3/6/61









ตอน 2 พระพุทธศาสนาในยูกันดา...เพาะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะ
ภารกิจธรรมครั้งแรกในแอฟริกา

    กว่าหนึ่งทศวรรษมาแล้วเมื่ออยู่ที่ประเทศอินเดีย อาตมาเคยวางแผนกับเพื่อนทั้งที่เป็นแอฟริกันและไม่ใช่แอฟริกันว่าจะร่วมกันก่อตั้ง “สมาคมมิตรภาพอัฟโร – ทิเบต (Afro – Tibetan Friendship Society) เพื่อ เผยแผ่ธรรมะในยูกันดาและประเทศอื่นๆในทวีปแอฟริกา โชคร้ายที่แอฟริกายังคงเป็นดินแดนแห้งแล้ง สวนไร่นายังไม่ได้รับการไถพรวน จังหวะเวลายังไม่สุกงอมเต็มที่

    เมื่ออยู่ที่ทีเอ็มซีในซานโฮเซ่ แคลิฟอร์เนีย (San Jose, California) ท่านซายาดอว์ ยู สิละนันทะ (Sayadaw U. Silananda) ให้คำแนะนำว่าอาตมาควรจะกลับไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทวีปแอฟริกาโดยเริ่มจากครอบครัวของอาตมา ซึ่งเมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้านั้นท่านซายาดอว์ ยู บีลิน(Sayadaw U Beelin) ก็เคยเอ่ยปากถามอาตมาถึงความเป็นไปได้ในการกลับไปเผยแผ่ธรรมะที่แอฟริกาโดยเริ่มจากครอบครัวของอาตมาเช่นเดียวกัน

    อาตมาจึงไปขอความเห็นจากท่านภันเต กุนารัตนะ(Bhante Gunaratana) ว่าสิ่งใดจะดีกว่ากันระหว่างการไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานในถ้ำที่ประเทศอินเดีย (สถานที่ซึ่งเป็นยอดปรารถนาของพระสงฆ์สำหรับการฝึกจิต) กับการกลับไปเผยแผ่ธรรมะในแอฟริกา ท่านให้ความเห็นอย่างหนักแน่นว่าอาตมาควรจะไปเผยแผ่ธรรมะใน แอฟริกามากกว่า และควรกระทำโดยเร็วมากกว่าที่จะปล่อยให้เนิ่นนานออกไป ขณะที่เพื่อนบางคนในอเมริกา ไม่เห็นด้วยกับการกลับไปแอฟริกา เพราะเป็นห่วงว่าอาตมาจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนท้องถิ่นทั้งในเรื่องของอาหาร ที่อยู่อาศัย การตระเตรียมสิ่งจำเป็นอื่นๆ ที่อุบาสกอุบาสิกาควรจัดหาให้พระภิกษุสงฆ์ อาตมาพร้อมแล้วหรือที่จะกลับไปพบปะเพื่อนชาวแอฟริกันผู้ซึ่งเกือบทั้งหมดไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาก่อนเลย อาตมาเอามือมากำหัวใจไว้ ตัดสินใจที่จะนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปสู่ทวีปแอฟริกา






จาริกแสวงบุญในดินแดนพุทธอันศักดิ์สิทธิ์

    อาตมาวางแผนเบื้องต้นว่าจะใช้เวลาประมาณหกเดือนในเอเชียและแอฟริกา เดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 ท่านคิปปะพันโน (Khippapanno) ตอบรับให้อาตมาเข้าร่วมกลุ่มเดินทางจาริกแสวงบุญไปยังอินเดียและเนปาล แม้จะเคยอยู่ที่อินเดียเป็นเวลาหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่อาตมาได้ไปถึงสถานที่อันเป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ยิ่งทำให้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาของอาตมาเข้มแข็งยิ่งขึ้น จากนั้นอาตมาเดินทางต่อไปยังพม่า ศรีลังกา ก่อนจะไปยูกันดาเพื่อพบกับโยมแม่ของอาตมา พร้อมกับความหวังอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดพระพุทธศาสนาที่นั่น

    ที่ศรีลังกา ธรรมะรุวัณ (Dhammaruwan) ชายผู้ปราดเปรื่องชาวพุทธที่มีชื่อเสียงจากการทำสมถะ (การฝึกสมาธิเพื่อความสงบ) และวิปัสสนา (การฝึกสมาธิให้เกิดสติปัญญารู้เท่าทันความเป็นจริง) เป็นเวลากว่ายี่สิบปีตั้งแต่อายุเก้าขวบ ให้อาตมาเลือกระหว่างการนำพระพุทธรูปองค์เล็กหรือองค์ใหญ่กลับไปยังยูกันดา เนื่องจากฉายาทางพระของอาตมาคือ พุทธรักขิตา(Buddharakkhita) ในภาษาบาลีมีความหมายว่า “ผู้ปกปักษ์รักษาพระพุทธเจ้า” อาตมาจึงเลือกพระพุทธรูปองค์ใหญ่พร้อมกับปณิธานที่จะดูแลรักษาท่านโดยหารู้ไม่ว่าการดูแลรักษาพระพุทธรูปองค์ใหญ่นี้จะนำความยากลำบากมาให้อาตมาตลอดการเดินทางไปยังแอฟริกา

พระพุทธรักขิตารับมอบพระพุทธรูปเพื่อนำไปยูกันดา

“โลกนี้มืดมน ไม่กี่คนที่เห็นแจ้ง ดั่งนกติดตาข่ายกับดัก เพียงไม่กี่ตัวที่หนีรอดไปได้”
ธรรมบท : 174






เดินทางไปเคนยา (เดือนมีนาคม ค.ศ. 2005) พร้อมกับพระพุทธรูป

    หลังตอบคำถามเกี่ยวกับพระพุทธรูปที่เมืองมุมไบ (บอมเบย์) ในประเทศอินเดียเป็นร้อยคำถามเห็น จะได้ในระหว่างรอเครื่องบินเกือบๆ ห้าชั่วโมง และอีกครั้งหนึ่งที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศเคนยา ทำให้อาตมารู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง ที่แย่กว่านั้นคืออาตมารู้สึกผิดที่ทำพระพุทธรูปที่อาตมาให้คำมั่นว่าจะรักษาแตกตรงส่วนที่ติดกับฐานระหว่างการขนย้าย อาตมาเก็บพระพุทธรูปไว้กับตัวเพื่อจะได้ดูแลสะดวก ห่อท่านไว้ด้วยจีวร แต่ก็ยังดีไม่พอ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองถามคำถามมากมายเกี่ยวกับพระพุทธรูป

    “ในนั้นน่ะ เด็กทารกใช่ไหม? ตั๋วเครื่องบินของเขาอยู่ไหนล่ะ?”

    “ไม่ใช่!” อาตมายืนกราน “นี่พระพุทธรูป”

    เจ้าหน้าที่อีกคนถาม “หมายถึงมุนกู (Mungu - พระเจ้า) งั้นหรือ?”

    “ไม่ใช่! ในพุทธศาสนา พระพุทธรูปไม่ใช่พระเจ้า”

    “ท่านห่อผ้าไว้ทำไม? ป้องกันไม่ให้ใครเห็น?”

    “เปล่า ที่ห่อไว้เพราะกลัวพระพุทธรูปจะแตกหัก แล้วอาตมาก็ไม่อยากให้พระพุทธรูปเป็นรอย” อาตมาอธิบาย

    เมื่ออาตมาวางพระพุทธรูปลงบนเคาน์เตอร์เพื่อจะยื่นเอกสารหลักฐานผ่านเข้าเมือง เจ้าพนักงานถาม “นี่อะไร? มันทำให้คนเขากลัวกัน กรุณาเอาลงด้วย!”

    “พระพุทธรูป” อาตมาตอบ รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก อาตมาไม่สามารถแบกพระพุทธรูปและยื่นเอกสารได้ในเวลาเดียวกัน พอทิ้งพระพุทธรูปไว้เจ้าหน้าที่ก็ขู่ว่าจะเอาไปทำลาย พอวางบนเคาน์เตอร์ผู้คนก็ไม่กล้าเข้าใกล้

    เจ้าหน้าที่พูดต่อ “มันดูเหมือนมนต์ดำแอฟริกา เหมือนเครื่องรางของขลังแปลกๆ”

    “ท่านแบกพระพุทธรูปไปมาทำไม? เปิดออกเดี๋ยวนี้เลย! ผมขอดูหน่อย? มีอะไรอยู่ข้างในหรือเปล่า? อาจจะยาเสพติด?”

    “ไม่ใช่นะ! แค่พระพุทธรูปจริงๆ” อาตมาตอบแล้วแกะจีวรออก

    “อย่าเอาไปขายที่ไนโรบี (Nairobi) แล้วกัน”

    “อาตมาไม่ได้เอามาขาย” อาตมาตอบอย่างสุภาพ

    สุดท้ายเขาจึงบอกว่า “พระพุทธรูปดูสวยดีนี่!” อาตมาขอบคุณแล้วเดินออกมา

    อาตมาใช้เวลาสองสามวันในเคนยาเพื่อพักผ่อนปรับตัวก่อนจะเดินทางต่อไปยังยูกันดา อาตมาตัดสินใจห่อพระพุทธรูปอย่างดีด้วยจีวร ทับอีกชั้นด้วยหนังสือพิมพ์ และใส่ท่านไว้ในกระเป๋าระหว่างเดินทางไปยูกันดา

ยูกันดาผู้น่ารัก!

    ในที่สุดอาตมาก็มาถึงสนามบินนานาชาติเอ็นเทเบ้ (Entebe) ประเทศยูกันดา ในวันแดดจ้า ท้องฟ้าสดใส รู้สึกสัมผัสได้ถึงสายลมสดชื่นเบาๆ จากทะเลสาบวิคตอเรีย อาตมาไม่แน่ใจว่าทุกคนจะคิดยังไงเมื่อเห็นอาตมาในจีวรเช่นนี้ อาตมาดูเหมือนเป็นคนต่างชาติในบ้านเกิดของตัวเอง แถวที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองยาวเหยียด เป็นอย่าง ที่คิด ผู้คนมองอาตมาอย่างสนอกสนใจปนกังวล พนักงานตรวจหนังสือเดินทางอ่านชื่ออาตมาอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นว่าอาตมามาจากเผ่าบูกันดา (Buganda) คนชนบทยูกันดาคนหนึ่งห่มจีวร เพิ่งเดินทางเข้าประเทศมาจากสหรัฐอเมริกา

พระพุทธรักขิตากับชนเผ่ามาไซ

    เขาถามอาตมาอย่างตกใจ “ทำไมต้องปลอมตัวเป็นคนเผ่ามาไซ (Maasai) ในเมื่อจริงๆ ท่านเป็นบูกันดา?”

    อาตมาตอบไปว่าอาตมาเป็นพระในพุทธศาสนา เขาปล่อยให้อาตมาผ่านเข้าเมืองมาอย่างไม่เต็มใจและดูเหมือนจะไม่เชื่อในคำตอบ

“ญาติสนิทมิตรสหายย่อมต้อนรับการกลับมาของญาติที่เดินทางจากไกลห่างหายไปนาน เฉกเช่นเดียวกัน กุศลกรรมจะต้อนรับผู้ประกอบกรรมดีจากโลกนี้ไปสู่อีกโลกหนึ่ง ดั่งที่ญาติมิตรต้อนรับญาติที่เดินทางกลับมา”
 ธรรมบท : 219-220
ต้อนรับลูกชายชาวพุทธที่หายไปนาน

    โยมน้องสาวมารับอาตมาที่สนามบิน เธอดีใจมากเมื่อพบอาตมา เรียกอาตมาด้วยความเคารพว่า“หลวงพี่” เรากลับบ้านไปหาโยมแม่ ท่านดีใจอย่างที่สุดเมื่อเห็นอาตมา มันเหลือเชื่อหลังผ่านไปเจ็ดปีนับตั้งแต่เจอโยมแม่ครั้งสุดท้าย ทั้งครอบครัวประหลาดใจที่เห็นอาตมาในจีวรสงฆ์ โยมแม่แทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ท่านถามแล้วถามอีก “นี่ สตีเว่น ลูกแม่จริงๆใช่ไหม ?”

“ใช่ โยมแม่ นี่อาตมาเอง”

    ท่านเดินวนไปรอบๆ ห้องนั่งเล่น มองมาที่อาตมาเป็นระยะๆ น้ำตาไหลอาบหน้าท่าน ท่านเดินวนอีกรอบหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ขอบคุณพระเจ้าที่ลูกกลับมา”

    อาตมารู้แก่ใจว่าไม่ใช่พระเจ้าหรอกที่นำอาตมากลับมา แต่อาตมาไม่อยากขัดคอทำให้โยมแม่เสียความรู้สึก ญาติๆ มองจีวรและสังเกตท่าทีของอาตมาไปด้วย อาตมาค่อยๆ ตระหนักว่าทั้งจีวร ธรรมเนียมปฏิบัติในพระพุทธศาสนา และพระพุทธรูปที่อาตมานำมาด้วย อาตมาคงไม่สามารถจะจำวัดที่บ้านได้

“เหมือนน้ำในแม่น้ำทั่วไป – เช่นแม่น้ำคงคา (The Ganges) แม่น้ำยะมุนา (The Yamuna) เมื่อไหลลงสู่มหาสมุทร จะไม่ถูกเรียกว่าแม่น้ำอีกต่อไป กลับถูกเรียกว่ามหาสมุทร ในทำนองเดียวกัน เมื่อบุคคลจากวรรณะทั้งสี่ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ สูทร เดินทางจากบ้านเข้ามาสู่สมณะเพศ โดยหลักและพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้ พวกเขาจะต้องละชื่อและนามสกุลเดิมทิ้งเสีย และจะถูกจัดไว้ว่าเป็นบุตรแห่งศากยะ”

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คนบ้า?

    ฝนตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาในวันที่อาตมามาถึงยูกันดา เป็นการยากที่จะหาที่พักที่อื่น ที่สำคัญ อาตมาอยากพักอยู่ใกล้ๆ กับโยมแม่และครอบครัว อาตมาจึงตัดสินใจเข้าพักที่โรงแรมใกล้ๆ แห่งหนึ่ง ผู้คนยังคงประหลาดใจและเป็นกังวลเมื่อเห็นอาตมา บางคนเข้าใจว่าจีวรของอาตมาเป็นชุดประจำเผ่ามาไซ

    เช้าวันหนึ่งขณะออกจากห้องพัก อาตมาเดินผ่านสีกาสองคนระหว่างเดินจงกรมอย่างช้าๆไปมาในระยะยี่สิบก้าว ด้วยความที่จดจ่ออยู่กับระยะสองสามก้าวเท่านั้น ให้บังเอิญได้ยินสีกาสองคนถกเถียงกัน

คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “นี่ท่าจะเป็นคนวิกลจริต”

อีกคนกล่าวว่า “คนวิกลจริตจะมีปัญญามาพักในโรงแรมชั้นดีแบบนี้ได้ไงกัน ไม่ใช่แน่ๆ”

    ขณะกลับไปโรงแรม เด็กสองคนมองอาตมาอย่างหวาดๆ วิ่งหนีพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ผู้ชายคนนี้จะจับเรากิน!” ทำให้อาตมาหวนนึกถึงตอนเป็นเด็ก มีคนเล่านิทานเผ่าบูกันดาให้ฟังเกี่ยวกับสถานที่และผู้คนแปลกประหลาด เมื่อมีคนจรจัดคนหนึ่งที่อาตมาต้องพบอยู่บ่อยๆ อาตมากลัวมาก คิดว่าเขาจะจับอาตมากิน

“ในบรรดายาทั้งหมดในโลก มากมาย หลายหลาก ไม่มียาตัวใดเหมือนยาแห่งธรรมะ สงฆ์ทั้งหลาย จงฉันเสียเถิด เมื่อฉันแล้วท่านจะอยู่เหนือกาลเวลาและความตาย ท่านจะอิ่มเอิบและเป็นสุข เป็นอิสระจากสิ่งกำหนัดทั้งหลายทั้งปวง”
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หมอผีหรือคนทรงเจ้า?

    บางคนคิดว่าอาตมาเป็นหมอเมื่อเห็นกระเป๋าใส่พระพุทธรูปของอาตมา “ท่านขายอะไรน่ะ?” พวกเขา จะถาม คนยูกันดาอยากได้ยาอยู่เสมอแม้แต่คนที่ดูแข็งแรงดี การหอบหิ้วกระเป๋าพระพุทธรูปไปมาทำให้คนท้องถิ่นบางคนคิดว่าอาตมาเป็นหมอผี อาตมาทราบหลังจากนั้นว่าพวกเผ่ามาไซมักจะนำยาและสมุนไพรของเผ่ามาขายที่กัมปาลา

    อาตมาเลิกคิดจะเป็นนักธุรกิจเพื่อมาบวชเป็นพระ แต่ผู้คนที่นี่ยังคงคิดว่าอาตมาเป็นนักธุรกิจอยู่นั่นเอง ความจริงมีข้อห้ามไม่ให้พระสงฆ์ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจใดๆ ห้ามแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือรักษาผู้คนอย่างเช่นหมอ ธรรมะโอสถนั้นไม่ได้มีไว้ขาย ที่อาตมามีอยู่กับตัวคือเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะโอสถ อาตมาหวังว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวยาแห่งธรรมะที่แท้บ้าง อาตมาได้รับการบอกกล่าวในเวลาต่อมาว่ายาของเผ่ามาไซนั้นไม่เพียงมีไว้สำหรับความเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ยังช่วยให้มีสุขภาพดี ทำให้อาตมาคิดถึงพระธรรมซึ่งเป็นคำสอนสากล มีไว้สำหรับความอยู่ดีมีสุข

“บุคคลผู้ประกอบกรรมชั่ว ย่อมมัวหมองเพราะความชั่วนั้น บุคคลผู้ประกอบกรรมดี ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยกรรมดีที่ได้กระทำ ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ขึ้นอยู่กับตนเอง ไม่มีใครสามารถทำความบริสุทธิ์ให้แก่กันได้”
ธรรมบท : 165
จะไปเล่นลอว์นเทนนิสหรือคุ้มกันพระราชา? ...พระแขนเดียว … การไถ่บาป

    เมื่อเห็นตาลปัตรขนาดใหญ่ที่อาตมานำกลับมาจากพม่า บางคนคิดว่ามันคือไม้เทนนิสแบบใหม่ “เอ็นเซโร่”(ensero) พวกเขาถามว่าจะไปเล่นลอว์นเทนนิสที่ไหนหรือ บางคนก็คิดว่าเป็นโล่ของอาตมา บ้างก็คิดว่าอาตมาเป็นองครักษ์ของพระราชา หรือผู้แทนคนสำคัญแห่งองค์พระสันตปาปาจากนครวาติกันในโรม (อาจเป็นเพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงพระราชพิธีศพของพระสันตปาปาจอห์น พอล(John Paul) จึงทำให้ผู้คนเข้าใจผิด)

    จีวรสีส้มอมน้ำตาลยิ่งก่อให้เกิดความสับสนมากขึ้นไปอีก อาตมาเดินทางไปยังหมู่บ้านในบ่ายวันหนึ่งห่มจีวรแบบคลุมทั้งตัวซึ่งมือข้างหนึ่งจะอยู่ในจีวร ขณะที่อีกข้างไว้ใช้หยิบจับอยู่ทางด้านนอก เมื่อเด็กๆ เห็นอาตมา พวกเขาคุยกันว่า “ดูนั่นสิ คนแขนด้วน!” เมื่อไปที่ร้านขายยา อาตมายืนพิงเคาน์เตอร์แขนข้างหนึ่งอยู่ในจีวร เภสัชกรคิดว่าอาตมาแขนหักเข้าเฝือกอยู่ อาตมาต้องบอกกับเภสัชกรว่าแขนอาตมาไม่ได้เป็นอะไร

    ดังนั้น ถ้าท่านเป็นพระสงฆ์แล้วเดินทางไปแอฟริกา ทำใจล่วงหน้าได้เลยว่าท่านจะเป็นเหตุแห่งความปั่นป่วนของผู้คน

    ยังมีที่แย่กว่านั้นอีก วันหนึ่งมหาวิทยาลัยมาเคเรียร์ (Makerere) ในกัมปาลาเชิญอาตมาไปบรรยายให้กับบุคคลทั่วไปในหัวข้อ “ธรรมชาติและความสำคัญของพระพุทธศาสนาในแอฟริกา” อาตมาบรรยายว่า สาเหตุแห่งความทุกข์ของมนุษย์ก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ทางออกจากความทุกข์คือการนำออกเสียซึ่งสามสิ่งนี้

พระพุทธรักขิตา ทำการบรรยายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ณ มหาวิทยาลัยมาเคเรียร์

    หลังจบการบรรยาย นักเรียนคนหนึ่งเขียนโน๊ตขึ้นมาถึงอาตมา (เหมือนเป็นการยื่นคำขาด) ว่า “กราบเรียนท่าน สาเหตุของความทุกข์คือปีศาจ เมื่อท่านรับเอาซึ่งพระบุตร (พระเยซู) พร้อมกับพระบิดา (พระเจ้า) เมื่อนั้นท่านจะได้รับความสุข ผมขอแนะนำให้ท่านรับเอาการไถ่บาปเพื่อเข้าถึงความสุขซึ่งไม่อาจหาได้ในพระเจ้าเล็กๆ ของท่าน”

    พุทธศาสนิกชนเข้าใจดีว่าทุกคนเป็นผู้รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนได้ทำลงไป การไถ่บาปขั้นสุดท้ายหรือการถึงซึ่งพระนิพพาน จะเป็นไปได้ก็ด้วยตนเองเท่านั้น

    อาตมาทั้งยินดีทั้งประหลาดใจที่เห็นบนเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยมาเคเรีย มีคำกล่าวบรรทัดหนึ่งจากการบรรยายของอาตมาซึ่งนำมาจากธรรมบทว่า “ท่าน, ท่านคือผู้ที่ต้องพากเพียรเอง พระพุทธเจ้าเป็นให้ท่านได้เพียงอาจารย์เท่านั้น” (เป็นเพียงผู้ชี้แนะ)

ผู้ที่นำแนวทางนี้ไปไตร่ตรองปฏิบัติอบรมจิตใจตน เป็นผู้อยู่ไกลห่างจากเส้นทางแห่งอุบาย

“ผู้ถือซึ่งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ย่อมเข้าใจด้วยปัญญา กล่าวคืออริยสัจจ์ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นำไปสู่การดับของทุกข์” ธรรมบท : 190-191
โยมแม่รับพระรัตนตรัย

    ในตอนแรกมีเพียงโยมแม่ โยมน้อง และสามีของเธอเท่านั้นมาเยี่ยมอาตมาที่โรงแรม ภายหลังญาติคนอื่นและเพื่อนๆ ของพวกเขาจึงตามมา อาจจะมาด้วยความสงสัยก็เป็นได้ อาตมาให้พวกเขาดูรูปเพื่อนชาวพุทธของอาตมา รูปเมื่อตอนอุปสมบท ภาพการเดินทางแสวงบุญในอินเดีย พม่า และศรีลังกา พวกเขาเห็นพ้องกันว่ารูปวัดและพระสงฆ์นั้นมีความงดงาม อาตมานำของขวัญที่อุบาสกอุบาสิกาทั้งไทยและเวียดนามฝากเป็นพิเศษมาให้โยมแม่ ท่านขยับตัวช้าๆ ด้วยความฉงนว่าทำไมคนเหล่านั้นถึงได้ฝากของขวัญและความปรารถนาดีมายังท่าน

    การอธิบายศาสนาพุทธให้โยมแม่และคนอื่นๆ ในครอบครัวฟังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โชคดีที่เพื่อนของอาตมาในสหรัฐอเมริกาให้ที่อยู่ชาวไทยและชาวศรีลังกาซึ่งอาศัยอยู่ในยูกันดาไว้ อาตมาจึงตัดสินใจไปหาพวกเขาพร้อมกับโยมแม่ ที่แรกที่อาตมาไปคือร้านอาหารที่มีเจ้าของเป็นชาวไทยสี่คน พวกเขาดีใจมากและปฏิบัติต่ออาตมาด้วยความเคารพ โค้งอย่างนอบน้อมและถวายน้ำส้มให้อาตมา เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เห็นได้ทั่วไปในประเทศพุทธศาสนานิกายเถรวาทเมื่ออุบาสกอุบาสิกาพบพระสงฆ์ โยมแม่ของอาตมาประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง อาจจะสับสนด้วยซ้ำไป หลังจากนั้น เราพากันไปที่โรงงานแห่งหนึ่งที่มีเจ้าของเป็นชาวศรีลังกา ผู้จัดการโรงงานเป็นชายรูปร่างสูงแต่งกายดี ทันทีที่เห็นอาตมาเขาก็โค้งในแบบเดียวกัน

    อีกครั้งที่โยมแม่แปลกใจอย่างที่สุด แน่นอน ท่านไม่เคยรูจักประเพณีการโค้งหรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระมารดาของพระสารีบุตร (Sariputta)ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระสารีบุตรกลับบ้านมาพบกับโยมแม่ของท่าน เทวดาหลายรูปมาปรากฏกายเพื่อแสดงความเคารพท่าน เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับโยมแม่ของพระสารีบุตรที่ทำให้ท่านเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ รับเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ต่อมาโยมแม่ของอาตมาก็ทำในสิ่งเดียวกัน อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

“… แค่เศษผงเล็กๆ ที่เข้าตา ก็เพียงพอจะทำให้บางคนเข้าใจธรรมะ”
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สัมผัสความงามของพระพุทธรูป

    สองสามวันต่อมา อาตมาย้ายไปอยู่โรมแรมอีกแห่งใกล้กับร้านอาหารไทย อาตมาแกะผ้าที่ห่อพระพุทธรูปออกที่โรงแรมนี้ โยมน้องของอาตมาอุทานออกมาว่า “พระพุทธรูปดูแล้วคล้ายผู้หญิงเลย” อาตมา เห็นด้วยและบอกเธอว่ามีคนมากมายให้ความเคารพในพระพุทธรูปที่วิจิตรนี้ อาตมายังบอกเธออีกว่าผู้ปฏิบัติวิปัสสนาเป็นผู้มีจิตใจสวยงาม เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงมีผิวพันธุ์งดงามเช่นกัน ในวันนั้นโยมแม่ของอาตมาก็มาด้วย อาตมาเห็นท่านนั่งจ้องอยู่ที่ตรงมุมห้อง อาตมาจึงถามท่านว่ากำลังจ้องมองอะไร ท่านบอกกับอาตมาว่ากำลัง ชื่นชมความงามขององค์พระพุทธรูป ในตอนนั้นเองที่ท่านบอกกับอาตมาว่าท่านต้องการจะเป็นพุทธศาสนิกชน ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นคริสต์และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ตอนนี้ท่านต้องการจะเรียนรู้อย่างจริงจังกับสิ่งแปลกใหม่ที่เข้ามาในชีวิตท่านตั้งแต่อาตมากลับมาที่บ้าน ท่านจึงต้องการจะหันมานับถือศาสนาพุทธอย่างเป็นทางการ การจะเข้าเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างเป็นทางการ เพียงแค่รับเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็เพียงพอ แต่การจะเป็นชาวพุทธได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ต้องมีการสมาทานศีลห้า

ศีล 5

1. งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

2. งดเว้นจากการลักทรัพย์

3. งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

4. งดเว้นจากการกล่าวเท็จ

5. งดเว้นจากการบริโภคเครื่องดื่มมึนเมาและยาเสพติดที่จะนำไปสู่ความประมาท

    อาตมาใช้เวลานานทีเดียวกว่าที่จะแปลพระรัตนตรัยและศีลทั้งห้าข้อออกมาเป็นภาษาท้องถิ่นของเรา เป็นครั้งแรกที่อาตมาเป็นผู้อัญเชิญพระรัตนตรัยและให้ศีลในภาษาของอาตมา โดยอาตมาทำเพื่อโยมแม่ ท่านสมาทานศีลอย่างง่ายดายและเป็นธรรมชาติ ท่านไม่เคยรู้จักพระพุทธศาสนามาก่อน แต่ในทางปฏิบัติแล้วกล่าวได้ว่าท่านใช้ชีวิตที่ผ่านมาเฉกเช่นพุทธศาสนิกชน แสดงให้เห็นว่าธรรมะเป็นของสากล บางทีท่านอาจจะมีเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะติดตัวท่านมาตั้งแต่อดีตชาติแล้วก็ได้ ใครจะรู้? หนึ่งเดือนหลังจากกลับมาที่นี่ มีสมาชิกครอบครัวและเพื่อนรวมได้ห้าคนที่ขอประกาศตนเป็นพุทธมามกะ (รับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ) รวมถึงโยมแม่ โยมน้อง และโยมน้องเขยของอาตมา เรื่องนี้ทำให้อาตมานึกถึงปัญจวัคคีย์ของพระพุทธเจ้าเมื่อประมาณ 2,500 กว่าปีก่อนหน้านี้

พระพุทธรักขิตาบรรยายธรรมแก่โยมแม่ และครอบครัว

ไม่มีเงินจะเลี้ยงพระรัตนตรัย

    อาตมาให้พรกับผู้ที่ถวายภัตตาหารแด่อาตมาเสมอ มีสีกาท่านหนึ่งที่มีความสนใจในศาสนาพุทธเป็นอย่างยิ่ง เธออยากทราบถึงวิธีการเข้าเป็นพุทธศาสนิกชน อาตมาบอกกับเธอว่าท่านต้องรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยการพูดตามอาตมา (ซึ่งต้องท่องทั้งหมดสามครั้ง) ดังนี้:

รอบที่ 1

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอรับพระพุทธเป็นสรณะ)

ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอรับพระธรรมเป็นสรณะ)

สังฆัง สรณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอรับพระสงฆ์เป็นสรณะ)

รอบที่ 2

ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอรับพระพุทธเป็นสรณะ)

ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอรับพระธรรมเป็นสรณะ)

ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอรับพระสงฆ์เป็นสรณะ)

รอบที่ 3

ตติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอรับพระพุทธเป็นสรณะ)

ตติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอรับพระธรรมเป็นสรณะ)

ตติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ (ข้าพเจ้าขอรับพระสงฆ์เป็นสรณะ)

    เมื่ออาตมาสอนเธอต่อไปๆ เธอเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี เธอขัดอาตมาแล้วกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อนค่ะท่าน จะทำอย่างไรถ้าดิฉันไม่มีสตางค์ที่จะเลี้ยงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์”

    “อย่างกังวลไปเลย” อาตมาตอบและอธิบายกับเธอถึงใจความของไตรสรณคม เธอจึงผ่อนคลายลง เธอคงเข้าใจว่านี่คือชื่ออย่างเป็นทางการของค่ายลี้ภัยจาก ซูดาน รวันด้า และคองโก กระมัง

    ก่อนอาตมาเดินทางออกจากยูกันดา เธอมาเยี่ยมเยียนศูนย์พระพุทธศาสนาของเรา จำนวนอุบาสกอุบาสิกาเริ่มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนล้วนถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

    ไม่กี่สัปดาห์ก่อนอาตมาจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา หลานสาวสามคนกับหลายชายอีกหนึ่งคนได้เข้าร่วมเส้นทางแห่งพระศาสดา ในเวลาหนึ่งเดือนที่อาตมาอยู่ในยูกันดา มีคนท้องถิ่นทั้งหมดเก้าคนหันมานับถือศาสนาพุทธ เมื่ออาตมากลับมายูกันดาเป็นครั้งที่สอง หลายชายกล่าวกับอาตมาว่า “ผมอยากเป็นเหมือนท่าน” หมายความว่าเขาต้องการจะบวชเป็นสามเณร แผนที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้คือส่งเขาไปยังเอเชียเพื่อบวชเป็นสามเณรที่นั่น

พระพุทธรักขิตาสอนหลานทำสมาธิ

พระเผ่ามาไซ?

    ก่อนกลับสหรัฐอเมริกา อาตมาอยู่ในเคนยาหนึ่งสัปดาห์ ผู้คนในเคนยาเป็นมิตรและอาตมาก็เข้ากับสังคมที่นั่นได้ดี ครั้งหนึ่งชาวมาไซคนหนึ่งเรียกให้อาตมาหยุด “เออ-โว” อาตมารู้สึกงงเพราะไม่ทราบถึงความหมาย อาตมาจึงยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งด้วยไม่รู้จะพูดอะไรกลับไป หลังจากนั้นจึงนึกออกว่านั่นอาจจะเป็นคำกล่าวทักทายในภาษามา ไซ ชาวเผ่ามาไซคลุมตัวด้วยผ้าชูกาส (Shukas) สีใกล้เคียงมากกับสีจีวรของอาตมา

    เมื่อผ่านไปยังหมู่บ้านกันเจมิ (Kangemi) หญิงมาไซขายยาแผนโบราณจะต้อนรับอาตมาด้วยการพนมมือทุกครั้ง ซึ่งน่าสนใจมากเพราะนี่คือวิธีที่ชาวพุทธแสดงความเคารพเมื่อพบพระสงฆ์ อาตมาไม่ทราบว่าเธอไปเรียนรู้มาจากไหน

    ความคล้ายคลึงกับชนเผ่ามาไซและความเป็นมิตรของพวกเขาทำให้อาตมารู้สึกกลมกลืน มีที่ว่างเพียงพอสำหรับพระสงฆ์ในเผ่ามาไซ ต่อมาอาตมาใช้ความเป็นมิตรนี้เผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กับชาวพื้นเมือง ผู้เต็มใจจะรับฟัง เพราะเขารู้สึกว่าอาตมาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา

    ยังมีภารกิจธรรมเหลือให้อาตมาทำในแอฟริกาอีกหรือ? ไม่ต้องสงสัยเลย อาตมารู้สึกมุ่งมั่นด้วยแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนหน้าใหม่เหล่านี้ และมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะต่อไป

“ไม่มีชีวิตใดอยากเจ็บปวด สัตว์โลกย่อมรักชีวิตของตน เอาใจเขามาใส่ใจเรา บุคคลไม่ควรฆ่าและไม่ควรเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องทำลายชีวิต” ธรรมบท : 130
กลับมาเพื่อรดน้ำให้เมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะ....การวางฐานรากและความขัดแย้งเชิงวัฒนธรรม

    ในการเดินทางกลับไปยังแอฟริกาเป็นครั้งที่สองหลังใช้เวลาเกือบหนึ่งปีเต็มในสหรัฐอเมริกา อาตมาสังเกตเห็นอยู่ตลอดว่าผู้คนต่างมองอาตมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ พยายามทำความเข้าใจถึงบทบาทของอาตมาในสังคม บางครั้งอาตมาก็ได้รับแรงสนับสนุนและกำลังใจจากคนท้องถิ่นและผู้สนใจในธรรม อาตมาเดินทางไปเคนยาหนึ่งเดือนหลังจากอยู่ในยูกันดา ทุกๆ เช้าอาตมาจะออกบิณฑบาตร

    ยามเฝ้าประตูประจำมหาวิทยาลัยไนโรบีชื่อ จอห์น เป็นนักเล่าเรื่องตัวยง ช่วงคริสมาสต์ เพื่อนที่น่ารักคนนี้เอ่ยปากถามว่าอาตมาประสงค์จะฉันอะไรสำหรับเพลในวันพิเศษนี้ อาตมากล่าวกับเขาว่าอาตมาฉันทุกอย่างที่ได้รับถวายมา แต่ถ้าเลือกได้ อาตมาประสงค์ให้เป็นอาหารมังสวิรัติจะดีกว่า เขากล่าวว่าในวันพิเศษอย่างนี้จะมีการ ‘ชินจา’(chinja) ล้มวัว ฆ่าไก่ และสัตว์อื่นๆ เพื่อแสดงความหมายว่าวันนี้เป็นสำคัญพิเศษกว่าวันอื่นๆของปี

    อาตมาถามเขาว่าฆ่าสัตว์ไปทำไมกัน เขาตอบว่าเป็นบัญชาของพระเจ้าให้ฆ่าวัว แกะ ไก่ และสัตว์อื่นๆ แต่ห้ามมิให้ฆ่าและกินเนื้อมนุษย์ เสือดาว ช้าง เป็นต้น อาตมาจึงถามกับเขาว่าถ้าสัตว์ต่างๆ มีสิทธิที่จะมีความสุขในวันคริสมาสต์เหมือนเขาบ้างเล่า “สัตว์ไม่รู้จักคริสต์มาสต์หรอก” เขาตอบ อาตมายืนกรานว่าเราไม่ควรฆ่าสัตว์เพราะมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันย่อมรู้สึกเจ็บปวดระหว่างที่ถูกฆ่า เขายืนกรานเช่นกันว่าคนชอบฆ่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหาร เขาพูดถึง ‘เนียมา โชมา’ (nyama choma - roasted meat - เนื้ออบ) และเหล้าต้มที่ชื่อว่า ‘ชางา’ (cha’ngaa) ว็อดก้าแอฟริกัน เป็นอาหารและเครื่องดื่มสำหรับฉลองคริสมาสต์ อาตมาจึงบอกเขาว่าพระไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ ซึ่งเขาก็พยายามโน้มน้าวอาตมาว่าไวน์แค่นิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก “นิดเดียวเท่านั้นเอง!” เมื่อพูดถึงอาหารมังสวิรัติที่อาตมาแนะนำกับเขา เขากล่าวว่าการกินผักเพื่อสุขภาพมากจนเกินไป ‘ซูกูมะ วิกิ’ (sukuma wiki) คาเลส (kales) ผักสวนครัวเพื่อสุขภาพ อาจทำให้มันไปเติบโตขึ้นในท้อง เขาเตือนอาตมาไม่ให้ฉันผักแต่เพียงอย่างเดียว

“มีความสุขแท้ในชีวิต เราผู้ไม่มีสมบัติอะไร เป็นผู้ให้ซึ่งความสุข ดั่งเช่นพระผู้นำทาง”
ธรรมบท : 200
คนร่ำรวย

    หลังจากหลายๆ ครั้งที่พบกับจอห์น เขาได้รับทราบที่มาที่ไปการมาบวชเป็นพระของอาตมาและได้ทราบว่าอาตมาเป็นผู้ถือสัญชาติอเมริกัน เขากล่าวว่า “ท่านเป็นคนรวยนี่ ท่านแบ่งเงินที่ได้จากอเมริกาให้ผมบ้างได้ไหม?” เขาทำให้อาตมาหัวเราะเมื่อบอกว่าเขาจะยินดีเป็นอย่างยิ่งถ้าได้ทำงานที่วัด เพราะยามที่ศูนย์พระพุทธศาสนามีท้องใหญ่ (tumbo kubwa - ทัมโบ คุบวา) ตรงข้ามกับความเชื่อของชาวตะวันตก ชาวแอฟริกันเชื่อว่าความอ้วนบ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตที่ดี เมื่อจอห์นเห็นยามของเรา เขาจึงเชื่อว่าที่วัดมีอาหารและเงินเยอะ คนงานที่นั่นจึงได้รับการเลี้ยงดูที่ดีกว่า อาตมาจึงต้องอธิบายจอห์นว่าสิ่งเดียวที่อาตมาจะให้กับเขาได้คือการสวดให้พร ตอนที่กำลังจะให้พร เขาทำให้อาตมาประหลาดใจเมื่อเขาถอดหมวกออกแล้วโค้ง ก่อนอาตมาจะกลับ เขาถามว่า “แค่สวดให้พรเท่านั้นหรือ?” เขาดูจะให้คุณค่ากับสิ่งที่จับต้องได้มากกว่าการสวด จากนั้นเป็นต้นมา เขาพยายามขอเงินอีกหลายครั้ง อาตมาตอบเขาไปว่าอาตมาไม่มีเงิน และอธิบายพระในพระพุทธศาสนาไม่มีเงินเดือนหรือทรัพย์สินอะไร อาตมาช่วยให้เขาเข้าใจว่าเราเหล่าพระสงฆ์มีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยความเอื้อเฟื้อของคนอื่น เราจึงต้องออกบิณฑบาตรทุกวันในตอนเช้า ขณะเดียวกันอุบาสกอุบาสิกาก็พึ่งพาอาศัยพระสงฆ์ในแง่ของผู้ชี้นำทางจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงเกิดความผูกพันเชิงสัญลักษณ์ในหมู่พุทธบริษัท

“ดังผึ้งที่ไม่ได้ทำความเสียหายแก่ดอกไม้ สีหรือกลิ่นของมัน เก็บเกี่ยวไว้แต่เพียงน้ำหวาน เหมือนพระสงฆ์ออกบิณฑบาตรในหมู่บ้าน (โดยมิได้สั่นคลอนศรัทธา ความมีน้ำใจ หรือฐานะของผู้คน)”
ธรรมบท : 41-42

ออกบิณฑบาตร

    บาตรของอาตมาตกเป็นที่โจษจันท์ของผู้คนอย่างต่อเนื่อง หลายคนคิดว่าอาตมาหิ้วกลองแอฟริกัน บ้างก็เข้าใจว่าเป็นกลองเจมเบ้ (jambe) เล็กๆ ครั้งหนึ่งในลอนดอน พนักงานเสิร์ฟหญิงคนหนึ่งเข้าใจผิดว่าบาตรของอาตมาเป็นกลองแอฟริกัน เธอจึงมาลองตีมันดู อาตมาต้องบอกว่ามันคือบาตรของอาตมา เธอจึงรีบขอโทษเป็นการใหญ่

    ในการบิณฑบาตรทุกวันที่เคนยา เมื่ออาตมาเดินผ่านประตูมหาวิทยาลัย จอห์นมักจะถามคำถามหรือ ไม่ก็มีเรื่องมาเล่าให้ฟังเสมอ เขาสงสัยมากว่าทำไมคนแอฟริกันที่ไม่ใช่ชนเผ่ามาไซถึงได้ห่มจีวรเดินทางไปมาพร้อมกับ “บาคูลิ” (bakuli – บาตร) อาตมาอธิบายให้เขาฟังถึงความสำคัญของจีวรและบาตรของคณะสงฆ์

    วันหนึ่งเมื่ออาตมาออกบิณฑบาตร อาตมาตัดสินใจที่จะไม่ใส่รองเท้า จอห์นประหลาดใจและบอกว่าอาตมาดูน่าขบขัน เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งบอกอาตมาเดินเท้าเปล่าเหมือนกับไก่ เขาว่าการเดินเท้าเปล่าเป็นสัญลักษณ์ของคนยากจนและตกงาน ที่สำคัญมีเศษแก้วเยอะแยะตามถนน เขากังวลว่าสุดท้ายอาตมาจะไปจบอยู่ที่ห้องฉุกฉินในโรงพยาบาลแทน

    เขาถามว่า “ท่านไม่มีรองเท้าแตะเลยหรือ?” เขาเตือนอาตมาทีเล่นทีจริง “คราวหน้าถ้าท่านเดินเท้าเปล่ามาอีกล่ะก็ ผมจะปิดประตูไม่ให้ท่านเข้า” เป็นคำเตือนที่หวังดี หลังอาหารกลางวัน อาตมาเดินทางกลับและอธิบายให้จอห์นฟังถึงธรรมเนียมของพระที่เดินเท้าเปล่าขณะออกบิณฑบาตร ในที่สุดเขาก็เข้าใจ

    ก่อนหน้านี้จอห์นถามเกี่ยวกับบาตรของอาตมาซึ่งสำหรับเขาดูคล้ายหม้อมากกว่า ทำให้ดูเหมือนกับอาตมากำลังอยู่ระหว่างเดินทางไกล เขาถามว่าอาตมาจะเดินทางไปต่างประเทศหรือเปล่า อาตมาตอบเขาว่า “เปล่า อาตมาออกบิณฑบาตภัตตาหาร” จอห์นก็หัวเราะออกมา “อาหารอย่างงั้นเหรอ ท่านรวยอยู่แล้วนี่” จอห์นกล่าว (มีข้อบัญญัติห้ามไม่ให้ภิกษุ ภิกษุณีครอบครองทรัพย์สิน นี่จึงเป็นการเข้าใจผิดอย่างยิ่ง)

    อาตมาหยุดและถามเขา “โยมจอห์นเป็นคริสต์ใช่ไหม?” เขาตอบ “ใช่”

    อาตมาถามเขาอีก “ท่านบริจาคทานให้กับบาทหลวงหรือโบสถ์บ้างหรือเปล่า?” เขาตอบอีกว่า “ใช่”

    “เมื่อท่านบริจาค ท่านรู้สึกอย่างไร?”

    “อา … ผมมีความสุข” เขาตอบพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

    อาตมากล่าวต่อ “เห็นไหม มันก็เหมือนกัน เราไม่ได้ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ แต่เราออกบิณฑบาตรทุกวันแทน เพื่อให้โอกาสผู้คนได้บริจาคทาน เวลาที่โยมจอห์นให้ โยมมีความสุขมิใช่หรือ? ดูเหมือนจอห์นจะเข้าใจในที่สุด จอห์นถวายกล้วยหวานให้อาตมาหนึ่งใบ กว่าจะได้กล้วยใบนั้นมาเปรียบราวกับว่าอาตมาต้องรีดเลือดออกมาจากปูยังไงยังงั้น อาตมาสวดให้พรจอห์น เขาแสดงความเคารพอย่างงดงาม อาตมามีความสุขที่ได้สวดให้พรกับจอห์น กล้วยใบนั้นมีรสชาติพิเศษแตกต่างจากกล้วยใบอื่นๆ - รสชาติแห่งทาน (ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่)

“สุขภาพดีเป็นลาภอันประเสริฐ ความพึงพอใจเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด บุคคลที่ไว้ใจได้เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด นิพพานเป็นความสุขขั้นสูงสุด” ธรรมบท : 204
เป็นแค่พระธรรมดา เท่านั้นจริงๆ

    น่าประหลาดใจที่การบิณฑบาตรครั้งต่อมา จอห์นเอ่ยปากขอให้อาตมามอบบางสิ่งให้กับเขา อาตมารับปากว่าจะให้หนังสือธรรมะกับเขาเมื่อตีพิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จอห์นมีความสุขราวกับว่าเขาลงทุนด้วยกล้วยหนึ่งใบในองค์กรซึ่งจะให้ผลตอบแทนเป็นเงินมหาศาล อาตมาไม่แปลกใจเพราะคนทั่วไปก็ให้เพื่อหวังผลตอบแทนเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดก็หวังจะได้รับคำขอบคุณ จริงอยู่ที่เราควรจะสำนึกในบุญคุณเมื่อมีคนช่วยเหลือเรา แต่โดยประเพณีแล้ว ผู้ถวายของแด่พระภิกษุหรือภิกษุณีจะเป็นผู้รู้สึกซาบซึ้งในบุญกุศลที่เขาได้ทำ พวกเขาไม่หวังคำขอบคุณจากพระหรือภิกษุณี พวกเขารู้อยู่แก่ใจถึงบุญกุศลเหล่านั้น จอห์นไม่เข้าใจว่าคนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เป็นมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาจะออกบิณบาตรเพื่อ“ขอ”อาหารเช่นนี้ไปทำไม อันที่จริงพระต้องรับอาหารทุกอย่างที่มีคนถวาย (เป็นความผิด แม้จะไม่ถึงกับคอขาดบาดตาย สำหรับพระที่เจาะจงประเภทอาหารจากคนที่ไม่ใช่ญาติของตน)

    อาตมาอธิบายให้จอห์นฟัง แม้อาตมาจะอาศัยอยู่ในประเทศร่ำรวย แต่อาตมาก็เป็นเพียงพระธรรมดาๆรูปหนึ่งที่เกิดในยูกันดา เรื่องนี้ทำให้อาตมานึกถึงสีกาชาวอเมริกันที่ครั้งหนึ่งเคยถามอาตมาขณะที่อาตมากำลังเตรียมตัวออกบิณฑบาตรในวินเชสเตอร์(Winchester) เวสท์เวอร์จิเนียร์ (West Virginia) “ท่านคิดอย่างไรกับการออกบิณฑบาตในฐานะชาวแอฟริกันผิวสี ห่มจีวรสีส้ม เพื่อขอรับถวายภัตตาหารในเมืองแห่งเทือกเขาแถบชนบทในมลรัฐที่ได้ชื่อว่าอนุรักษ์นิยมมากที่สุดรัฐหนึ่งในอเมริกา”

“ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดความกลัว สำหรับคนที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง ตัณหาไม่อาจเป็นเหตุโศกเศร้า และยิ่งไม่อาจทำให้กลัว”
 ธรรมบท : 216
หิ้วระเบิด ลูกบอล หรือตะกร้า

    ระหว่างบิณฑบาตรตอนเช้า ชายคนหนึ่งเข้าใจผิดว่าบาตรเป็นลูกฟุตบอล นอกจากนี้อาตมายังพบกลุ่มสีกาที่รอเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟอยู่ใกล้ๆ กับโรงงานกาแฟ พวกเธอหยุดอาตมาแล้วถามว่า “ฮาบาริ ยาโกะ (habari yako – how are you? – เป็นอย่างไรบ้าง ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้นทำหน้าเบ้ใส่อาตมา เธอดูหวาดๆ “ดิฉันกลัวระเบิดที่ท่านถือมาด้วย” เธอถามหลังจากนั้น “นั่นระเบิดจริงๆใช่ไหม?”

    “ไม่ใช่หรอก โยม” อาตมาตอบพร้อมกับเปิดฝาบาตรขณะที่พวกเธอเข้ามาล้อมรอบ อาตมาอธิบายว่ามันคือบาตรใส่อาหาร

    เมื่ออาตมาเปิดฝาบาตรออก พวกเธอพากันตะโกน “อ้าว! ข้างในไม่มีอะไรนี่”

    อาตมาจึงตอบ “ใช่ มันเต็มไปด้วยอากาศ”

    พวกเธอถามอย่างบริสุทธิ์ใจ “พระเจ้าองค์ใดที่ท่านสวดถึงหรือ ที่วัดของท่าน?”

    ก่อนอาตมาจะตอบอะไร พวกเธอถามว่าจะไปเที่ยวที่วัดบ้างได้หรือไม่ อาตมาแปลกใจกับความกระตือรือร้นที่จะไปเยี่ยมชมวัด

    สรุปแล้วการอยู่ในแอฟริกาเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจ อาตมาได้เรียนรู้มุมมองที่คนท้องถิ่นมีต่อพระสงฆ์และพระพุทธศาสนา (ธรรมะ) ที่อาตมานำเสนอ

    อาตมาออกบิณฑบาตรในแอฟริการวมแล้วก็หลายครั้ง แต่ที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก เหตุผลหนึ่งก็คือเมื่อผู้คนเห็นบาตรของอาตมาเขามักจะขอซื้อมัน พวกเขาคิดว่ามันคือตะกร้าหรือไม่ก็กระเป๋าถือ

    “ขายเท่าไหร่?” พวกเขาจะเข้ามาถามอยู่ตลอด ราคาบาตรอันหนึ่งตกอยู่ที่ราวๆ 50 ดอลลาร์ ถือว่าค่อนข้างแพงสำหรับชาวยูกันดาทั่วไป บางครั้งเขาก็คิดว่าอาตมาคือหมอผี หรือคนทรงเจ้า (shaman) ขายยารักษาโรค ที่อาตมายังคงไม่ประสบความสำเร็จเพราะบางคนก็คิดว่าอาตมาเป็นคนบ้าที่ออกมาเก็บของเก่า



การออกบิณฑบาตรของพระพุทธรักขิตา

“จงประกอบแต่กุศลกรรม ทำความดีไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ แสวงหาสุขจากการทำความดีเหล่านั้น ความสุขคือผลของกุศลกรรมที่ได้สะสมมา”
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บาทหลวงของพระพุทธเจ้า ปรมจารย์วัดเส้าหลิน หรืออาจารย์ลูกเสือ?

    เมื่ออยู่ในยูกันดา อาตมายังคงเดินบิณฑบาตรเป็นประจำ อาตมาตัดสินใจไปยังเอ็มเม็นโก้ (Mmengo) ระหว่างที่เดินผ่านประตูพื้นที่ตั้งแคมป์เข้าไปยังที่ที่อาตมาใช้ตั้งวัดชั่วคราว ยามถามอาตมาว่ากำลังจะไปไหน อาตมาอธิบายเหตุผลที่อาตมามีบาตรติดตัวและเหตุผลของการบิณฑบาตร เขาใส่บาตรอาตมาด้วยถั่วห่อเล็กๆ หนึ่งห่อ อาตมาชื่นชมในอิริยาบทของเขา จากนั้นอาตมาจึงเดินบิณฑบาตรต่อไปยังเอ็มเม็นโก้ คนที่นั่นต่างมองอาตมาด้วยความสงสัยและยังไม่เลิกขอซื้อตะกร้า (บาตร) ซึ่งอาตมาปฏิเสธพร้อมบอกว่าอาตมาต้องใช้มันในการฉันอาหาร อาตมากลับมายังที่ตั้งแคมป์โดยไม่ได้อาหารกลับมาเลย คนที่แคมป์ไซต์คนหนึ่งเสนอที่จะถวายภัตตาหารให้อาตมาด้วยความเต็มใจ เป็นครั้งแรกที่อาตมาได้รับถวายจากคนในแคมป์ พวกเขาเริ่มจะเข้าใจอาตมาดีขึ้นบ้างแล้วในตอนนี้ คนในแคมป์คนหนึ่งอีกเช่นกันที่เรียกอาตมาว่าบาทหลวงของพระพุทธเจ้า อาตมาบอกเธอว่าอาตมาเป็นพระธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่บาทหลวง

    หลังผ่านไปนาน ในที่สุดคนที่นั่นก็ดูจะมีความสุขที่ได้ใส่บาตรอาตมาแม้จะมีฐานะความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ศรัทธาของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับรูปแบบชีวิตที่เรียบง่ายของพระสงฆ์ ที่สำคัญ พวกเขาเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อคนที่พวกเขาเคยเข้าใจว่าเป็นบาทหลวงในพระพุทธศาสนา วันหนึ่งคู่สามีภรรยาชาวอังกฤษถวายกล้วยสองใบและผลเสาวรสให้อาตมาด้วย

    การออกบิณฑบาตรช่วยฝึกให้เกิดความสมถะ อาตมาไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าสิ่งต่างๆ จะออกมาในรูปใด อาตมากลายมาเป็นศูนย์กลางความสนใจในยูกันดา ผู้คนเอาแต่จ้องมองเวลาอาตมาเดินไปบนถนน ศีรษะ ไม่มีผม ห่มจีวร บ่อยครั้งที่อาตมาไม่ได้อาหารกลับมาจากการบิณฑบาตร แต่โชคดีที่ร้านอาหารครัวไทยใน กัมปาลาที่มีชาวไทยสี่คนเป็นเจ้าของรับปากให้ความอุปถัมภ์ในวันอย่างที่ว่าจนกว่าอาตมาจะเดินทางออกจากยูกันดา นอกจากนี้ โยมแม่ก็นำอาหารมาถวายให้อาตมาอยู่เป็นระยะๆ

    บางทีที่ออกไปไกลจากตัวเมืองกัมปาลา มีการวิจารณ์กันว่าอาตมาเป็นปรมจารย์จากวัดเส้าหลิน ไม่พูดจากับใคร เพราะอาตมาไม่ค่อยได้พูดกับใคร หรืออย่างเวลาอาตมาเดินจงกรม พวกเขาจะคิดกันว่าอาตมาหลงทางและกำลังหาทางไปอยู่ บ้างก็เข้าใจผิดว่าอาตมาเป็นนักเต้นหรือนักแสดงโชว์ตอนกลางคืนและพากันสงสัยว่าอาตมาออกมาเต้นในตอนเช้าตรู่เช่นนี้ทำไม กระทั่งรู้สึกว่ามันยากที่จะบ่งบอกเพศของอาตมา หญิงคนหนึ่งตั้งคำถาม “นั่นผู้ชายหรือผู้หญิงน่ะ?” หรือบางคนดูจากชุดก็คิดว่าอาตมาเป็นอาจารย์ลูกเสือ ชายคนหนึ่งถามตอนเดินอยู่ในเมืองมหาวิทยาลัยว่าอาตมาเรียนจบมาเมื่อไหร่ เข้าใจไปว่าอาตมากำลังสวมใส่ชุดครุยของมหาวิทยาลัย

“ขันติเป็นประธานแห่งกุศลธรรมทั้งปวง มีนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุด” พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
“ผู้ที่ทำอันตรายหรือกดขี้ข่มเหงผู้อื่น ไม่ใช่พระหรือผู้ละทิ้งทางโลกที่แท้จริง”
 ธรรมบท : 184
ไม่มีใครให้ขึ้นรถหรือพักอาศัย

    บางคนเหมือนจะหวาดกลัวมากกว่าจะให้ความสนใจ สังเกตได้ว่าคนขับแท็กซี่ในยูกันดากลัวและกังวลกับอาตมามากกว่าใครเพื่อน คนขับแท็กซี่สามคนปฏิเสธจะรับอาตมาแม้ป้ายจะบอกว่ามีที่ว่างในรถเหลือพอสำหรับอีกคน ทีแรกคนขับก็ชะลอ แต่พอเข้าใกล้อาตมาก็เร่งความเร็วจากไป บางทีอาตมาต้องเดินเป็นระยะทางไกลเพราะไม่มีแท็กซี่คันไหนรับอาตมา ซึ่งอาตมาพบเหตุการณ์ท้าทายมากมาย บางครั้งเราก็ต้องเชิดหน้าขึ้นเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านั้นเพื่อหาหนทาง แน่นอนว่าการเดินเท้าทำให้อาตมาต้องเจอผู้คนมากขึ้น อาตมาเปิดกว้างให้กับผู้คน สุดท้ายก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางที่แห่งนั้น พยายามปลูกฝังความรัก ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ ความอดทน และความเข้าใจ

    เมื่อแรกมาถึงอาตมาแบกเต็นท์มาด้วย (ภายหลังได้กลายมาเป็นวัดเคลื่อนที่) แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการหาที่ตั้งเตนท์ ชายคนหนึ่งที่อาตมาติดต่อแนะนำให้อาตมาเช่าห้องพักจากเขา แต่อาตมาตัดสินใจจะหาที่ตั้งเตนท์ที่อื่น(เพื่อให้ใกล้กับเมืองที่โยมแม่อยู่) สุดท้ายเมื่อหาไม่ได้อาตมาจึงติดต่อกลับไปหาชายคนเดิมที่เคยเสนอห้องเช่าให้อาตมา เมื่อโทรกลับไปเขากลับแจ้งว่าเขาไม่มีห้องให้อาตมาแล้ว ความสงสัยได้เกิดขึ้นในใจเขา อาตมาจึงไปพักที่อื่นสองสามวันจนกระทั่งพื้นที่ที่จัดไว้ให้ตั้งเตนท์มีที่ว่างสำหรับอาตมา พุทธมามกะชาวยูกันดาจะมาที่นั่นเพื่อช่วยเหลือกิจการและฝึกสมาธิวิปัสสนา

    ภายหลังอาตมาพร้อมกับผู้ศรัทธาในธรรมคนหนึ่งได้เดินทางไปดูที่ดินบอกขายซึ่งราคาไม่แพงนัก อาตมาจึงเกิดความคิดว่าน่าจะเป็นการดีสำหรับพุทธศาสนิกชนชาวยูกันดาที่จะมีสถานที่ไว้ประกอบกิจกรรมของพวกเขาเอง ประชาชนที่อาศัยอยู่แถวๆ ที่ดินจะไม่ยอมพูดจากับอาตมา พวกเขาคิดว่าอาตมาเป็นพ่อมด แต่ยอมพูดกับเพื่อนเดินทางของอาตมา เป็นความรู้สึกแปลกอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม

    อีกครั้งหนึ่งเมื่อต้องการจะจดทะเบียนศูนย์พระพุทธศาสนา อาตมาเดินทางไปยื่นเอกสารคำร้องที่คณะกรรมการเขต (Regional District Commissioner - RDC) ก็ถูกสงสัยว่ามีสภาพจิตไม่ปกติเช่นกัน แต่เขาก็เซ็นต์เอกสารให้อาตมาแม้จะลังเลใจ อาตมาเดินทางต่อไปยังสำนักจดทะเบียนในกัมปาลา ผู้หญิงที่สำนักจดทะเบียนซึ่งเป็นองค์กรอิสระ (NGO) ทำหน้าบึ้งตึงใส่อาตมาเมื่ออาตมาเดินเข้ามายังสำนักงาน เธอยอมรับว่าเกือบจะวิ่งหนีอาตมาเมื่อเห็นอาตมาเดินเข้ามาที่โต๊ะของเธอ

    ผู้คนยังคงตัดสินคุณค่าของหนังสือทั้งเล่ม เพียงดูแต่หน้าปกกันต่อไป

“เป็นสิ่งประเสริญที่มีเพื่อนให้ความช่วยเหลือเมื่อเราต้องการ เป็นสิ่งประเสริฐที่สามารถพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เป็นสิ่งประเสริฐที่มีบุญกุศลค้ำชูเมื่อชีวิตใกล้จะสิ้นที่สุด เป็นสิ่งประเสริฐที่สามารถนำออกได้ซึ่งความทุกข์ทั้งปวง”
ธรรมบท : 331
เมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะได้รับการหว่านลงไป

    เมื่อศูนย์พระพุทธศาสนาในยูกันดาได้รับการสถาปนา นับว่าเราโชคดีมากที่ได้ที่ดินขนาดสองเอเคอร์ใกล้กับทะเลสาปวิคตอเรียที่เกรูก้า (Geruga) บนถนนเอ็นเท็บเบ้ อาตมารู้สึกปีติสุขเมื่อรู้ว่าผู้คนในยูกันดาจะมีสถานที่สำหรับศึกษาพระพุทธศาสนาและทำวิปัสสนาสมาธิ เมื่อนึกถึงการต้องข้ามมหาสมุทรอินเดียเพื่อรู้จักกับธรรมะ อาตมาสุขใจที่ได้เห็นธรรมะเริ่มหยั่งรากลงใน“ไข่มุกแห่งแอฟริกา” แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะถือกำเนิดขึ้นในโลกนี้มากว่า 25 ศตวรรษแล้วก็ตาม แอฟริกายังรู้จักพระพุทธศาสนาเพียงน้อยนิดหรือแทบจะเรียกได้ว่าไม่รู้จักเลย พระพุทธศาสนายังอ่อนแออยู่มากในทวีปแห่งนี้ ในยูกันดา คนท้องถิ่นไม่เคยมีใครนับถือศาสนาพุทธก่อนที่อาตมาจะออกบวชและกลับมายังที่แห่งนี้

    ตอนนี้อาตมาพยายามที่จะหว่านเมล็ดพันธุ์ออกไปให้กว้างไกลในพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ด้วยการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธองค์ไปยังทุกคนที่ใจกว้างพอและเต็มใจที่จะรับมันไว้ พระสงฆ์รูปแรกของยูกันดาได้เกิดขึ้น หลานชายแสดงเจตจำนงที่จะอุปสมบทเป็นสามเณร เช่นเดียวกัน โยมแม่และหลานสาวสามคนของอาตมาประสงค์จะบวชชี (โยมแม่ได้บวชเป็นชีเมื่อปีค.ศ. 2008) อาตมารู้สึกขอบคุณสมาคมชาวเวียดนามและอื่นๆที่ ทีเอ็มซี ซานโฮเซ่ ในแคร์ลิฟอร์เนียสำหรับความช่วยเหลือมหาศาลในการจัดตั้งศูนย์พระพุทธศาสนา อาตมาขออนุโมทนาไปยังกลุ่มคนไทยในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาผู้ซึ่งบริจาคพระพุทธรูปแอฟริกันจำนวนสององค์ ขอให้บุญกุศลจากการทำบุญของเป็นประตูนำพวกเขาไปสู่อิสรภาพ พระพุทธรูปองค์แรกจะประดิษฐานอยู่ที่ศูนย์พระพุทธศาสนาในยูกันดานี้และอีกองค์หนึ่งจะบริจาคให้กับสำนักงานใหญ่ศูนย์พระพุทธศาสนาโลก(World Buddhist Summit) เพื่อนำไปประดิษฐานไว้ที่หอประชุมใหญ่(Royal Grand Hall)ในประเทศญี่ปุ่น อาตมาขอแสดงความขอบคุณเป็นอย่างสูงแก่ประธานศูนย์พระพุทธศาสนาโลก(World Buddhist Summit) ที่ญี่ปุ่น สำหรับความช่วยเหลือในการวางรากฐานธรรมะในยูกันดาและแผนพัฒนาศูนย์พระพุทธศาสนายังคงดำเนินต่อไป

    สุดท้ายนี้ เมล็ดพันธุ์แห่งพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทได้ถูกปลูกฝังลงในยูกันดาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาแห่งการดูแลให้เติบใหญ่ หวังว่าเมล็ดพันธุ์ที่มีประโยชน์นี้จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและเติบโตอย่างแข็งแรง แผ่ขยายไพศาลเป็นผลไม้แห่งประโยชน์ของสัตว์โลกทั้งปวง

    ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายดำเนินชีวิตตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเข้าถึงอิสรภาพสุดท้ายหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวงในชีวิตนี้ด้วยเถิด




ศูนย์พระพุทธศาสนายูกันดาที่พระพุทธรักขิตาได้ก่อตั้งขึ้น















ที่มา: http://sameaf.mfa.go.th/th/country/africa/tips_detail.php?ID=4174&SECTION=41

0 comments:

แสดงความคิดเห็น

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget