28/8/61









เรื่องนี้เล่าโดยท่านพระอาจารย์พยอมครับ……

เศรษฐีคนหนึ่งอยู่กรุงเทพฯ
เป็นนักสะสมซากสัตว์
เขาสัตว์งาช้างหนังเสือเต็มบ้านไปหมด
ทุกเสาร์ อาทิตย์ก็ออกไปล่าสัตว์
เมียมีลูกอ่อนอายุประมาณ 3 เดือน

วันหนึ่งขณะออกล่าสัตว์
เห็นลูกลิงตัวหนึ่งสวยน่ารักขนสีขาวแปลกมาก
อยากได้มาเลี้ยงที่กรุงเทพ ฯ
ก็ปรึกษากับพรานป่าคนนำทางว่า
ทำอย่างไรจึงจะได้ลูกลิงมาเลี้ยง

พรานป่าบอกว่า
โดยสัญชาตญาณลิงจะรักลูกมากรักสุดชีวิต
ตราบใดที่แม่ลิงยังไม่ตายไม่มีใครสามารถเอาลูกมันออกจากอกได้
มันสู้สุดชีวิต สุดท้ายเศรษฐีตัดสินใจ
ยิงแม่ลิงตายแล้วเอาลูกลิงสีขาวมาเลี้ยงที่กรุงเทพฯ
เมื่อยิงแม่ลิงตาย ก็เอาเนื้อไปแกง
ให้ลูกน้องถลกหนังเก็บหนังไว้ประดับบ้าน





พอกลับถึงกรุงเทพฯ
ก็เอาลูกลิงเลี้ยงไว้ในบ้าน
หยอกล้อวิ่งเล่นกับลูกลิงเป็นที่สนุกสนาน
ส่วนหนังลิงตัวแม่มันยังสดอยู่มีกลิ่นเหม็น
ก็เอาไปตากแดดที่ลานจอดรถหน้าบ้าน

เช้าวันหนึ่ง
ขณะเมียเศรษฐีกำลังให้นมลูกกิน
ในห้องรับแขกหน้าบ้าน
เมียร้องไห้โฮดังลั่นบ้าน
เศรษฐีตกใจวิ่งลงมาจากชั้นบน
โผเข้าไปกอดเมียและลูกไว้
ใบหน้าตกใจสุดขีด

พยายามถามเมียว่าเกิดอะไรขึ้น
เมียไม่ยอมตอบเอาแต่ส่ายหน้าแล้วก็ร้องไห้
หันไปมองหน้าลูก
กำลังหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข.
นั่งปลอบเมียอยู่สักครู่
พอเริ่มตั้งสติได้
ถามเมียว่าเกิดอะไรขึ้น
ตกใจเรื่องอะไรร้องไห้เรื่องอะไร





เมียไม่ยอมพูดแต่ชี้มือไปที่ลานจอดรถหน้าบ้าน
เศรษฐีมองตามไป
เห็นภาพถึงกับผงะตกใจน้ำตาไหล
ไม่รู้ว่าลูกลิงที่เอามาเลี้ยงไว้
หลุดออกไปนอกบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่

มันออกไปดูดนมแม่ที่เป็นหนังแห้งตากไว้ที่โรงรถ
ดูดเสร็จมันก็ก้มลงกอดแม่
น้ำตาไหล
เศรษฐีและเมียทนดูไม่ได้ร้องไห้โฮ
คุยกันว่าถ้ามีคนทำกับครอบครัวเราอย่างนี้บ้าง
เราจะรู้สึกอย่างไร

จะเศร้าโศกเสียใจทุกข์ทรมานใจขนาดไหน?

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
เศรษฐีสั่งให้เอาซากสัตว์ที่สะสมทั้งหมดไปเผา
เอาลูกลิงไปปล่อยในป่า
เลิกออกล่าสัตว์
เข้าวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่ลิง และขออโหสิกรรม

ทุกครั้งที่ทำบุญจะขอพรทุกครั้งว่า
ขออย่าให้มีใครมาทำกับครอบครัวเรา
เหมือนกับที่เราได้ทำกับครอบครัวลิงตัวนั้นเลย

อาตมาจึงขอฝากไว้ว่า…

ถ้ารักลูกของเราจงอย่าทำร้ายลูกคนอื่น
ถ้าอยากให้ครอบครัวของเรามีความสุข
จงอย่าทำร้ายครอบครัวคนอื่น















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: http://xn--q3ctbz5akd1duhna.com/







จุดธูปกลางแจ้ง 16 ดอก แล้วท่อง นะโม 3 จบ


ตั้งจิตอธิฐานอันเชิญ ครูบาอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา พ่อเกิดแม่เกิด พ่อซื้อแม่ซื้อ ในทุกชาติ และเทพเทวดาที่คุ้มครองตัวเราทุกพระองค์ รวมทั้ง องค์มหาเทพ มหาโพธิสัตว์ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ใน 19 ชั้นฟ้า 16 พรหมมา 15 ชั้นดิน 14 ภูมิบาดาล 21 ภูมิพระแม่ธรณี พระแม่คงคา ที่ข้าพเจ้าอาศัยและยืนอยุ่นี้





พระภูมิเจ้าที่ ผีบ้านผีเรือน รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวร และ เจ้าบุญนายคุณ เจ้าเกณฑ์ดวงชะตา ของข้าพเจ้า ทุกชาติภพ ที่เคยผูกพันธ์กันมาในอดีตให้มารับรู้รับฟัง การขอขมา และ ขอถอนคำสาบแช่งที่มีต่อกัน ในอดีตและปัจจุบัน ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ และให้เอ่ยว่า….

ข้าพเจ้าชื่อ……นามสกุล……. ขอ ขมากรรม ในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไป ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ต่อท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะรู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ระลึกได้ หรือ ไม่ได้ก็ดี ขอท่านผู้มีฤทธิ์ มีอำนาจ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณ เจ้าเกณฑ์ดวงชะตาของข้าพเจ้าทั้งหลาย โปรดอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วยเถอะ อย่าได้โกรธเคือง อย่าได้จองเวร ต่อข้าพเจ้าอีกต่อไป และโปรดถอดถอนคำสาปแช่งที่ให้แกข้าพเจ้า หรือคำสาบใดๆอันเกิดจากข้าพเจ้าได้เป็นผู้กระทำ หรือถูกกระทำจากท่านทั้งหลายก็ดี ขอจงดับหมดสิ้นไปด้วย อนุภาพ พระบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และด้วยบารมีแห่งองค์มหาโพธิสัตว์เจ้าและองค์มหาเทพ โปรดเมตตาและประทานพรแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด และช่วยเปิดทางและแสงสว่างทั้งทางโลกและทางธรรม และให้การดำรงชีวิตของข้าพเจ้า จงมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไป และขอให้มีโชค มีลาภ มีเงินมีทอง เหลือกินเหลือใช้เหลือเก็บเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีด้วยเถอะ และขอให้ข้าพเจ้าได้พบแต่คนดีมีคุณธรรมอยู่ในศีลในธรรมเข้ามาช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วยเถิด สาธุๆๆ

ตั้งนะโม 3 จบ แล้วเอ่ยคาถา ว่า
” ปะโตเมตัง ปะระชีวินัง สุขะโตจุติ จิตตะเมตะ นิพพานัง สุขะโตจุติ / ขอให้สัตว์โลกทั้งหลายใน 3 ภพ จงพ้นจากภัยพิบัติและเคราะห์กรรมทั้งปวงเถิด สาธุๆๆ ”


















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: หมอดูภูธร ชลรัตน์








ในช่วงวัยเรียนหรือวัยรุ่นของใครหลายๆ คนก็จะมีช่วงเวลาที่แคร์ความคิดคนอื่นจนเกินไป โดยเฉพาะเพื่อนและคนรอบข้าง มีอะไรก็จะต้องถามความคิดเห็นตลอด แม้แต่การใช้ชีวิตก็ต้องอัพเดทให้ไม่ตกเทรนด์ ซ้ำยังอัพเดทโซเชียลตลอดเวลา ถ้าช่วงไหนที่ตามเพื่อนไม่ทันคุณจะรู้สึกแย่เอามากๆ แต่คุณรู้ไหมว่าเมื่อเวลาผ่านไป เราโตขึ้น สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่คุณจะไม่สนใจอีกต่อไป





วันนี้เราก็มี 12 เรื่องราวที่คุณจะ “เลิกแคร์” ได้แทบทั้งหมด หลังจากพ้นวัย 30 ไปแล้ว จะจริงแท้ขนาดไหน ต้องให้ทุกคนช่วยยืนยัน จะมีเรื่องอะไรบ้าง แล้วคุณเลิกแคร์มันไปแล้วจริงๆ หรือเปล่านั้นต้องลองดูต่อไปนี้ได้เลย

1. คุณอาจจะเลิกสนใจเทรนด์แฟชั่นหรือของเล่นใหม่ๆ

2. น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นมา คุณก็ไม่แคร์มันแล้ว

3. เรื่องซุบซิบนินทาที่จะไม่สามารถดึงความสนใจของคุณได้อีกต่อไป

4. อีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่มีอิทธิพลกับคุณต่อจากนี้คือความคาดหวังของคนอื่น

5. คุณจะเลิกแคร์ความคิดเห็นของคนอื่นที่มีต่อคู่รักของคุณ






6. การฉลองวันเกิดแบบดื่มหนักๆ เหมือนปีที่ผ่านมานั้น จะไม่ใช่แนวของคุณอีกต่อไป

7. คุณเลิกเป็นคนขี้อวดไปนานแล้ว

8. ยิ่งโตขึ้นคุณก็จะเลิกสนใจเครือข่ายสังคมออนไลน์ อย่างพวกโซเชียลเน็ตเวิร์กไปโดยอัตโนมัติ

9. เรื่องที่คุณยังไม่ได้แต่งงานก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับคุณ (เหรออออ)

10. การสวมเสื้อผ้าหนาๆ เป็นตุ่มก็ไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกน่าเกลียดอีกต่อไป

11. การอัพเดทชีวิตดาราไม่ใช่เรื่องจำเป็นเท่าไหร่นัก

12. คุณแทบจะไม่แคร์ว่าคนอื่นจะมองคุณยังไง
















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/6956

26/8/61









เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าต่อ..ที่ฟังดูแล้วมีความเป็นเหตุ..เป็นผลแห่งพุทธ..อย่างแท้จริง..

เรื่องมีอยู่ว่า..สมัยพุทธกาล
มีคนถามพระพุทธองค์ว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้อะไร

พระพุทธองค์ตอบว่า “ไม่ได้อะไรเลย”

เขาจึงถามต่อไปว่า… ถ้าเช่นนั้นท่านจะปฏิบัติไปเพื่ออะไร

พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า ตถาคตสามารถบอกเธอถึงสิ่งที่หายไป นั้นก็คือ

ความโกรธได้หายไป

ความหม่นหมองวิตกกังวลหายไป

ความเศร้าท้อแท้หายไป

ความกังวลไม่สบายใจหายไป





ความเห็นแก่ตัว โลภะ โทสะ โมหะพิษร้ายทั้งสามก็หายไป

อวิชาคือความไม่รู้ที่ปิดกั้น ปุถุชนทั้งหลายก็ได้สูญสิ้นไป

พูดเหมือนง่าย… แต่เหตุผลนั้นมันลึกซึ้ง…

คนทั้งหลายที่มาสู่โลกนี้ มีเพียงสองเรื่องคือเกิดกับตาย

เรื่องแรกทำสำเร็จไปแล้ว ส่วนอีกเรื่องนั้นเราจะทุกข์ร้อนไปทำไม…

พระท่านว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามย่อมมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และมีจากไปเป็นธรรมดา คนไม่มีปัญญามัวแต่ไปคิดว่ามันไม่ธรรมดา คิดว่ามันต้องอยู่กับเราตลอดไป ไปรั้งมัน ไปยึดมั่น ถือมั่น คิดว่าต้องสวยแบบนี้ ต้องดีแบบนี้ ต้องรักกันแบบนี้ตลอดไป ไปคาดหวังมัน เราก็เลยทุกข์ แท้ที่จริงแล้ว ตอนมันจากไป ก็เป็นธรรมดาของมัน

มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับมันไม่ได้หรอกหนา

มีวาสนาก็มา … ไม่มีวาสนาก็ไป… สิ่งใดที่สมควรแก่เหตุก็มาเอง… สิ่งใดที่ไม่สมควรแก่เหตุ จะแสวงหาก็ไม่พบ อ้อนวอนก็ไม่สำเร็จ…

มีวาสนาก็ไม่ปฏิเสธ ไร้วาสนาก็ไม่ต้องแสวงหา… สิ่งที่เข้ามาหาก็ต้อนรับ สิ่งที่จากไปก็ไม่ต้องอาลัย… ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วแต่วาสนา ให้เป็นไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น

ผู้มีปัญญาทั้งหลายไม่เอาชีวิตไปขึ้นอยู่กับปากและตาของผู้อื่น… ให้มองเห็นจิตและใจของตนเอง… มีสติ รู้จิต ไม่ฟุ้งซ่าน… ไม่ดิ้นรนแสวงหาในสิ่งที่หลอกลวงทั้งหลาย… ไม่ดิ้นรนแสวงหา ใจเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง… จะร้อนจะหนาว จะลุกจะนั่ง จิตก็มีสติอยู่เสมอ นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม






เกิดเป็นคน อย่าเป็นคนหลอกลวงไร้สัจจะ ถ้าเป็นคนหลอกลวงจะไม่สามารถเปิดใจต่อผู้อื่นได้… ความทุกข์ที่สุดของมนุษย์คือใจที่ไร้ที่พึ่ง…

ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม จิตที่ดีงามย่อมไม่มีเรื่องทุกข์ใจฺ…

จิตที่ประเสริฐ ย่อมไม่มีผู้ที่จะต้องเคียดแค้นชิงชัง… จิตที่เรียบง่าย ย่อมไม่มีเรื่องว้าวุ่นใจ… เป็นคนดี กายใจซื่อตรง ย่อมหลับเป็นสุข… ผู้ประกอบกรรมดี ฟ้าดินย่อมมองเห็น ผีสางเทวดาย่อมสรรเสริญ

ความสงบที่แท้จริงมิได้เกิดจากการนั่งนิ่งๆหลายชั่วโมง แต่เกิดจากการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายด้วยใจที่สงบ ได้ยินแม้แต่เสียงดอกไม้บาน… นั่งก็เป็นสมาธิ เดินก็เป็นสมาธิ

เหตุเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เหตุเกิดขึ้นแล้วก็ว่างเปล่า...ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของทุกคน ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้ ได้แต่เพียงเกี่ยวข้องแล้วก็ผ่านไป… พวกเราทุกคนเป็นเพียงแขกผู้ผ่านกาลเวลาเท่านั้น… วันหนึ่งเราก็ต้องบอกลาทุกสิ่งไป

ทุกสิ่งที่ปรากฎต่อหน้าเรานั้นควรจะทนุถนอม… แต่สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ควรต้องอาลัย… สิ่งใดที่ควรได้ก็ให้รับเขาด้วยความยินดีแต่ไม่ยึดถือ..

ขออวยพรแด่ทุกคนที่มีวาสนาได้เกิดมาร่วมโลกกัน… เป็นครอบครัวเดียวกัน… เป็นญาติสนิทมิตรสหาย… รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายขอจงมีความสุข เบิกบานใจทุกวันคืน…

ถ้าอ่านแล้วจะส่งต่อให้เพื่อนก็เป็นบุญ จะพิจารณาอยู่ก็เป็นคุณที่ดีเฉพาะตัว…

ขอบคุณสำหรับทุกๆ ท่านที่ช่วยแชร์ต่อๆ ไป… ขออำนาจกรรมดีความดีจงคุ้มครองให้ทุกทุกท่านวิวัฒน์สวัสดีตลอดกาลนาน
















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/12252








'หลวงปู่คิ้ม' พระครูพิพิธกิตติคุณ เกจิอาจารย์ดัง แห่ง จ.ราชบุรี  'เทพเจ้าแห่งหนองเสือ' มรณภาพลงอย่างสงบด้วยโรคติดเชื้อในกระแสเลือดและโรคชรา สิริอายุรวม 91 ปี 70 พรรษา ท่ามกลางความโศกเศร้าของศิษยานุศิษย์

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 26 ส.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในวัดหนองเสือ (ยางประสาท) ต.กรับใหญ่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี พระธรรมปัญญาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดราชบุรี ประธานฝ่ายสงฆ์ นายณรงค์ศักดิ์ หอมมาลัย ปลัด จ.ราชบุรี ประธานฝ่ายฆราวาส อัญเชิญน้ำหลวงพระราชทานสรงศพ พระครูพิพิธกิตติคุณ หรือ หลวงปู่คิ้ม คุณากโร เจ้าอาวาสวัดหนองเสือ เกจิดังแห่งภาคตะวันตก หลังล้มป่วยด้วยโรคติดเชื้อในกระแสเลือด และโรคชรา มรณภาพลงอย่างสงบ ที่ รพ.ธนบุรี 1 กรุงเทพมหานคร เมื่อเวลา 14.59 น. ของวันที่ 24 ส.ค.61 ที่ผ่านมา สิริอายุรวม 91 ปี 70 พรรษา ท่ามกลางความโศกเศร้าของบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ทราบข่าว ต่างเดินทางมารดน้ำศพอย่างเนืองแน่น โดยทางวัดประกอบพิธีบรรจุสรีระของหลวงปู่คิ้มลงหีบโลงแก้ว ที่จัดเตรียมไว้ กำหนดตั้งสวดพระอภิธรรมศพเป็นเวลา 100 วัน ก่อนเก็บร่างไว้ที่วัดให้ประชาชนกราบไหว้บูชา






ประวัติของพระครูพิพิธกิตติคุณ หรือ หลวงปู่คิ้ม เดิมชื่อ นายคิ้ม บุตรธรรม เกิดเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2470 ที่บ้านดอนเสลา อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี อุปสมบทครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2492 ที่วัดดอนเสลา ต.ท่าผา อ.บ้านโป่ง ก่อนย้ายมาจำพรรษาที่วัดหนองเสือยางปราสาท ต.กรับใหญ่ และขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองเสือเมื่อปี พ.ศ.2507 จวบจนปัจจุบัน หลวงปู่คิ้มเป็นพระเกจิด้านพุทธาคมเข้มแข็ง เมตตามหานิยม และคงกระพันชาตรี เป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี อดีตพระเกจิชื่อดัง ศึกษาวิชาเป่ายันต์เกราะเพชร และวิชาต่อดวงเสริมชะตาชีวิต ด้านการพัฒนาส่งเสริมสนับสนุนด้านการศึกษา ช่วยเหลือเด็กยากจน รวมทั้งบริจาคทรัพย์สร้างสถานที่ราชการ โรงเรียน และโรงพยาบาล จึงเป็นที่เคารพของบรรดาศิษยานุศิษย์และประชาชนทั่วทุกสารทิศ ถือเป็นพระเกจิชื่อดังของภาคตะวันตก ที่ชาวบ้านขนานนามว่า “เทพเจ้าแห่งหนองเสือ”

ส่วนวัตถุมงคลรุ่นแรกเป็นพระกริ่งพุทธอาคม สร้างเมื่อปี พ.ศ.2514 ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก จนรุ่นสุดท้ายคือ “เหรียญโภคทรัพย์” สร้างเมื่อปี พ.ศ.2561 เพื่อหาเงินสมทบทุนสร้างพระปริพุทโธ แต่ท่านมามรณภาพลงเสียก่อน.

















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.thairath.co.th/content/1362538

25/8/61









การทำบุญตักบาตรถือเป็นการเสริมดวงง่ายๆ อีกวิธีหนึ่งที่เราชาวพุทธสามารถจะทำได้กันทุกคนแต่ถ้าจะให้ดีเรามีเคล็ดลับมาฝากกัน นั่นคือการเลือกของใส่บาตรให้ถูกโฉลกตามวันเกิดก็จะยิ่งช่วยเสริมดวงให้คุณดีขึ้นไปอีกค่ะ…เกิดวันไหนควรเลือกของชนิดไหนไปใส่บาตรบ้างมาดูกันเลย

คนที่เกิดวันอาทิตย์

ถ้าเป็นอาหารคาวก็ให้เน้นอาหารสารพัดไข่ ไม่ว่าจะเป็นไข่ดาว ไข่เจียว หรือไข่ลูกเขย และแกงกะทิ ส่วนอาหารหวานก็ไม่พ้นไข่หวาน มะพร้าวอ่อน มะพร้าวกะทิ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำขิง หรือเงาะ เวลาถวายพระให้ถวายหลอดไฟ ไฟฉาย ธูป อุปกรณ์ แสงสว่าง แว่นตา หมากพลู พยายามตื่นแต่เช้าหน่อย เพื่อออกมารับแสงอาทิตย์ตอนเช้าร่างกายจะ ได้เกิดพลัง อย่าใจร้อน เลิกทิฐิ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น





ถ้าเกิดวันจันทร์

ก็ให้เลือกอาหารประเภทสัตว์ปีก หรือสัตว์น้ำ อย่างไก่ผัดขิง ปูผัดผงกะหรี่ แกงเผ็ดเป็ดย่าง อาหารหวาน เช่น น้ำเต้าหู้ น้ำอ้อย โดนัท นมสด เผือก มัน ขนมเปี๊ยะ และลางสาด สำหรับของถวายพระก็มีแก้วน้ำ แจกัน และของโปร่ง ๆ ใส ๆ พยายามทำจิตใจให้สดชื่น แจ่มใส อย่าวิตกกังวลจนเกินเหตุ และควรให้ความช่วยเหลือสตรีให้ มาก ๆ ถ้าเจอผู้หญิงโหนรถเมล์อยู่ก็ควรจะลุกให้นั่ง หรือช่วยถือของ

คนเกิดวันอังคาร

ให้ใส่บาตรอาหารประเภทเส้น ทั้งขนมจีน วุ้นเส้น บะหมี่ หรือก๋วยเตี๋ยว และเนื้อปลา เนื้อวัว ของหวานจะมีฝอยทอง สลิ่ม ลอดช่อง ระกำ ขนุน และน้ำอัดลม ให้ถวายพระด้วย เครื่องไม้เครื่องมือประเภทเหล็ก กรรไกร แปรงสีฟัน พัดลม หรือกรรไกรตัดเล็บ วันนี้ทั้งวันให้ทำตัวกระฉับกระเฉง ตื่นตัวอยู่เสมอ ขยันให้มากขึ้น อย่าผัดวันประกันพรุ่ง พยายามลดอารมณ์ให้เย็นลง และเลิกการชิงดีชิงเด่น

คนที่เกิดวันพุธ

จะพิเศษตรงที่ถ้าเป็นพุธกลางวันให้เน้นอาหารประเภทสีเขียว อย่างแกงเขียวหวาน ผัดคะน้าน้ำมันหอย ของหวานก็ควรจะเป็นขนมเปียกปูน น้ำฝรั่ง องุ่นเขียว ถวายพระด้วยอุปกรณ์การศึกษา ควรจะอ่านหนังสือธรรมะ ร้องเพลง ฝึกสร้างความมั่นใจให้ตนเอง





ส่วนวันพุธกลางคืน จะเน้นของหมักดอง อย่างผักกาดดองผัดไข่ อาหารกระป๋อง ข้าวหมาก ข้าวเหนียวดำ เฉาก๊วย หรือผลไม้หัวโต ๆ อย่างทุเรียน หรือขนุน ควรถวายพัดลม เทปธรรมะ ยาแก้โรคลม ยาหอม และควรเลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่มแอลกอฮอล์ เลิกพนัน อย่าเหลวไหล อย่าเที่ยวกลางคืน และไม่แตะยาเสพติด

เกิดวันพฤหัสบดี

ให้ใส่บาตรด้วยผักผลไม้ประเภทเถา ของคาวก็อย่างเช่น แกงเลียง บวบผัดไข่ ผัดน้ำเต้า ของหวานอย่างเช่น แตงไทยน้ำกะทิ แตงโม น้ำมะตูม ให้ถวายพระด้วยสบง จีวร หนังสือธรรมะ ตู้ยา หรือโต๊ะหมู่บูชา และควรจะนั่งสมาธิ ถือศีล 5 ที่สำคัญอย่าเชื่อคนอื่นจนเกินไป

เกิดวันศุกร์

ต้องเน้นไปที่ของหอมหวาน เช่น ข้าวหอมมะลิ ผักกาดหอม ไข่เจียวหอมใหญ่ ยำหัวหอม กล้วยหอมทอด ขนมหวานแบบไทย ๆ หรือผลไม้ที่มีกลิ่นหอม ถวายพระด้วยนาฬิกา โต๊ะรับแขก ระฆัง ย่าม และควรทำตัวให้สดชื่นแจ่มใส บำรุงดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่ตลอด จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ สวยงาม รวมไปถึงเลิกการฟุ่มเฟือยทุกอย่าง

คนที่เกิดสุดสัปดาห์อย่างวันเสาร์

ต้องตักบาตรด้วยของขม และของดำ ไม่ว่าจะเป็นมะระยัดไส้ น้ำปลาหวานสะเดา มะเขือยาว ของหวานก็อย่างเช่น กาแฟ โอเลี้ยง เข้าวัดใส่บาตรแล้วก็อย่าลืมช่วยหลวงพ่อท่านกวาดลานวัด ล้างห้องน้ำวัด พยายามไม่เครียด มองโลกในแง่ดี ขยะในบ้านยกทิ้งทุกวันอย่าปล่อยทิ้งไว้

แต่อย่างไรก็ตาม การทำบุญหากทำด้วยใจจะทำด้วยอะไร แบบไหน วิธีใด ก็ได้บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกันนะคะ

















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/8546








เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 25 สิงหาคม 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.สิทธิโชค บัวแดง รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เชียงคำ ได้รับแจ้งจากพระครูสมศรีกันตสีโร เจ้าอาวาสวัดหนองบัวเงิน เลขที่ 100 ม.5 ต.อ่างทอง อ.เชียงคำ จ.พะเยา ว่ามีเหตุขโมยเข้ามาในวัด เจาะอกพระประธานและพระรองภายในพระอุโบสถในวัด ขอให้ไปทำการตรวจสอบ





ที่เกิดเหตุพบพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานปูนปั้น ขนาดสูงประมาณ 2 เมตร กว้าง 1.5 เมตร และพระรอง สูงประมาณ 1.5 เมตร กว้าง 1.2 เมตร มีร่องรอยการถูกเจาะบริเวณกลางหน้าอกทั้ง 2 องค์ จึงเข้าทำการตรวจสอบ พบว่าสิ่งของที่บรรจุอยู่ภายในองค์พระหรือหัวใจพระถูกคนร้ายขโมยไปจนหมด

พระครูสมศรีกันตสีโร เปิดเผยว่า ปกติพระอุโบสถไม่ได้ปิดกุญแจ เพราะทางวัดเคยถูกโจรเข้ามาขโมยเงินจากตู้บริจาคมาแล้วถึง 5 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 และไม่คิดว่าจะมีอะไรให้โจรได้ขโมยไปอีก จนกระทั่งเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) ขณะที่พระสงฆ์และชาวบ้านเข้ามาทำทำบุญภายในพระอุโบสถ ก็พบว่าพระประธานและพระรองถูกเจาะเอาหัวใจไป ซึ่งเป็นของที่มีค่าสูงสุดของหมู่บ้านไม่สามารถประเมินค่าได้ พร้อมวอนให้โจรนำมาคืนเพื่อเห็นแก่การสืบทอดพระพุทธศาสนา





ในขณะที่ชาวบ้าน ตั้งข้อสังเกตว่า การเจาะหัวใจองค์พระทั้ง 2 องค์ นั้นน่าจะเป็นมืออาชีพ เพราะการเจาะทำแบบเรียบ เนียน และรู้ตำแหน่งที่บรรจุหัวใจได้อย่างชัดเจน เชื่อแน่ว่าคนที่ทำต้องเป็นมืออาชีพและน่าจะเป็นคนพื้นถิ่น พร้อมกับวอนให้นำสิ่งของมีค่ามาคืนวัดด้วย ทางตำรวจได้ส่งชุดสืบสวนและเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ลงพื้นที่เพื่อเบาะแสของคนร้าย และทำการเก็บรอยนิ้วมือและวัตถุพยานอื่น ๆ เพื่อตามหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป


















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7487994/









วันที่ 25 ส.ค. 61 เวลา 16.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่กลางสนามหลวง ใกล้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่วางท่อระบายน้ำได้ขุดพบปืนใหญ่โบราณขนาดความยาว 3.05 เมตร ปากกระบอกปืนมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง 40 เซนติเมตร ฝังอยู่ในพื้นดินตรงจุดดังกล่าว เจ้าหน้าที่วางท่อจึงหยุดการปฏิบัติงาน พร้อมแจ้งกรมศิลปากรและตำรวจมาร่วมตรวจสอบทันที





ด้านพ.ต.อ.จักรกริศน์ โฉสูงเนิน ผกก.สน.ชนะสงคราม เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบร่วมกันกับเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากร พบว่าเป็นปืนใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 2 ซึ่งมีความเก่าแก่มายาวนาน ซึ่งขณะนี้กรมศิลปากรได้นำปืนใหญ่ดังกล่าวไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแล้ว

โดยก่อนหน้านี้เมื่อ 3 ปีก่อนก็เคยมีการขุดเจาะพบปืนใหญ่ในลักษณะเดียวกันจำนวน 3 กระบอก ซึ่งพื้นที่ตรงนี้เมื่อสมัยก่อนเคยเป็นที่เก็บคลังอาวุธส่วนวังหน้ามาก่อน

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 27 ส.ค. เจ้าหน้าที่โบราณวัตถุ จากกรมศิลปากรจะเดินทางเข้าตรวจสอบพื้นที่นี้อีกครั้ง























ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7488178/

24/8/61










1.พระพุทธศาสนา ปฏิเสธว่า มีผู้สร้างโลก ถือว่า ความเชื่อนี้ไร้สาระ ตรงข้าม โลกนี้ประกอบขึ้นจากเหตุธาตุทั้ง4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา

2.พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ หมายถึง ต้องมีความเชื่อในพระเจ้าผู้สร้างโลก

3.จุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา คือ ละกิเลสได้หมดแล้ว หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือวัฏฏสงสาร ไม่ใช่ไปแค่ไปเกิดบนสวรรค์เท่านั้น

4.พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ผู้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้รอด สรรพสัตว์ต้องช่วยตนเอง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสและวัฏฏสงสาร

5.ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้า และสาวก คือ ครูผู้สอนและลูกศิษย์ ไม่ใช่ตัวแทนพระเจ้า และทาสผู้รับใช้





6.พระพุทธเจ้า ไม่เคยให้สาวกใช้ความเชื่อโดยปราศจากปัญญามานับถือ ตรงข้าม ทรงสอนให้ใช้ปัญญา พิจารณาคำสอนก่อนจะเชื่อ และเห็นจริงด้วยตนเอง และ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ต้องนำคำสอนไปประพฤติและปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นด้วยตนเอง ไม่มีใครช่วยทำให้หลุดพ้น จากการเวียนเกิดเวียนตายได้ นอกจากให้แค่แนะนำ ชี้ทางที่ถูกต้องให้เท่านั้น

7.คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นสัจธรรมประจำโลก ที่เป็น และมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงเป็นแต่เพียงผู้ค้นพบเท่านั้น พระองค์ไม่ใช่เป็นคนสร้างคำสอนขึ้นมา

8.นรกในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สถานที่กักขังสัตว์อย่างนิรันดร์ บุคคลทำบาปแล้ว ไปเกิดในนรก เมื่อพ้นกรรมแล้ว ก็สามารถกลับไปเกิดในภพที่ดีกว่าได้ และ สัตว์ที่ได้ไปเกิดในภพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภพเทวดา ภพมนุษย์ ภพเปรตวิสัย ภพเดรัจฉาน ก็สามารถเวียนกลับไปเกิดในนรกอีกได้ เช่นกัน

9.พระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนแนวคิดเรื่องบาปติดตัว เหมือนที่ศาสนาเทวนิยมสอน แต่สอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมขาว กรรมดำ และกรรมไม่ขาวไม่ดำ

10.พระพุทธศาสนาสอนว่า มนุษย์และเทวดาทุกชีวิต มีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ ข้อสำคัญก็คือ ต้องใช้ความพยายามในการปฏิบัติ เพื่อชำระกิเลสให้พ้นไปจากจิตใจ พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นมนุษยสามัญธรรมดา ที่หลุดพ้นจากทุกข์ได้ เพราะการประพฤติปฏิบัติมาหลายภพหลายชาติ






11.กฎแห่งกรรมของทุกสรรพสัตว์ เป็นตัวอธิบายว่า เหตุใดคนถึงเกิดมาแตกต่างกัน กฎแห่งกรรมเป็นตัวอธิบายถึงภพภูมิที่สัตว์พากันไปเกิด

12.พระพุทธศาสนา เน้นให้แผ่เมตตากรุณาไปยังสรรพสัตว์ ทุกภพภูมิ ทรงสอนให้ละจากการประพฤติชั่วทั้งปวง คือ อกุศลกรรมบท ๑๐ และให้ประพฤติปฏิบัติแต่ กุศลกรรมบถ ๑๐

13.ธรรมะของพระพุทธเจ้า เสมือนแพ หลังจากบำเพ็ญเพียรจนดับทุกข์ได้แล้ว จะอยู่เหนือบุญและบาป ธรรมะทั้งปวงจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น

14.ไม่มีสงครามศักดิ์สิทธิ์ ในทรรศนะพระพุทธศาสนา การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การเบียดเบียนผู้อื่นด้วยเจตนา ผู้กระทำจะต้องรับกรรมทั้งสิ้น จนกว่าจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร การฆ่าในนามศาสนา ยิ่งกระทำมิได้ในพระพุทธศาสนา

15.พระพุทธเจ้าสอนว่า กำเนิดสังสารวัฏ ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด ถ้าหากสัตว์ยังดำเนินชีวิตไปตามอำนาจกิเลส
ที่มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป

16.พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญู ( ผู้รู้ความจริงทุกเรื่องที่ทรงอยากรู้ ) และพระพุทธเจ้า มิใช่เทพเจ้าผู้ทรงมีอำนาจล้นฟ้า ดลบันดาลสร้างธรรมชาติต่างๆ ขึ้นมา

17.การฝึกสมาธิ สำคัญมากในพระพุทธศาสนา แม้ว่าศาสนาอื่นๆ ก็มีสอนให้คนมีสมาธิ แต่มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอน วิปัสสนา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้รู้แจ้งว่า ทุกสรรพสิ่ง เมื่อมีการเกิด ย่อมมีการดับ

18.หลักคำสอนเรื่อง สุญญตา) หรือ นิพพาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในพระพุทธศาสนา ถือเป็นคำสอนระดับสูงของพระพุทธศาสนาด้วย เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้ถาวร มีแต่ปัจจัย ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกัน สรรพสิ่งในโลก จึงตกอยู่ในภาวะอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เหมือนกันหมด พระพุทธศาสนาจึงไม่สุดโต่งไปตามแนวศาสนาประเภทเทวนิยม หรือ ตามแนววัตถุนิยม ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย จนกว่าจะบรรลุธรรม จึงจะดับเย็น เข้าสู่นิพพาน

19.วัฏจักร หรือสังสารวัฏ เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา ตราบใดที่สรรพสัตว์ ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ก็จะเวียนว่ายตายเกิด ไปตามภพภูมิต่างๆ ตามแรงเหวี่ยงของกรรม ไม่สิ้นสุด จนกว่าจะบรรลุธรรม ดังนั้น ทุกสรรพสัตว์ จึงต้องช่วยตนเอง เพื่อพัฒนาไตรสิกขา ให้หลุดพ้นจากโลภะ โทสะ และโมหะ หรืออวิชชา เพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏให้ได้ ฯ

เสียดายไม่ทราบชื่อฝรั่งผู้เขียน แต่เข้าใจในหลักพระพุทธศาสนา












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: Sawai Phonya








รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี? ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว) คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน…

ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า… ”น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด”





คนเราไม่ควรพรากเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า

ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ?

นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่าเราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง?

คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้ เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า บางทีคนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย





ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ”การกลับมาอยู่กับตัวเอง” กล่าวคือ… ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆ ไปตลอด

ก็ควรหันกลับเข้ามา ”มองด้านใน” แก้ไขที่ตัวเอง ย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่นเพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ…

“การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ” หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุดอย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

ปราชญ์จีนบอกว่า ”ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา แต่จงย้ายตัวเอง ” ดังนั้น เราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?
















ขอบพระคุณแหล่งที่มา:https://www.khaofc.com/archives/1036








สำหรับบ้านชาวไทนพุทธแล้วนั้นแน่นอนว่าหิ้งบูชาพระนั้นจะมีอยู่ทุกบ้านกันอยู่แล้วใช่ไหมละคะบ้านแต่ละหลังย่อมมีหิ้งพระ หรือมากกว่านั้นอาจจะมีหิ้งเทพ หิ้งรูปบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แต่ก็ยังพบปัญหาว่าหลายคนไม่ทราบว่าควรจัดวาง ตั้งหิ้งพระไว้บริเวณใดของบ้านถึงเหมาะสมและเป็นมงคลกับชีวิต รวมถึงอาจเผลอวางหิ้งพระผิดที่ผิดทางจนเกิดความไม่เป็นมงคลได้ วันนี้ทางเราเลยรวบรวมคำแนะนำเรื่องการจัดหิ้งพระให้เหมาะสมและเป็นมงคลต่อเจ้าของบ้าน

1.หมั่นดูแลหิ้งพระให้สะอาดอยู่เสมอ หลายจุดในบ้านเจ้าของบ้านให้ความสำคัญแต่บางครั้งหลงลืมตำแหน่งของหิ้งพระ ดังนั้นต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดองค์พระหรือรูปเทพ เพราะหากองค์พระหรือรูปเทพมีฝุ่นจับเชื่อว่าจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย นอกจากนั้นควรหมั่นเปลี่ยนน้ำ ดอกไม้ในแจกันบูชาเพื่อให้ชีวิตของคนในบ้านสดชื่น แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา

2.เลือกตำแหน่งที่สงบ หิ้งพระควรตั้งอยู่ในพื้นที่ๆ สงบ ไร้เสียงรบกวน จอแจ เช่นบางบ้านประดับหิ้งพระไว้บริเวณประตูเข้า-ออก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าคนในบ้านจะพบแต่ความวุ่นวาย






3.หิ้งพระไม่ควรติดตั้งผนังเดียวกับห้องน้ำหรือห้องครัว รวมถึงไม่ควรหันหน้าหิ้งบูชาไปตรงกับประตูห้องน้ำหรือห้องครัว เพราะจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย มีเรื่องขัดแย้งหรือเงินทองรั่วไหล

4.หิ้งพระบนหลังตู้ควรสูงกว่าศีรษะ หากคุณพักอาศัยในคอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนท์หิ้งพระควรอยู่สูงกว่าศีรษะเพราะมันเกี่ยวพันกับความเจริญก้าวหน้า อาชีพการงาน

5.ห้องพระคือห้องพระ ห้องพระก็คือห้องสำหรับตั้งบูชาพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว เราอย่าใช้ห้องพระไว้เก็บข้าวของชนิดอื่นๆ รวมทั้งห้องพระไม่ควรอยู่ติดกับห้องน้ำหรือมีประตูตรงกับห้องน้ำ

6.หิ้งพระไม่ควรตั้งอยู่ปลายเตียง หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรตั้งหิ้งบูชาไว้ในห้องนอน เนื่องจากเราอาจมีกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าหิ้งพระเช่นการเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือการร่วมหลับนอนของคู่สามี-ภรรยา อีกทั้งยังไม่ควรหันหน้าหิ้งพระไปยังทิศที่เตียงตั้งอยู่ด้วย





7.ห้องรับแขกไม่ใช่ที่ตั้งของหิ้งบูชา อย่างที่บอกว่าหิ้งพระควรตั้งอยู่ในห้องที่ค่อนข้างมีบรรยากาศสงบ

8.บนหิ้งพระควรมีองค์พระหรือองค์เทพเป็นจำนวนเลขคี่

9.หลีกเลี่ยงการตั้งหิ้งบูชาไว้ใต้คาน เพราะหมายถึงดวงชะตาของเจ้าของบ้านอาจถูกกดทับ และมักมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่เสมอ

10.หิ้งพระควรตั้งอยู่ในมุมที่เป็นสัดส่วน ไม่ใช่เมื่ออยู่นอกบ้านแล้วสามารถมองเห็นหิ้งพระในบ้านอย่างชัดเจน เช่นนั้นถือว่าไม่ดี

นอกจากนี้ยังมีทิศต้องห้ามไม่ให้เจ้าของบ้านตั้งหิ้งพระอีกด้วย มาดูกันว่าคุณเกิดปีไหนและห้ามไม่ให้ตั้งหิ้งพระตรงไหน

เจ้าของบ้านเกิดปีชวด ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศเหนือ เพราะจะส่งผลให้เจ้าบ้านเกิดอันตราย จนอาจถึงขั้นเสียชีวิต

เจ้าของบ้านเกิดปีฉลู ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้เจ้าบ้าน เกิดการเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน

เจ้าของบ้านเกิดปีขาล ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้ผู้หญิงและสมาชิกในครอบครัวเกิดอันตราย

เจ้าของบ้านเกิดปีเถาะ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้เกิดความสูญเสียคนในบ้านจะเสียชีวิต

เจ้าของบ้านเกิดปีมะโรง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้คนในบ้านเกิดการเสียหายทั้งชายและหญิง

เจ้าของบ้านเกิดปีมะเส็ง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชา หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้คนในครอบครัวมีความยุ่งยากที่สุดจนหาความสงบสุขไม่ได้

เจ้าของบ้านเกิดปีมะเมีย ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศใต้ จะส่งผลให้เกิดเรื่องราวอัปมงคลขึ้นภายในบ้าน

เจ้าของบ้านเกิดปีมะแม ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้ครอบครัว เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างไม่คาดฝัน

เจ้าของบ้านเกิดปีวอก ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ กับสมาชิกเพศชายในครอบครัว

เจ้าของบ้านเกิดปีระกา ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเพราะ จะทำให้ความทุกข์โศกมาเยือนครอบครัวจนต้องร้องให้อยู่เสมอ

เจ้าของบ้านเกิดปีจอ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพราะจะส่งผลร้ายให้สมาชิกในครอบครัวอย่างมาก ถึงขั้นเสียชีวิตได้

เจ้าของบ้านเกิดปีกุน ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ในครอบครัวอยู่ตลอด เสียเงินเสียทองขึ้นโรงขึ้นศาล

ได้หลักการจัดหิ้งพระแบบง่ายๆ กันไปแล้ว ก็ลองตรวจเช็คดูนะคะว่าเราวางถูกต้องแล้วหรือยัง















ขอบพระคุณแหล่งที่มา:https://www.khaofc.com/archives/941








ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง เณรน้อย 9 ขวบ เหยื่อหลวงตาโหด สิ้นลม หลังอยู่ไอซียู 5 วัน

วันที่ 24 ส.ค. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี สามเณร วัฒนพล สีสวัสดิ์ หรือ เณรดิว อายุ 9 ขวบ ที่บวชภาคฤดูร้อน เมื่อวันที่ 2 เม.ย. และจำพรรษาอยู่ที่วัดดอนขมิ้น ต.ลูกแก อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ถูก หลวงตาศุภชัย หรือ นายศภชัย บุญลักขะ อายุ 64 ปี อดีตพระลูกวัดและเป็นพระพี่เลี้ยงทำร้ายร่างกาย จนได้รับบาดเจ็บอาการสาหัส จากนั้นมารักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียู ชั้น 3 ตึกสมเด็จพระญาณสังวร โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา อ.เมืองกาญจนบุรี โดยมีนางสุกัญญา ตุ้นฮิ้น ผู้เป็นแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด




============================================================================================================


โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่ผ่านมา ส่วน นายศภชัย ผู้ก่อเหตุถูกดำเนินคดีเบื้องต้นในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝากขังอยู่ที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี

ล่าสุดนายเฉลิมพนธ์ หรือ ใหญ่ หงส์ยนต์ ประธานชมรมหน่วยกู้ภัยทางน้ำภาค 7 และประธานมูลนิธิวัดดอนขมิ้น ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “พาร่างน้องเณรน้อยส่งนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อผ่าพิสูจน์ สาเหตุการเสียชีวิต (ขอแสดงความเสียใจกับญาติของเณรด้วยครับ) คนทำผิดจะต้องชดใช้กรรม”





นอกจากข้อความดังกล่าวแล้ว ยังมีภาพของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ กำลังช่วยกันนำร่างของสามเณรที่ห่อด้วยผ้าขาว ออกจากโรงพยาบาลเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ รวมทั้งภาพที่ถ่ายคู่กับ เณรเด น้องชายขณะที่ยังมีชีวิตด้วย โดยหลังจากโพสต์ได้ไม่นานก็มีสมาชิกเข้าไปแสดงความคิดเห็น เป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา นางสุกัญญา ตุ้นฮิ้น และ นายวัฒนา สีสวัสดิ์ พ่อและแม่ของสามเณร ที่เลิกรากันไปแล้ว ต่างภาวนาและเข้าวัดทำบุญต่อชะตาให้กับเณรลูกชาย เพื่อหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น แต่ปาฏิหาริย์ก็ไม่เกิดขึ้น และ สุดท้ายสามเณรวัฒนพล สีสวัสดิ์ หรือ เณรดิว อายุ 9 ขวบ จากไปอย่างสงบ เมื่อช่วงเวลาประมาณ 20.15 น. วันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา

คาดว่าหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินคดีนายศุภชัย อดีตพระพี่เลี้ยงของสามเณร ในข้อหา ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเสียชีวิต
















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1484455








(24 ส.ค.) ร.ต.ท.ศิริพงษ์ วรรณสัมผัส ร้อยเวร สน.ประเวศ เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า เมื่อเวลาประมาณ 04.00 น. ได้รับแจ้งเหตุชายคลุ้มคลั่งใช้ขวดปาดคอเด็กเสียชีวิต บริเวณถนนพัฒนาการ หน้าปั๊มน้ำมัน พีที ตรงข้ามซอยพัฒนาการ 78 จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบนายมนตรี อายุ 32 ปี อยู่ในอาการคลุ้มคลั่งพยายามทำร้ายตัวเอง จึงเข้าควบคุมตัว





ใกล้กันพบศพ เด็กชายต้นกล้า อายุ 5 ปี บุตรชาย นอนเสียชีวิตอยู่ในสภาพมีบาดแผลลึกบริเวณลำคอ

ทั้งนี้ จากการสอบสวน นายมนตรี ผู้ก่อเหตุยังให้การวกวนและมีอาการคล้ายคนมึนเมา เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งรักษาอาการบาดเจ็บที่ โรงพยาบาลศิรินทร ก่อนสอบปากคำหาสาเหตุอีกครั้ง ส่วนร่างของเด็กชายต้นกล้า เจ้าหน้าที่นำส่งชันสูตรพลิกศพที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ

















ขอบพระคุณแหล่งที่มา:https://www.sanook.com/news/7486642/

23/8/61









พระพุทธรูป หรือ รูปเคารพแทนพระพุทธเจ้า ในตำนานเรื่องพระแก่นจันทน์ได้พรรณนาเรื่องพระพุทธรูปองค์แรกไว้ว่า ครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จจำพรรษาเพื่อโปรดพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์แห่งเมืองสาวัตถี ทรงรำลึกถึงพระพุทธองค์เป็นอย่างมาก จึงโปรดฯให้ช่างหาไม้แก่นจันทน์หอมที่ดีที่สุด มาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปอันงดงาม มีพุทธลักษณะคล้ายพระพุทธองค์ แล้วอัญเชิญไปประดิษฐานยังพระราชมณเฑียร

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพาน พระพุทธรูปจึงเป็นตัวแทนของพระศาสดาให้เราศาสนิกชนได้เคารพบูชา กราบไหว้ ซึ่งมีคำกล่าวว่า ไหว้เทพยดาองค์ใดก็หาได้ประเสริฐเสมอเหมือน พระพุทธเจ้า เพราะแม้แต่เทวดายังเคารพนบน้อบพระองค์

วันนี้เราจึงขอพาท่านไปรู้จัก ๕ พระพุทธรูปที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ดังต่อไปนี้


 






๑.หลวงพ่อพระพุทธโสธร วัดโสธร จ.ฉะเชิงเทรา

หลวงพ่อโสธรองค์หนึ่งที่ทรงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มีอภินิหารเป็นพระพุทธรูปที่ทรงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญของชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา

แต่เดิมหมู่บ้านคนน้อยมาก การคมนาคมไม่ค่อยสะดวก เมื่อหลวงพ่อโสธรมาประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธรแล้ว ประชาชนชาวเรือนับถือว่า ถ้าได้บอกขอต่อหลวงพ่อโสธรแล้ว สินค้าก็ซื้อง่ายขายคล่องเป็นเทน้ำเทท่า เรือแพที่ผ่านไปมาในแม่น้ำพอถึงที่ตรงกับโบสถ์หลวงพ่อโสธรแล้ว ผู้ที่นิยมนับถือและเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร

คำอาราธนาหลวงพ่อโสธร

กายานะ วาจายะวะ วาโสธะรัง

นามะ อิติปาริหะ ริยะกาง

พุทธธะรูปัง อะหังปิ






๒.หลวงพ่อพระพุทธชินราช วัดพระศรีฯ จ.พิษณุโลก

พระพุทธชินราช ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารด้านตะวันตกในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1900 ตรงกับรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย พร้อมกับพระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระเหลือ พระพุทธชินราชได้รับการยอมรับว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งและยังเป็นพระพุทธรูปที่นิยมจำลองกันมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นพระพุทธรูปที่ประชาชนชาวไทยศรัทธาและนิยมเดินทางมากราบไหว้มากที่สุดองค์หนึ่งด้วย

-"พระพุทธชินราชพระพุทธชินศรีสองพระองค์นั้นงามแหลมแก่ตามมากกว่าพระพุทธรูปใหญ่น้อยบรรดามีในแผ่นดินสยามทั้งปักษ์ใต้ ฝ่ายเหนือ และตลอดกาลนานมาถึง 900 ปีมีผู้เลียนปั้นเอาอย่างไปมากก็หลายตำบล จะมีพระพุทธรูปที่คนเป็นอันมากดูเห็นว่าเป็นดีเป็นงามกว่าพระพุทธชินราชพระพุทธชินศรีสองพระองค์นี้ก็ไม่มี..." –พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

คาถาบูชาพระพุทธชินราช

กาเยนะ วาจายะวะ เจตะสาวา ชินะราชาพุทธรูปัง สิริธัมมะติปิ

ตะกะราเชนะ กะตัง นะมามีหัง พุทธธังอาราชธนานัง ธัมมังอาราชธนานัง

สังฆังอาราชธนานัง ชินะราชาพุทธธะรูปัง

อาราชธนานัง พุทธธังลาภมานะชาลีติ ธัมมังลาภมานะชาลีติ สังฆังลาภมานะชาลีติ

อุอะมะนะโมพุทธธายะ พามานะอุกะ สะนะถุประสิทธิเม

๓.หลวงพ่อวัดบ้านแหลม วัดเพชรสมุทรจ.สมุทรสงคราม

“หลวงพ่อบ้านแหลม”

พระพุทธปฏิมากรเป็นพ่อบ้านเมืองยกย่องนับถือเป็นที่เคารพสักการบูชาเปรียบเสมือนเป็นพ่อของคนทั้งเมือง

หลวงพ่อวัดบ้านแหลม เป็นพระพุทธรูปยืนปางอุ้มบาตร หล่อด้วยทองเหลืองแบบสมัย สุโขทัยตอนปลาย ภายในโปร่งขนาดส่วนสูง ๑๗๐ เซนติเมตร ประดิษฐานยืนอยู่บนแท่น ภายในพระอุโบสถวัดบ้านแหลม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม

สมัยก่อนเมื่อผู้ใดได้รับความเจ็บป่วย หรือทุกข์ร้อนประการใด ก็มากราบนมัสการบนบานต่อหลวงพ่อ ความเจ็บป่วยหรืออาการทุกข์ร้อนนั้นก็พลันหายไปหรือไม่ก็ทุเลาเบาบางลงจนเป็นที่นับถือของประชาชนทั่วไป

ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วกล่าวบทบูชาดังนี้

สะทา วะชิระสะพุททะวะวะ วิหารเร
ปติฏฐิตัง นะระเทโวหิ ปูชิตัง ปัตตะหัตตัง
พุทธรุปัง อะหัง วันทามิ ทูระโต

หรือจะบูชาด้วยบทนี้ ๙ จบ ก็ได้

คาถาหลวงพ่อวัดบ้านแหลม
นะมะระอะ นะเทวะอะ

๔.หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย

หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก มีพระรูปลักษณ์งดงามมาก ขนาดหน้าตัก กว้าง ๒ คืบ ๘ นิ้ว สวนสูงจากพระสงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ ๔ คืบ ๑ นิ้ว ของชางไม้ ปัจจุบันได้ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถวัดโพธิ์ชัย(พระอารามหลวง) เป็นพระพุทธรูปที่ชาวจังหวัดหนองคายนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากและเป็น ที่เคารพสักการะอย่างยิ่ง

คาถาบูชาหลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย(พระอารามหลวง) จังหวัดหนองคาย

(ว่านะโม ๓ จบ) แล้วว่า

อะระหัง พุทโธ โพธิชโย เสยะคุโน โพธิสัตโต มหาลาโภ ปิยัง มะ มะ ภะวันตุโน โหตุ สัพพทา

๕.หลวงพ่อสมปรารถนา วัดสว่างหัวนาคำ จ.กาฬสินธุ์

ประวัติความเป็นของหลวงพ่อโพธิ์ศรีวิไลย์ (หลวงพ่อสมปรารถนา)เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ที่มีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่บังเกิดปาฎิหาริย์มากมายดุจเทพบันดาล ที่พระเกจิอาจารย์หนุ่มผู้มากด้วยบารมีธรรม พระอาจารย์มหาวัฒน์ วิวฑฺฒนเมธี ป.ธ.๙ วัดสว่างหัวนาคำ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ขุดอัญเชิญขึ้นได้ที่วัดศรีวิไลย์ ในเช้าวันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ก่อนวันวิสาขบูชา ๗ วัน พ.ศ.๒๕๕๖ (โดยได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณว่า เป็นพระพุทธรูปเก่า อายุน่าจะประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ ปี)...พระพุทธรูปองค์นี้ท่านพระอาจารย์มหาวัฒน์ กล่าวว่า มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะมีเทวดาท่านเฝ้าบริบาลรักษาหลายหมื่นองค์

วิธีขอพรหลวงพ่อโพธิ์ศรีวิไลย์ หรือหลวงพ่อสมปรารถนา

ใช้พวงมาลัย ๓ , ๕, ๙ หรือ๕๖ พวง

หรือจะใช้ดอกบัวขาว ๓, ๕, ๙, หรือ๕๖ ดอก

พร้อมด้วยการปิดทองให้เลยอายุไปหนึ่งแผ่น

เมื่อเสร็จแล้ว ไหว้พระ และนั่งสมาธิครู่หนึ่ง แล้วอธิษฐานขอพร (เวลาอธิษฐานขอพรจิตต้องเป็นสมาธิ) หรือเพื่อความแน่ชัด ให้พูดออกเสียงให้ตัวเราเองได้ยินชัดเจน

พระคาถายานี (รัตนปริตร)

ตั้งนะโม ๓ จบ

ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ

ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข

ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง

พุทธัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ

ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข

ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง

ธัมมัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ

ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข

ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง

สังฆัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ
















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: http://www.partiharn.com/contents/8428








สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุหินขนาดใหญ่กว่าลูกบาสเก็ตบอลหล่นลงจากผา พุ่งทะลุกระจกรถเมล์ กระแทกศีรษะคนขับรถเข้าอย่างจัง ทว่าเคราะห์ดีที่คนขับรถไม่หมดสติและพยายามกัดฟันประคับประคองรถต่อไปได้ราว 10 นาที เพื่อไปส่งผู้โดยสาร 14 คนบนรถถึงจุดพักรถที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างปลอดภัย





หลังเกิดเหตุแพทย์ระบุว่า คนขับมีอาการซี่โครงหัก 4 ซี่ และมีบาดแผลอื่นๆ หลายแห่ง

ช่วงนี้เนื่องจากมีฝนตกหนักจึงเกิดเหตุหินถล่มบริเวณถนนเลียบภูเขาหลายแห่ง จนเกิดเหตุสลดใจมาแล้วเมื่อครอบครัวสมาชิก 3 คน ต้องเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหินถล่มเมื่อเร็วๆ นี้



















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7486506/









 เปิดตัวเลขคนรัสเซียนับถือพระพุทธศาสนา หลังประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน บอกหนุน 100% พบว่ามีบวชเป็นพระแล้ว

"ปฐมพงษ์ โพธิประสิทธินันท์" ได้โพสต์ข้อความสัมภาษณ์ซึ่งได้บอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับการนับถือพระพุทธศาสนาของชาวรัสเซียไว้น่าสนใจ โดยข้อความนี้ได้เปิดเผยถึงประชาชนคนรัสเซียที่หันมาสนใจพระพุทธศาสนามีจำนวนการนับถือในตัวเลขที่ค่อนข้างสูง





•เมื่อ 4- 5 ปีก่อน วลาดิเมียร์ ปูติน บอกว่าจะให้การสนับสนุนการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในรัสเซีย 100% •เนื่องจากปูตินให้สัมภาษณ์ถึงพระพุทธศาสนาอย่างเปิดเผย ปัญญาชนคนชาวรัสเซียหันมาสนใจพระพุทธศาสนาจนฝึกสมาธิมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีชาวรัสเซียมาบวชเป็นพระแล้วอธิบายปรัชญาทางพระพุทธศาสนาให้ชาวรัสเซียฟัง ชาวรัสเซียที่หันมาสนใจพระพุทธศาสนาขณะนี้มีราว 1ล้าน 2แสนกว่าคนขึ้นไป

วิสาขบูชาที่ผ่านมา ปรากฏมีข่าวขึ้นว่าชาวรัสเซียหันมาสนใจและปฏิบัติธรรมกันมาก ในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ที่รัสเซีย เช่น เซ็นปีเตอร์สเบิรกส์ มอสโคว์ ฯลฯ ขอร่วมอนุโมทนา สาธุ























ขอบพระคุณแหล่งที่มา: ปฐมพงษ์ โพธิประสิทธินันท์

22/8/61









เมเลียนา วัย 44 ปี ชาวพุทธเชื้อสายจีน ถึงกับหลั่งน้ำตา ระหว่างรับฟังคำพิพากษาที่ศาลแห่งหนึ่งในอินโดนีเซีย หลังถูกตัดสินจำคุก 18 เดือน ต่อกรณีที่คร่ำครวญเกี่ยวกับเสียงดังจากการละหมาดของมัสยิดแห่งหนึ่ง

เอเอฟพี - ผู้หญิงคนหนึ่งในอินโดนีเซีย ประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นชนกลุ่มใหญ่ ถูกตัดสินจำคุก 18 เดือนในวันอังคาร(21ส.ค.) ต่อกรณีที่คร่ำครวญเกี่ยวกับเสียงดังจากการละหมาดของมัสยิดแห่งหนึ่ง คำพิพากษาภายใต้กฎหมายหมิ่นศาสนาอันเป็นที่ถกเถียง





เมเลียนา วัย 44 ปี ชาวพุทธเชื้อสายจีน ถูกพบว่ามีความผิดฐานดูหมิ่นศาสนาอิสลาม ต่อกรณีที่เธอไปร้องขอให้มัสยิดที่อยู่ใกล้ๆบ้านลดเสียงลำโพงลง เพราะว่ามันดังเกินไปและทำให้เธอแสบแก้วหู

คำพิพากษาในวันอังคาร(21ส.ค.) ดูเหมือนจะเป็นการเติมเชื้อความกังวลว่าแบรนด์มุสลิมสายกลางของอินโดนีเซียกำลังถูกคุกคามจากพวกสุดโต่งที่มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ

ศาลในเมืองเมดานบนเกาะสุมาตรา บอกว่าความเห็นของผู้หญิงคนดังกล่าวเมื่อ 2 ปีก่อน คือต้นเหตุให้เกิดการจลาจล ม็อบชาวมุสลิมที่ขุ่นเคืองพากันยกพวกปล้นสะดมวัดชาวพุทธหลายแห่ง ทั้งนี้จากสถานการณ์ความรุนแรงดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านเชื้อสายจีนบางส่วนในพื้นที่ ต้องหลบหนีด้วยความหวั่นเกรงว่าจะถูกทำร้าย

ทนายความจำเลยบอกว่าลูกความของเขาจะอุทธรณ์คำตัดสิน ขณะที่องค์การนิรโทษกรรมสากล เรียกร้องให้ศาลสูงเพิกถอนบทลงโทษดังกล่าว "มันเป็นคำตัดสินที่น่าขันที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง" อุสมาน ฮามิด กรรมการบริหารขององค์การนิรโทษกรรมสากลประจำอินโดนีเซียระบุในถ้อยแถลง





"การลงโทษจำคุกใครบางคน 18 เดือน สำหรับบางเรื่องที่เล็กน้อยมาก คือตัวอย่างที่โจ่งแจ้งเกี่ยวกับการใช้กฎหมายดูหมิ่นศาสนาอย่างตามอำเภอใจและปราบปรามฝ่ายเห็นต่างมากขึ้นเรื่อยๆในประเทศแห่งนี้"

อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก ได้รับรองศาสนาที่ได้รับการคุ้มครองไว้ทั้งสิ้น 6 ศาสนา ได้แก่ อิสลาม, คริสต์นิกายคาทอลิก, คริสต์นิกายโปรเตสแตนท์,พุทธ, ฮินดู และขงจื๊อ ขณะเดียวกันก็มีกฎหมายรับรองสิทธิเสรีภาพการแสดงออก

อย่างไรก็ตามการวิพากษ์วิจารณ์ศาสนา โดยเฉพาะอิสลาม อาจจบลงด้วยการติดคุก ทั้งนี้กลุ่มสิทธมนุษยชนต่างๆรณรงค์มาช้านานต่อต้านกฏหมายหมิ่นอิสลามของอินโดนีเซีย โดยพวกเขาอ้างว่าบ่อยครั้งมันถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดและเป้าหมายส่วนใหญ่คือชนกลุ่มน้อยต่างๆ










ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9610000083818








จากกรณีมหากาพย์หวย 30 ล้าน ที่ตอนนี้คดีอยู่ในการพิจารณาของศาลจังหวัดกาญจนบุรี ว่าใครคือเข้าของลอตเตอรี่ซึ่งถูกรางวัลที่ 1 ได้เงินรางวัลกว่า 30 ล้านบาท ระหว่าง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือ ลุงจรูญ กับ ครูปรีชา ใคร่ครวญ ผู้ที่อ้างว่าได้ทำลอตเตอรี่ 5 ใบ ตกที่ตลาดนัดเรดซิตี้ อ.เมืองกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2560 ซึ่งมาทราบภายหลังว่าถูกรางวัลที่ 1 เมื่อแม่ค้าลอตเตอรี่เจ้าประจำโทรศัพท์มาแจ้ง





ล่าสุด (20 ส.ค.) ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ซึ่งเป็นทนายความของลุงจรูญ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

"ปรีชารับสารภาพแล้ว คลิปคนก้มเก็บหวยได้ไม่ใช่ลุงจรูญ ใครก็ไม่รู้เป็นเงาตะคุ่มๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร เลยไม่ขอยื่นเป็นพยานหลักฐานในศาล ส่วนคลิปที่เคยกล่าวหาว่าลุงจรูญรับสารภาพที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี ในวันที่ 28 พ.ย. 2560 ก็ไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน ปิดเกมปรีชา หวย 30 ล้าน"









ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7482886/

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget