“เทวรูปในศาสนาพราหมณ์ หรือกล่าวอีกอย่างที่เข้าใจกันทั่วไปว่ารูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ที่ได้พบเห็นและรู้จักกันมากที่สุดในประเทศไทย บัดนี้ ได้แก่ ประติมากรรมที่ทำเป็นรูปพระนารายณ์ และประติมากรรมที่ทำเป็นรูปพระศิวะ”
แต่ใครจะเชื่อว่า.......ศาสนาเก่าแก่อย่างศาสนาพราหมณ์ จะมีประติมากรรมเพื่อรูปปั้นสักการะหลังพระพุทธรูปในศาสนาพุทธที่เกิดขึ้นหลังหลายพันปี
“เทวรูป” โดยความหมายแล้วจะกล่าวถึงรูปเทวดา ตามความเชื่อลัทธิศาสนาพราหมณ์ คติของพราหมณ์นั้นเชื่อว่า โลกนี้ตลอดจนสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงบังเกิดขึ้นเป็นขึ้นได้เพราะเทวะ หรือพระมหาเทพทรงสร้างสรรค์ หรือทรงดลบันดาลให้มีให้เป็นขึ้นทั้งสิ้น
รวมความลงได้ว่าเทพเจ้าเป็นผู้อำนวยการในความเป็นไปทุกชนิดแห่งโลกนี้ เพราะความเชื่อดังกล่าว ทำให้พวกพราหมณ์ทั้งหลายต่างพากันแสวงหาหนทางและกรรมวิธีที่จะเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าด้วยพิธีกรรมเป็นอเนกอนันต์
ในบรรดาความเชื่อทั้งหลายในพระผู้เป็นเจ้าดังกล่าวนี้ อาจแบ่งออกได้เป็นสองระยะโดยกำหนดเอาพุทธสมัยเป็นหลักดำเนิน กล่าวคือความเชื่อถือดั้งเดิมในสมัยก่อนพระพุทธกาล และความเชื่อในสมัยพุทธกาล
ในสมัยนั้นพราหมณ์ยังนับถือคัมภีร์พระเวททั้งสามเรียกว่า ไตรเพท เป็นหลักคำสอนของศาสนา
คัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดในไตรเพทนั้น ยุติกันว่า คัมภีร์ฤคเวท เป็นหลักฐานดั้งเดิมที่สุดในศาสนาพราหมณ์ ยุคของคัมภีร์พระเวทนี้ จับเค้าได้ว่าตั้งแต่ ๑,๕๐๐ ปีลงมา จนถึงพุทธสมัย
ถ้าเปรียบเทียบดูระหว่างคัมภีร์พระเวทกับคัมภีร์พระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนา จะเห็นทัศนคติระหว่างพราหมณ์ยุคพระเวทดีที่สุด เพราะคัมภีร์พระไตรปิฎกมีข้อความเกี่ยวข้องกับพวกพราหมณ์ ตลอดจนความเชื่อหรือความเห็นของพราหมณ์บางอย่าง
แทบจะกล่าวได้ว่า หากไม่มีพระไตรปิฎกของฝ่ายพระพุทธศาสนานี้ปรากฏอยู่ในโลกแล้ว น่าเชื่อเหลือเกินว่า คติลัทธิของศาสนาพราหมณ์แทบจะหาเค้าเงื่อนความเป็นมาของตนมิได้
ศาสนาทั้งหลายของประเทศอินเดียเองนั้น จะพบเห็นอย่างมากมายก็ต่อเมื่อภายหลังพุทธกาลล่วงแล้ว ราว ๕๐๐ ปี หรือ ๖๐๐ ปี
สำหรับเทวรูปศาสนาพราหมณ์เองนั้นมานิยมการกระทำกันขึ้นก็ตั้งแต่ตอนปลายสมัยมถุรา ราวพุทธศตวรรษที่ ๙ (ระหว่าง พ.ศ. ๘๐๑-๙๐๐) หรืออาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่สมัยศิลปะแห่งราชวงศ์ คุปตะ ของประเทศอินเดียเป็นต้นลงมาจึงปรากฏหลักฐานการทำเทวรูป ดังนั้นเทวรูปจึงน่าจะเป็นประติมากรรมที่บังเกิดขึ้นภายหลังพุทธรูป
เทวรูปในลัทธิศาสนาพราหมณ์ หรือกล่าวอย่างที่เข้าใจกันทั่วไปว่า รูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ที่ได้พบเห็นและรู้จักกันมากที่สุดในประเทศไทยบัดนี้ได้แก่ ประติมากรรมที่ทำเป็นรูปพระนารายณ์ และประติมากรรมที่ทำเป็นรูปพระศิวะ
เทวรูปพระนารายณ์
อันพระผู้เป็นเจ้าทั้งคู่นี้ ประชาชนคนไทยมักแยกได้ทันทีว่า เป็นเทพเจ้านอกพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาหลักของตน ส่วนเทพเจ้าองค์อื่นๆ เช่น พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระจันทร์ และพระอาทิตย์นั้น
ผู้ที่นับถือพุทธศาสนายังไม่ยอมแยกให้เด่นชัดว่าเป็น พระพรหม สมัยราชวงศ์คุปตะ ในประเทศอินเดียเป็นภาพนูนต่ำสลักบนแผ่นศิลาประทับนั่งอย่างมหาราชลีลา คือ ห้อยพระซงค์เบื้องขวาลงจากมาลาสน์ (ที่นั่งบัว) พระหัตถ์ทั้ง ๒ ข้างขวา ถือ อักษมาลา (พวงลูกประคำ) และทัพพี (ช้อนตักเนย) พระหัตถ์คู่ซ้ายกำทำปางวรมุทรา (ประทานพร) และถือคนที (หม้อน้ำมนต์)
ด้านขวามีภาพบุคคลอยู่ ๓ กำลังกระทำสักการะ และมีรูปห่านหรือหงส์ อันเป็นพาหนะประจำพระองค์อยู่ด้วย ทางด้านซ้าย มีภาพบุคคลทั้ง ๔ ตอนบนและตอนล่าง ๒ กำลังบูชาสักการะอีกเช่นกัน ภาพจำหลักพระพรหมนี้มีอายุราว ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว ควรเป็นแบบฉบับของพระพรหมที่ถูกต้อง
เทพเจ้าที่อยู่นอกพระพุทธศาสนาเพราะเทพเจ้าดังกล่าวมีเรื่องเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าตามคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาคือพระไตรปิฎกเป็นอาทิ ถึงกับผู้รู้บางท่านกล่าวว่า
พุทธกับพราหมณ์ยากที่จะแยกออกจากกันได้ ในกิจพิธีใดก็ตาม ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องหรือขนบประเพณีทางพระพุทธศาสนาโดยตรง ก็ยังอุตส่าห์มีเรื่องของพราหมณ์เข้ามาปะปนด้วยเสมอ
จะเห็นได้ง่ายๆ ที่สุดในกิจพิธีสงฆ์ซึ่งนิมนต์ท่านไปฉันภัตตาหารเพื่อสวัสดิมงคล ตามอาคารบ้านเรือน บัดนี้ เริ่มต้นต้องตั้งบาตรน้ำมนต์หรือหม้อน้ำมนต์บางทีก็เรียกว่าครอบน้ำมนต์ (ถ้าในภาชนะนั้นมีพระกริ่งอยู่ ก็เรียกครอบพระกริ่ง) แล้วมีสายสิญจน์ต่อจากองค์พระพุทธรูปลงมาหาบาตรน้ำมนต์
น้ำเครื่องอุปกรณ์สำหรับประพรมน้ำพระพุทธมนต์ก็ใช้หญ้าคา ความเป็นมาของสายสิญจน์ประการหนึ่ง หญ้าคาอีกประการหนึ่ง คติของพราหมณ์ก็ยึดถือกันว่าเป็นของพราหมณ์ และก็ว่าคติพุทธเดินตามอย่างแบบพราหมณ์
ส่วนฝ่ายพุทธเรามักจะคัดค้านว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องผูกขาดเฉพาะพราหมณ์ทางพุทธเราก็มีเรื่องเกี่ยวข้องเสมอ บางทีพราหมณ์นั่นแหละนำคตินี้จากพุทธไปเป็นของตน จนกระทั่งช้านานล่วงกาลเวลามาถึงปัจจุบันสมัยแล้ว ไม่มีใครผู้ใดผู้หนึ่งตัดสิ้นชี้ประเด็นของเรื่องให้ยุติได้ จึงต่างฝ่ายต่างก็พยายามยุติเป็นคติของตนๆ ไป
“การศึกษาใดๆ ก็ตามในขณะที่เกิดข้อขัดแย้งต่อกัน ไม่อาจตัดสินให้ตระหนักแน่ลงไปได้ทำนองดังกล่าวมานั้นย่อมเป็นผลดีต่อทางวิชาการ”
การศึกษาใดๆ ก็ตาม ในขณะที่เกิดข้อขัดแย้งต่อกัน ไม่อาจตัดสินให้ตระหนักแน่ลงไปได้ ทำนองดังกล่าวมานั้น ย่อมเป็นผลดีของทางวิชาการ ก่อให้เกิดแง่มุมและแนวทางต่างๆ อย่างกว้างขวางทำให้วิชาการนั้นๆ งอกงามไพบูลย์ยิ่งขึ้น
และเป็นสิ่งที่ยั่วยวนน่าศึกษาค้นคว้าติดตามเสมอมา เพราะเหตุดังนี้ จึงพยายามวางข้อขัดแย้งไว้ในที่นี้ เพื่อว่าท่านผู้รู้ทั้งหลายจะได้พยายามค้นคว้าหาหลักฐานต่อไป
เทวรูปพระศิวะ
รูปเคารพหรือเทวรูปที่ว่าชาวไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนรู้จักดีว่าเป็นเทวรูปในศาสนาพราหมณ์แน่ ได้แก่ พระนารายณ์ และพระศิวะนั้น ก็น่าจะอธิบายขยายความกันอีกต่อไปด้วย ขึ้นชื่อว่าพระนารายณ์แล้ว คนไทยชาวพุทธโดยมากจะเกิดภาพพจน์ในมโนคติของตนตามเรื่องรามเกียรติ์อันเป็นวรรณกรรมระดับชาติทันทีว่า “นารายณ์นั้นสี่หัตถา ทรงตรี คทา จักรสังข์”
ครั้นพบเห็นประติมากรรมใดๆ ก็ตาม ที่มีสี่กร หรือสี่หัตถาจะทรงตรี คทา จักร สังข์ประการใดหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงกัน ยุติทันทีเลยว่าเป็นพระนารายณ์ หากจะกล่าวถึงในหมู่นักเลงพระเครื่องทั้งหลายคงจะเข้าใจได้ทันทีว่า พระพิมพ์
ซึ่ง “พระพิมพ์” พระองค์นี้ มีผู้นับถืออย่างมากมายจัดเป็นนิกายหนึ่งทีเดียวเรียกว่า วิษณุนิกาย” หรือ “ไวษนพนิกาย”
(อ่านต่อตอนหน้า)
เรียบเรียงโดย : วาทิต ชาติกุล
ที่มา:http://www.partiharn.com/contents/3029
0 comments:
แสดงความคิดเห็น