กรณีเพจเฟซบุ๊ก “ทนายนิด้า” โพสต์อุทาหรณ์หลังจากมีหญิงสาวรายหนึ่ง ได้เข้ามาร้องเรียนว่าเดือดร้อนหนัก หลังจากไปฉีดฟิลเลอร์เสริมหน้าอก แล้วเกิดปัญหาหน้าอกเน่า ฟิลเลอร์ไหลย้อยมาที่หน้าท้อง จนช่องท้องเน่าด้วยนั้น
ทีมข่าวเดินทางมาที่บ้านของผู้เสียหาย นางสาวฟ้า (นามสมมติ) อายุ 27 ปี เล่าว่า ตนได้ไปเสริมหน้าอกให้ใหญ่ขึ้น โดยเปิดดูรีวิวตามเว็บไซต์ ก่อนจะเจอคลินิกแห่งหนึ่ง ย่านสาทร เห็นว่ามีดาราศิลปินรีวิวเยอะ ตนจึงมองว่าเชื่อถือได้ จึงตัดสินใจเข้าไปทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก เมื่อต้นปี 2555 ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ ค่าใช้จ่าย 120,000 บาท
ซึ่งแพทย์ศัลยกรรม ระบุว่า เวลาผ่านไป อาจจะมียุบบ้าง ให้มาเติมเพิ่มได้ ผ่านไป 3 เดือน ตนกลับเข้าไปที่คลินิกอีกครั้ง แพทย์จึงได้เติมเพิ่มให้หน้าอก 2 ข้างมีขนาดเท่ากัน หลังจากนั้น ผ่านไป 7 เดือน ตนเริ่มเห็นความผิดปกติ หน้าอกเล็กลง และมีน้ำไหลอยู่ในท้อง ขณะที่นอนหรือเดิน ตนจะรู้สึกว่าเหมือนคนทานน้ำเยอะ
แต่สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นอีกคือ ขณะยืนขึ้นพุงข้างซ้ายเหมือนมีน้ำกองอยู่ บวมแบบผิดปกติ ซึ่งไม่มีอาการเจ็บ อักเสบ หรือเขียวช้ำใดๆ จากนั้นจึงได้กลับไปที่คลินิกอีก แพทย์ระบุว่าฟิลเลอร์ไหลทะลุออก ตนจึงปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางแก้ไข โดยการเจาะเอาฟิลเลอร์ออก
โดยจะทำการเจาะใต้ราวหน้าอกขวาและพุงซ้ายที่บวม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 60,000 บาท ซึ่งแพทย์ระบุว่า สามารถเสริมด้วยชิลิโคนได้ ตนก็อยากสวยด้วย จึงตัดสินใจทำหน้าอกต่อด้วยซิลิโคน ใช้เงินไปอีก 100,000 บาท
จนกระทั่งต้นปี 2560 ตนมีลูก และช่วงเดือนตุลาคมปี 2560 ตนก็มีกำหนดการคลอด โดยแพทย์ทำการผ่าตัด เปิดช่องท้องสำหรับทำคลอด แต่ขณะที่เปิดช่องท้อง แพทย์พูดกับตนว่าในท้องผิดปกติ ไม่เหมือนคนทั่วไป เพราะมีน้ำข้นๆ อยู่มาก ตนก็รู้สึกตกใจ
จากนั้นแพทย์จึงตรวจสอบและพบว่าสิ่งนั้นคือฟิลเลอร์ที่เคยทำศัลยกรรมครั้งแรก เมื่อปี 2555 จากนั้น แพทย์ช่วยเย็บแผล ตนก็รู้สึกเป็นไข้ มีน้ำไหลในตัว แผลบวม คล้ายจะทะลักออกมา
ทั้งนี้ ตนตัดสินใจติดต่อไปที่คลินิกเดิม แต่ทางคลินิกปฏิเสธจะแก้ไขให้ พร้อมบอกว่า แก้ไขหน้าอกอักเสบ แก้ที่ไหนก็ได้ ตนจึงเข้ารักษาที่โรงพยาบาล จนกระทั่งผ่านไปเกือบ 1 ปี ก็ดีขึ้น แต่ยังไม่หายทั้งหมด อีกทั้งหมดเงินไปเกือบ 700,000 บาท
อย่างไรก็ตาม นางสาวฟ้า ฝากถึงสาวๆ ที่จะคิดไปเสริมหน้าอกโดยการศัลยกรรมว่า ขอให้คิดเยอะๆ แม้ว่าจะดูที่รีวิว หรือมีดารามาแนะนำ สุดท้ายตนก็ยังต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ ดังนั้นจึงขอให้พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี เพราะหากพลาดก็อาจจะรู้สึกเสียใจไปตลอดได้
นอกจากนี้ ตนได้มอบหมายให้ทนายความส่วนตัว ไปดำเนินการฟ้องร้องทางคดีกับคลินิกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมรวบรวมหลักฐานบิลค่ารักษาพยาบาล ใบรับรองแพทย์ สัญญาประนอมหนี้ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ และเตรียมยื่นร้องต่อกองปราบปราม ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ด้วย
เบื้องต้นวางแผนว่าจะฟ้องในคดีแพ่ง และคดีอาญา แม้ว่าทางคลินิกจะมีการชดใช้ค่าเสียหายบางส่วนจำนวนเงิน 150,000 บาทแล้ว แต่ตนต้องหมดเงินไปประมาณ 700,000 บาท เพื่อรักษาอาการ แต่ก็ยังไม่หายเป็นปกติ
ที่มา:https://www.sanook.com/news/7476530/
0 comments:
แสดงความคิดเห็น