยอมรับว่าดื่มสุราจริง ชาวบ้านจึงมีมติเห็นควรให้พระครูวิรัชออกไปจากวัด เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมเสื่อมเสียขัดต่อพระวินัย ทั้งการตั้งวงดื่มสุราและนำหญิงสาวมาร่วมวงดื่มด้วย

หลังการประชุมของคณะสงฆ์มีมติเห็นว่า พระครูวิรัช กระทำความผิดเป็น “ปาจิตตี” ไม่ถึงขั้นต้องทำการสึก จึงมีการว่ากล่าวตักเตือน ขณะที่พระครูวิรัช ได้ยินยอมจะย้ายไปจำวัดอยู่ที่วัดอื่นตามคำขอของชาวบ้าน

ซึ่งหลังจากการประชุมคณะสงฆ์อำเภอและกรรมการวัดจะตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของทางวัดอีกครั้ง จากนั้นจะมอบให้ทางคณะกรรมการวัดดำเนินการต่อ พร้อมเสนอเรื่องให้คณะกรรมการจังหวัดพิจารณาความผิดตามวินัยสงฆ์ และมอบหมายให้พระรูปอื่นมารักษาการณ์เจ้าอาวาสต่อไป













ที่มา:https://www.sanook.com/news/6499234/

20/5/61









บทความนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะตอนนั้นผมกำลังดื่มด่ำกับหนังสือแสนวิเศษเรื่อง "อาหารรสวิเศษของคนโบราณ" งานเขียนของประยูร อุลุชาฎะ หรือ น. ณ ปากน้ำ

ครับ น. ณ ปากน้ำ คนเดียวกับที่เป็นนักโบราณคดีประวัติศาสตร์ศิลป์ ท่านยังเป็นโหร และเป็นกูร์เมต์
(นักชิมชั้นเลิศ) เรียกว่าเป็นพหูสูตครบเครื่อง เหมือนกับ โรซันจิน (Rosanjin) ช่างศิลป์ใหญ่และนักชิมชื่อดังชาวญี่ปุ่น

หนังสืออาหารรสวิเศษของคนโบราณเล่มนี้น่าจะขึ้นชั้นหนังสือดี 100 เล่มที่ควรอ่านก็ยังได้ ว่าด้วยการทำและกินอย่างไทยแบบบ้านๆ อย่างถึงแก่น ผมอ่านแล้วแทบจะหมดอยากอาหารไทยทุกวันนี้ไปเลย เพราะดูจะทำลายรากเหง้าจนพินาศย่อยยับ แต่งเสริมจนพิสดารเอาใจสายตา มากกว่าลิ้น

ครอบครับชาวสยามกำลังปรุงอาหาร ฝ่ายผัวกำลังใช้จวักชิมของผัดในกระทะ ฝ่ายเมียกำลังตำครก ส่วนลูกชายกำลังหุงข้าว
ภาพถ่ายประมาณปี 1900 ที่มาของภาพ

หนังสือเล่มนี้มีเกร็ดประวัติอาหารไทยและวิธีปรุงมากมาย เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจและน่าจะตอบคำถามคาใจของหลายคนได้ คือ...






ผัดกะเพราถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อไหร่?

มติของอาจารย์ประยูรท่านว่า ผัดกะเพรา (ท่านเรียกกะเพราผัดพริก) นิยมกันเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน
แต่ก่อนนี้ไม่มี พิจารณาจากการที่หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกปี 2531 ก็ประมาณว่า ผัดกะเพราเริ่มฮิต
ราวปี 2490 - 2500 ก่อนหน้านั้นคนไทยใส่มันในผัดเผ็ด หรือแกงป่า ต่อมาคนจีนคิดดัดแปลงนำเนื้อมาผัดกับเต้าเจี้ยวดำผัดกับกระเทียม ใส่พริก ใส่ใบกะเพรา นำมาโปะข้าวพร้อมไข่ดาวบนข้าวร้อนๆ ตอนหลังเต้าเจี้ยวหายไปจากตำรับนี้

อาหารจานด่วนอีกอย่างที่เดี๋ยวนี้ผมหาไม่เจอคือ ผัดโหระพา ทำเหมือนผัดกะเพราทุกอย่าง แต่อาจารย์ประยูรท่านว่า เดิมเป็นผัดของไทย คนจีนมาใส่เต้าเจี้ยวภายหลัง และท่านไม่แนะให้กินกับไข่ดาว

อันนี้เป็นเวอร์ชั่นของศิลปินแห่งชาติ

ผมเคยอ่านงานเขียนของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ จำไม่ได้ว่าเรื่องไหน แต่บรรยายไว้ว่า ผัดกะเพราเกิดขึ้นเพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง (ไม่แน่ใจว่าเมามาหรือเปล่า) แวะไปร้านอาหารแถวบางแสนกลางดึก รบเร้าเจ้าของร้านให้ทำอะไรมารองท้องสักหน่อย เจ้าของร้านบอกว่าไม่มีอะไรจะปรุงให้อีก ฝ่ายนั้นก็ไม่เลิกราสักที

พ่อครัวยัวะจัด เดินเข้าครัวหยิบเนื้ออะไรได้โยนลงกระทะผัดกับใบกะเพราแบบขอไปที กะว่ากินแล้วต้องมีวางมวยกันแน่ แต่ปรากฏว่าลูกค้าติดใจอย่างแรง และนั่นคือที่มาของผัดกะเพราะที่เรารู้จักกัน
ตุลสีเทวี ชาวฮินดูได้แปลงต้นกะเพราให้เป็นบุคลาธิษฐานในรูปของเทวดาผู้หญิง ว่ากันว่าตุลสีเทวีมีความศรัทธา
ในองค์พระวิษณุยิ่งนัก และได้มอบใบกะเพราะเป็นเครื่องบูชาพระเป็นเจ้า ที่มาของภาพ






ผมยังเจอเวอร์ชั่นของกิเลน ประลองเชิง ท่านว่า ต้นตำรับอยู่ที่ร้านชัยวัฒน์ กลางตลาดแม่กลอง
ประมาณปี 2500 นับว่าช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เลยไม่รู้ว่าใครเป็นต้นคิดคนแรก แต่น่าจะเป็นการถ่ายทอดวิชาแบบไฟลามทุ่งจนหาต้นตอไม่จอ

ลองๆ ค้นดูตำราอาหารเก่าๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีสูตรกะเพราแบบนี้ อย่างในตำรับสายเยาวภาอันลือลั่นของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิท ก็ไม่มีอะไรที่ปรุงด้วยกะเพราเลย

ค้นตำราบางเล่มของ ม.ล. เติบ ชุมสาย ผมก็ยังไม่เจอ (ม.ล. เติบ ชุมสาย เป็นผู้เชี่ยวชาญการทำอาหารไทย มีชื่อเสียงจากการจัดรายการโทรทัศน์ "รายการแม่บ้าน" ถ่ายทอดทาง ช่อง 4 บางขุนพรหม และ ช่อง 9 ติดต่อกันนานถึง 20 ปี และเขียนบทความ ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการปรุงอาหารไทย ในหนังสือ
"คู่มือแม่บ้าน" - ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)

อย่างไรก็ตาม เราพบว่ากะเพรามักเป็นผักใส่เคล้ากับแกงป่าหรือแกงเผ็ด จำพวกแกงกับปลาซึ่งคาวมาก หรือเมือกมาก เช่น ปลาดุกหรือปลาไหล (อย่างในสูตรของแม่ครัวหัวป่าก์) และกับข้าวอื่นๆ ที่ต้องการความเผ็ดร้อน ซึ่งทุกวันนี้บางสูตรก็ยังใช้กันอยู่

ตามสำรับอาหารของผู้ดีไม่ค่อยมีของผัดของเผ็ดร้อน ชะรอยว่า คงไม่ใช่รสนิยมผู้ดี เพราะของเผ็ดร้อนแบบผัดกะเพรานั้น ควรเป็นอาหารสำหรับคนที่ต้องการจะรับประทานข้าวให้มากๆ เพื่อทำงานใช้แรง หรือหิวโหยเป็นกำลัง หรืออย่างที่สุดคือ เป็นกับแกล้มสำหรับพวกคอสุรา

จะเป็นได้หรือไม่ที่การแกงโดยมีกะเพราเป็นเครื่องปรุง จะค่อยวิวัฒนาการมาเป็นการผัดคั่วน้ำขลุกขลิก
จนกระทั่งกลายมาเป็นผัดแห้งที่เนื้อสัตว์ประกอบไม่ใช่ปลาคาวๆ แต่เป็นเนื้อวัวและกลายเป็นเนื้อหมูเนื้อไก่ในที่สุด?

กระทั่งปัจจุบันนี้ กะเพรากลายพันธุ์จนหลากหลาย ซึ่งจะว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันก็น่าจะกลายมาจากสำรับอย่างอื่นเช่นกัน เพียงแต่การกลายพันธุ์บางสูตรนั้น น่าทุเรศทุกรังจนไม่ชวนรับประทาน และควรจะสูญพันธุ์ไป ให้สิ้นเวรสิ้นกรรมวัฒนธรรมอาหารไทยอันล้ำเลิศ

หญิงชาวสยามชี้ชวนให้สามี (?) เปิบข้าวในสำรับ มีข้าทาสบริวารคอยพัดวีรับใช้ เป็นภาพถ่ายเมื่อประมาณปี 1900 จะเห็นว่า
บนโต๊ะมีขันน้ำวางไว้ให้ชุบมือเวลาเปิบข้าว ที่มาของภาพ

ผัดกะเพราเป็นอาหารประจำชาติไทยไปแล้วในวันนี้ แม้แต่คนไทยในอินเดียก็ยังขาดมันไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่า นอกจากคนอินเดียจะไม่กินแล้วยังบูชากะเพราเป็นไม้มงคล ไม้แห่งพระแม่ลักษมี เรียกกันว่า "ตุลสี" บูชากันจริงจัง ห้ามเด็ด ห้ามกิน แต่แล้วคนไทยในอินเดียมักไปก่อเรื่องเด็ดกะเพราศักดิ์สิทธิ์ของคนท้องถิ่นมาผัดกิน จนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตอยู่บ่อยๆ ถ้าเจอเจ้าของที่เข้าใจนิสัยคนไทยก็ดีไป เขาอาจจะยอมให้เด็ดไปกินได้ แต่อย่าประเจิดประเจ้อนัก

จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ไปเยือนอาคารชุดของมิตรสหายนักร่ำสุรา แต่ละคนล้วนเป็นพ่อครัวมือฉมัง พอได้ที่มักวาดลวดลายการปรุงอาหารกัน เผอิญในตึกนั้นมีชาวฮินดูมาอยู่ด้วย เขาปลูกกะเพราไว้บูชาให้น้ำให้ท่างามนัก พวกเพื่อนผมเห็นมันงามดีก็ถือวิสาสะ อัญเชิญมาผัดกินกัน เจ้าของชาวฮินดูพอทราบเรื่องก็ขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย เพราะไม่ใช่ครั้งสองครั้งที่ใบตุลสีอันศักดิ์สิทธิ์หายไปจากต้น

แต่พวกนั้นหารู้เรื่องไม่ว่า เพื่อนบ้านเขาบูชามันต่างหาก ไม่ปลูกไว้กินไว้ใช้

หมายเหตุ - เรื่องต้นตอผัดกะเพราไม่ถือว่าเป็นการฟันธงที่มาที่ไปนะครับ แค่นำเสนอ  ข้อมูลเท่าที่ทราบ อย่าเพิ่งด่วนเชื่อผมหรือเชื่อใคร









ที่มา:https://board.postjung.com/1080735.html

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget