31/10/61









ผู้หญิงบางคน (อาจรวมถึงตัวคุณเองด้วยก็ได้นะคะ) ชอบโวยวาย ว้ายกรี๊ดในทำนองว่า ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา แล้วทำไมทั้งเพื่อน ทั้งแฟนถึงได้ซิ่งหนีกันไปหมด? เอ๊ะ! เราก็ดีกับเขาสารพัดอย่าง แต่ไหงมองเราเป็นยัยตัวแสบ ก็ไม่รู้ซินะ?

เอาเป็นว่า ถ้าเพื่อนๆ ของคุณนัดกันไปช้อปปิ้ง ดูหนัง ไปปิคนิค หรือว่าไปเชียร์กีฬา ฯลฯ แล้วไม่บอก ไม่ชวนคุณไปด้วย หรือว่าเขาคุยกันอยู่กิ๊วก๊าวระรื่นเชียว พอคุณเข้าไปร่วมด้วยสักพักเดียวเลยกร่อยกันหมด หรือผู้ชายคนที่คุณรักคุณ เข้ามารักได้ไม่นานเท่าไร พอรู้ว่าคุณเป็นยังไงเขาก็หายหัวไป

อย่างนี้ล่ะก็คุณต้องพิจารณาตัวเองแล้วละคะว่า ตัวคุณน่ะมี โทษสมบัติ เหล่านี้บ้างหรือเปล่า

1. เคร่งเครียดซีเรียสจัด

ขอให้เชื่อเถอะว่าคนที่มีอารมณ์ขันสามารถทำให้คนอื่นหัวเราะไปได้น่ะ ใครๆ ก็อยากเข้าวง แล้วคุณล่ะเคยเล่าเรื่องสนุกๆ กุ๊กกิ๊กให้เพื่อนคิกคักบ้างหรือเปล่า ก็ไม่ต้องถึงกับขำก๊ากเป็นตลกคาเฟ่หรอก แค่ให้ยิ้มหัวกันได้ก็เป็นเสน่ห์แล้ว แต่ถ้าอยู่ในที่ทำงาน คุณก็หน้าเครียดวางท่าเอางานเอาการซะเต็มประดา พอเลิกงานคุณก็ยังวางหน้าอย่างนั้นอีก เฉยชามึนตึง ไม่รู้ที่เล่นทีจริงใครทักก็พูดด้วยอย่างแกนๆ ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ ฯลฯ ลองเป็นแบบนี้ก็ไม่นานหรอกใครๆ จะตีกรรเชียงออกห่างจากคุณ เพราะหาความรื่นรมย์ไม่เจอเลยสักกระติ๊ด…เซ็งค่ะ

2. ขบกัดสะบัดเขี้ยว

มีนิสัยชอบจับผิดคนอื่น แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ออกมาตรงๆหรือเก็บเอาไปนินทาลับหลัง ถึงแม้ว่าคุณจะรู้จริงแล้วอดวิจารณ์ออกมามาได้ หรือว่าวิจารณ์เพราะคุณขี้อิจฉามีปมด้อยให้ใครดีใครเด่นไม่ได้ ต้องหาเหตุมาตำหนิติเตียนจนได้ แน่ล่ะ! คนที่ฟังคุณอยู่ก็ย่อมเอิ๊กอ๊ากสะอกสะใจไปด้วย แต่แล้วพวกที่ฟังนั้นแหละจะค่อยๆ ขยาดปากคุณ ไม่อยากจะคบด้วยเพราะเกรงว่าจะถูกคุณเก็บไปเป็นเหยื่อลับหลังไงคะ





3. ชอบจุ้นจ้านสั่งสอน

พวกนี้น่าจะไปเป็นอาจารย์แนะแนวหรือคุมห้องปฎิบัติการซะให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไปที่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำสั่งสอนเช่น ไปบ้านเพื่อนก็เล็งแลไปทั่วห้องรับแขก แล้วก็แนะเชียวว่าม่านหน้าต่างไม่เหมาะยังไง โต๊ะรับแขกตั้งมุมนี้ไม่เหมาะ ตู้โชว์ใบนั้นก็ไม่เข้ากับเครื่องลายครามที่อยู่ในตู้ ฯลฯ ต้องยังงั้นยังงี้ถึงจะถูกต้อง บางทีแนะไปถึงเรื่องอาชีพของสามี เพื่อน และการเรียนของลูกเพื่อนด้วยกันอีกแน่ะ ว่าควรทำไอ้โน่นจะรวยเร็วกว่า หรือว่าเรียนไอ้นี่จะหางานทำง่ายกว่า ชะดีชะร้ายกับสั่งสอนเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า เธอต้องอ้วนกว่านี้อีกนิดหรือผอมกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่งั้นฝาละมีเธอไปมีเมียน้อยแน่ๆ เฮ้อ…อีแบบนี้ใครอยากจะเปิดประตูต้อนรับในคราวต่อไปอีกละคะ…ถามตรงๆ เถอะ

4. ช่างติแถมขี้บ่น

นี่ก็เป็นคนอีกประเภทหนึ่งที่ทำลายเสน่ห์ของตัวเองให้เหือดหายไปได้อย่างชะงัดดีนัก ซึ่งโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เพราะไม่มีใครเขาจ้างวานใช้เลยสักนิกเดียว แต่เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง จิตไม่ว่าง แถม ผีเจาะปาก มาให้พูด คนประเภทนี้เห็นอะไรนิดหน่อยก็สามารถติได้เป็นคุ้งเป็นแคว เรียกว่าอะไรผ่านเข้ามาในสายเป็นจับมาเป็นข้อติฉินได้หมด จะมีมูลความจริงหรือเปล่า สมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่สนใจ ขอให้ได้ติได้ประเมินค่าในขั้นต่ำหรือในแง่ลบไว้ก่อนเป็นพอใจ อีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่ไม่ติอะไรตรงๆ หรือรุ่นแรง แต่ชอบบ่น บ่นได้สารพัดเรื่อง ขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง ฝนตกก็บ่นหยุดก็บ่นอีก เช่น เดินเข้าไปในกลุ่มเพื่อนๆ ที่เขากำลังคุยกันเพลินๆ เรื่องอะไรอยู่ก็ไม่สนใจแล้วเปิดปากบ่นเรื่องรถติดทำให้มาช้าเป็นวรรคเป็นเวร แล้วก็บ่นต่อเรื่องแอร์ในห้องทำไมไม่ค่อยเย็น… โอ๊ย! สารพัดจะหยิบยกขึ้นมาบ่น แล้วเพื่อนหน้าไหนล่ะคะจะทนฟัง คนอย่างนี้แหละที่เพื่อนจะหายหน้าไปทีละคนสองคนจนหมดเพื่อน ถ้ามีสามี…สามีอาจจะขอปลีกวิเวกไปนั่งวิปัสสนาในคาราโอเกะก็ได้ สบายหูกว่าฟังเสียงบ่นเยอะเลย





5. ไม่เห็นความสำคัญของใคร

คติเก่าๆ ที่ยังขลังอยู่เสมอคือ ถ้าอยากให้เขารักคุณ คุณก็ต้องรักเขาก่อน เป็นจิตวิทยาขั้นพื้นฐานเลยทีเดียว…หากคุณต้องการเป็นที่รักของใคร คุณก็ต้องรู้จักเป็นผู้ฟังที่ดีในขณะที่เขาพูด แสดงความสนใจในสิ่งที่เขาพูดเล่า ถ้าเสริมคำถามที่เหมาะเจาะได้ด้วยยิ่งดี แต่ถ้าขณะที่เขาพูดอยู่นั่นคุณทำเป็นเมินเฉย ไม่ใส่ใจที่จะฟังหรือเมินมองไปทางอื่น ทำเหมือนกับว่าที่เขาพูดอยู่นั้นเป็นเสียงนกแก้วนกขุนทองไม่เห็นจะน่าสนใจเลย ถ้าคุณยังทำอย่างนี้กับหลายๆ คน อีกหน่อยคุณก็จะกลายเป็นคนที่ถูกเมินเหมือนกัน ในเมื่อคุณไม่เห็นความสำคัญของคนอื่นได้ คนอื่นเขาก็คิดและทำอย่างคุณเป็นเหมือนกัน…เกลือจิ้มเกลือว่างั้นเถอะ

6. อะไรๆ ก็รู้ไปหมด

ความรอบรู้ของคนเราน่ะพอจะแบ่งออกเป็นได้ 2 ประการคือ รู้เรื่องชาวบ้าน ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่โดยเฉพาะเรื่องไม่ดีไม่งาม คุณทำเป็นรู้หมด แถมยังทำตัวเป็นหอกระจายข่าวเอาไปนินทาโพนทะนาให้คนอื่นๆ รู้ต่ออีกด้วย ซึ่งใครๆ ก็อยากฟังเพราะเรื่องพรรค์นี้อร่อยรูหู แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว พวกที่ฟังคุณอยู่นั้นก็ชักไม่ไว้วางใจคุณ ไม่อยากจะคบด้วย ถ้าต้องคบก็คบอย่างผิวเผินเพราะเกรงว่าถ้าสนิทมากๆ แล้วคุณจะเอาความไม่ดีของเขาไปแฉโพยในวงอื่น ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือ รู้เรื่องเนื้อหาสาระทั่วไป เช่น ข่าวสารบ้านเมือง เรื่องศิลปะบังเทิง กีฬา แฟชั่น ดูโหงวเฮ้งก็ได้ ดูลายมือก็เป็น ฯลฯ ครอบจักรวาลไปหมดจนกลายเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่ ถามอะไรตอบได้หมด ซึ่งก็น่าภาคภูมิใจไม่น้อยที่มีภูมิรู้ แต่บางทีการแกล้งไม่รู้ซะบ้างจะทำให้คุณมีเสน่ห์มากขึ้นไม่ใช่พอ ใครๆ พูดอะไรขึ้นมาคุณก็แจงเพิ่มแบบว่ารู้จริงรู้สึกมากกว่า หรือใครพูดอะไรคลาดเคลื่อนนิดๆ หน่อยๆ คุณก็ไม่ยอมปล่อยไปแต่กลับหักล้างแก้ไขทันควันโดยไม่เห็นแก่หน้าใครเลย…ระวังเถอะสักวันหนึ่งจะไม่เหลือใครนั่งฟังความรู้ของคุณเลยสักคน แล้วจะเหงาปาก เว้นเสียแต่คุณจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นครูบาอาจารย์ก็แล้วไป

7. ถือตัวเองเป็นใหญ่

ถ้าคุณคาดหวังจะให้ทุกคนเออออห่อหมกไปกับคุณทุกอย่าง เห็นพ้องด้วยกับคุณทุกประเด็นที่คุณเสนอ หรือชี้แนะหรือนิยมชมชอบในสิ่งเดียวกับคุณ ฯลฯ นั้นถือได้ว่าคุณคาดหวังมากเกินไปแล้ว เพราะแต่ละคนก็มีสติปัญญา มีความคิดความเชื่อ และรสนิยมเป็นของตัวเอง พอไม่ได้ดังใจคุณก็โกรธเขา โดยไม่ยอมเปิดใจให้กว้างฟังเหตุผลของคนอื่นๆ ถ้าคุณยังถืออัตตาธิปไตยเหนือประชาธิปไตยอย่างนี้ละก็ต่อไปคุณก็ได้อยู่คนเดียวสมใจ เพราะไม่มีใครยอมให้คุณจูงจมูกหรอก หากว่าเขาไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากคุณ ที่มันคุ้มกับการแกล้งโง่!

8. มองโลกในแง่ร้าย

อันที่จริงคนที่มองโลกหรือมองคนอื่นในแง่ร้ายไว้ก่อนนั้น พอจะกล้อมแกล้มอ้างได้ว่าเป็นคนถี่ถ้วนรอบคอบไม่ประมาณ เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ นั้นก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าคุณเห็นอะไรเลวร้ายน่าหวดระแวงขวางหูขวางตาหรือไม่น่าไว้วางใจไปหมด เช่น เพื่อนจริงใจด้วยคุณก็หาว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำ เพื่อนเก่าแวะมาเยี่ยมก็วิตกร้อนรุ่มว่าเขาจะมายืมเงินหรือเปล่า อะไรทำนองนี้ จะทำให้คุณขาดเพื่อนลงไปเรื่อยๆ เพราะคุณเห็นใครก็ระแวงไปหมดจนไม่อยากคบใคร ถ้าเป็นอย่างนี้ล่ะก็ ตัวคุณเองนั้นแหละจะเสียทั้งเพื่อนและเสียทั้งสุขภาพจิต ลองหัดมองโลกและคนอื่นในแง่ดีบ้าง ถึงแม้พวกเขาจะมีส่วนไม่ดีอยู่บ้างก็ควรอภัยซะ โดยถือคติที่ว่า ไม่มีใครดีพร้อม แม้แต่ตัวเราเองถ้าทำได้อย่างนี้คุณก็จะเป็นคนน่าคบในหมู่เพื่อน และคุณเองก็จะคบคนได้ง่ายมากขึ้นด้วย

9. โอเว่อร์เกินไป

จะว่าไปก็เหมือนพวกที่ไม่รู้จักทางสายกลาง หรือไม่รู้จักกาลเทศะนั้นแหละ คือชอบทำอะไรที่มันเกินพอดี…แต่ตัวหรูเริ่ดไปซะทุกงาน อวดเก่ง อวดรู้จนน่าหมั่นไส้ พูดมาก หัวเราะมาก ร้องไห้มากจนน่ารำคาญ เพราะไม่สมเหตุผล เสแสร้งประจบสอพลอจนจับได้ ชวนให้เอียน บ้างก็บ้าอำนาจหลงตัวเอง ยกตนข่มท่าน หรือชอบแนะชอบสอนจนไม่มีใครอยากเข้าใก้ล ฯลฯ แล้วจะโทษใครถ้าต้องถูกปล่อยเกาะ

เพียงแค่นี้ก็คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเพียงพอแล้วนะคะว่าทำไมบางคนจึงมีเพื่อนน้อยลงเรื่อยๆ ลองสำรวจตัวเองนะคะ ถ้ามีข้อหนึ่งข้อใดหรือหลายข้ออยู่ในพฤติกรรมของคุณละก็ เปลี่ยนเสียเถอะค่ะ แล้วคุณจะกลายเป็นที่รักของใครต่อใครเพิ่มมากขึ้นอย่างนึกไม่ถึงทีเดียว…เริ่มวันนี้เลยนะคะ..??













ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/15353








ช้างป่า 2 ตัวออกหากินในหมู่บ้าน ปรากฏว่าต้องเผ่นหนี เพราะพระสงฆ์วัดป่าบุญฤทธิ์ เดินถือไม้เรียวตามไล่ ทำให้ช้าป่ากลัว้ต้องวิ่งกลับเข้าป่า

กลุ่มอาสาสมัครกลุ่มอนุรักษ์สัตว์ป่าวังหมี ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา บันทึกภาพเหตุการณ์ขณะช้างพลายป่าจากเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตัวใหญ่อ้วนสมบูรณ์ อายุราว 8-10 ปี ชื่อว่า “เจ้างาเบี่ยง” เดินนำหน้า และ “เจ้าอ้อน” เดินตามหลัง ออกมาหากินตามแนวรอยต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และที่อยู่อาศัยของชุมชนบ้านสันกำแพง หมู่ 12 ต.วังหมี อ.วังน้ำเขียว






ขณะเดียวกันก็มีพระสงฆ์วัดป่าบุญฤทธิ์ถือไม้เรียวยืนคอยอยู่ และส่งเสียงไล่ช้างอยู่ด้านหลัง ในระยะไม่ไกลมากนักเผื่อผลักดันช้างกลับเข้าสู่เขตป่า ซึ่งท่าทีของ เจ้างาเบี่ยง และ เจ้าอ้อน มีอาการหวาดกลัว วิ่งเผ่นหนีเข้าป่าพร้อมกับส่งเสียงร้องแสดงอาการตื่นกลัว แต่สักพักเจ้างาเบี่ยงยังย้อนมาเผชิญหน้ากับพระสงฆ์อีกรอบ แต่เมื่อเจอท่าทีนิ่งเฉยของพระสงฆ์ที่ยืนถือไม้เรียวและทำท่าจะตี เจ้างาเบี่ยงก็เป็นฝ่ายถอยหนีโกยแน่บเข้าป่า

ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้วเจ้างาเบี่ยงเคยมีประวัติทำร้ายชาวบ้านเสียชีวิตมาแล้ว 1 คน และในบริเวณดังกล่าวมีอาณาเขตติดกับแนวรอยต่อเขตป่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ระยะทางกว่า 8 กิโลเมตร มักจะพบเห็นช้างป่าออกมาหากินพืชไร่และบุกรุกเข้ามาใกล้บ้านเรือนที่อยู่อาศัยและวัดวาอารามในชุมชน ต้องคอยผลักดันไล่ช้างทุกวัน














ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7559806/

20/10/61









เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนกัน เป็นเหตุให้ หลวงปู่ทวน อายุ 109 ปี พระเกจิชื่อดังของ จ.จันทบุรี มรณภาพ

สิ้นแล้ว!! หลวงปู่ทวน อายุ 109 ปี วัดโป่งยาง จ.จันทบุรี ละสังขารแล้ว เหตุเกิดที่หน้าเมืองใหม่อุบัติเหตุ

ออกตรวจสอบเหตุ ว.40หน้าเมืองใหม่นายายอาม รถยนต์+รถยนต์บาดเจ็บเป็นพระ1รูปทราบชื่อต่อมาคือหลวงปู่ทวนวัดโป่งยางอาการสาหัสกู้ภัยสว่างนำส่งรพ.นายายอาม..เบื้องต้นรับแจ้งว่าเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ขอน้อมกราบส่งดวงวิญญานหลวงปู่ทวนสู่พระนิพพานครับผม (งดใช้คำว่าสาธุ)





ประวัติโดยสังเขป

หลวงปู่ทวน ปุสสวโร” วัดจันทคุณาราม (วัดโป่งยาง) อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี พระเถระผู้มีพุทธาคมเข้มขลัง ศิษย์สายตรงหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ, พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์สายพระป่าแห่งถิ่นอีสาน ปัจจุบันสิริอายุ 109 ปี นามเดิม ทวน โสภา เกิดวันพฤหัสบดีที่ 14 พ.ค.2451 ปีวอก ที่ ต.ชอนสารเดช อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี

พ.ศ.2466 บรรพชาอยู่กับหลวงพ่อทรัพย์ พระอุปัชฌาย์ วัดชอนสารเดช ได้ 1 ปี เดินทางไปปรนนิบัติรับใช้และฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เรียนอักขระเลขยันต์และวิทยาคม

พ.ศ.2471 อุปสมบทที่วัดเขาพระงาม อ.เมือง จ.ลพบุรี มีหลวงปู่อ่ำ (พระเทพวรคุณ) วัดเขาพระงาม เป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้นออกธุดงค์ ฝากตัวเป็นศิษย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เสร็จแล้วเดินทางกลับวัดชอนสารเดช และลาสิกขาในเวลาต่อมา

อุปสมบทครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2533 ที่วัดวังน้ำเย็น อ.สระแก้ว จ.ปราจีนบุรี โดยมีพระธรรมญาณประยุกต์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังอุปสมบท ออกธุดงควัตรไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นเวลานาน 11 ปี ปฏิบัติกิจวิปัสสนากัมมัฏฐานตลอดเส้นทาง จนมาจำพรรษาอยู่ที่วัดจันทคุณาราม (วัดโป่งยาง) จนถึงปัจจุบัน















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.springnews.co.th/view/368097?sp

12/10/61









เล่ากันว่าในนาทีสุดท้ายของชีวิตหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านเอ่ยกับหมอที่ดูแลท่านเพียงวลีเดียวว่า “ปล่อยนะ”แล้วก็ละสังขาร ปล่อยชีวิตดับไปตามธรรมชาติ เหมือนเปลวเทียนที่ลมเย็นพัดวูบหายไปกายดับ แต่ใจดับมานานก่อนหน้านั้น จากโลกไปสบายๆ ราวกับขนนกเบา แต่หนักแน่นดั่งขุนเขา

คนที่สามารถเอ่ยคำว่า “ปล่อยนะ” ก่อนตายย่อมจะเข้าใจความหมายของชีวิตอย่างดียิ่งจนไม่คิดจะยึดอะไรไว้

เพราะว่าชีวิตไม่มีอะไร

‘ปล่อยนะ’ หรือ ‘ปล่อยแล้วนะ’ ก็คือการละวาง ปลดปล่อยชีวิตห้วงสุดท้ายไปสู่ความว่างเปล่า

มาจากความว่าง จากไปกับความว่าง

เมื่อว่างเปล่า ก็ไม่เหลือเชื้อไฟให้มายา

เกิดมาไม่มีอะไร แต่ตายไปโดยเข้าใจทุกอย่าง






หลักธรรมสำคัญที่สุดในทางพุทธสำหรับคนเดินดินเราๆ อาจจะสรุปเป็นวลีเดียวว่า ‘ไม่ยึดมั่นถือมั่น’

วลีนี้กินความทุกอย่าง เป็นเรื่องทั้งหมดของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน รวยหรือจน

เป็นวลีที่ใช้ได้ชั่วชีวิต ไม่ต้องรอตอนกำลังจะสิ้นลมหายใจ

มนุษย์ทุกคนเป็นส่วนประกอบของเซลล์ประมาณ 37,200,000,000,000 เซลล์ ก่อนหน้าที่เราแต่ละคนเกิดนั้นไม่มีอะไร เมื่อมันมาชุมนุมกัน เราจึงยึดมั่นถือมั่นเป็นครั้งแรกว่ามันคือ ‘เรา’

ครั้นถึงเวลาอันสมควรบนโลก เซลล์ก็เลิกชุมนุม กลับคืนสู่สภาพไม่มีอะไรตามเดิม

ดังนั้นจะบอกว่า ‘มีอะไร’ และ ‘ไม่มีอะไร’ ก็ไม่ได้ทั้งคู่ มันคือความว่างเปล่าแต่แรก ชีวิตเราเป็นเพียงมายาฉากหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างนอกเหนือจากนี้ก็คือสิ่งที่เราปรุงแต่งและยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นตัวกูและของกู

คนที่เข้าใจโลกดีย่อมสามารถ “ปล่อยนะ” เร็วกว่าคนอื่นเรียกว่ามีชีวิตในโลกแต่อยู่เหนือโลก

‘ตาย’ ก่อนตาย: ตายจากการครอบครองของกิเลส ตายจากสภาวะตัวกู-ของกู

ตายในที่นี้ไม่ใช่การดับลมหายใจ แต่คือการอยู่เหนือสภาวะความเป็นมนุษย์และตัวตนใดๆ เป็นอิสระโดยสมบูรณ์

คนที่มีเงินมากๆ จมชีวิตในกองสมบัติของตน ก็เท่ากับมีชีวิตแห่งพันธนาการ ยามละสังขารก็ยังไม่สามารถละวางเรื่องทางโลกซึ่งเป็นมายาได้

แต่หากสามารถปลดปล่อยพันธนาการของสมบัติ อยู่เหนือสมบัติ ก็เท่ากับได้ละพ้นโลกตั้งแต่ยังมีลมหายใจปกติ

คนประเภทนี้ถือว่ามีวาสนาอย่างแท้จริงเข้าใจแล้วนะ

ปล่อยนะ

















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.winnews.tv/news/25099








ต้องดูเป็นกรณีไปครับ บางคู่อาจเกิดจากบุพเพสันนิวาสจริง บางคู่ก็อาจเป็นแค่เหตุปัจจัยทางเน็ต มันเอื้อให้เกิดความรู้สึกจับใจ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ถ้าเป็นบุพเพสันนิวาส หมายถึงเคยอยู่ร่วมกัน และชาตินี้มาพบแล้วอยากถ้อยทีถ้อยอาศัย ถูกใจ อยากเกื้อกูลกัน เกิดความผูกพัน คบหาจริงจัง แล้วลงเอยที่การมาอยู่ครองเรือนอย่างมีความสุข ข้อนี้จะไม่มีความแตกต่างระหว่าง การคบหาในเน็ต หรือ นอกเน็ต

พูดง่ายๆ คือ อินเตอร์เน็ตเป็นเพียงช่องทางให้คู่เก่ามาพบกันเท่านั้น ไม่ต่างจากที่คู่เก่าพบกันเพราะบ้านอยู่ใกล้ หรือเพราะบังเอิญไปวิ่งในสวนสาธารณะ หรือเพราะมาเจอในงานแต่งงานเพื่อน

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..






ถ้าไม่ใช่บุพเพสันนิวาสอาละวาดถึงที่สุด ก็อาจออกทำนองที่ว่าคุยกันทางเน็ตแล้วปิ๊ง ยิ้มแย้มชุ่มฉ่ำหัวใจพองโตไปทั้งวัน แต่พอเจอกันจริงๆ กลับยิ้มไม่ออก หัวใจห่อเหี่ยวแบบสูบลมอย่างไรก็ไม่ขึ้น คบไปคบมาเดี๋ยวเดียวก็เบื่อ และกลายเป็นเพื่อนทางเน็ตกันต่อแบบไม่มีการรอสัมพันธ์ขั้นอื่นอีกอย่างนี้ประกันได้ว่าคู่นั้นเจอโรคหลงเพ้อ โดยอาศัยอินเตอร์เน็ตเป็นพาหะแพร่เชื้อแน่แล้ว

ความรู้สึกอบอุ่นใจทางเน็ตก็ดี ความวาบหวามกับคำพูดเล็กๆน้อยๆ ที่แสดงความอาทรผ่านเน็ตก็ดี  เสน่ห์น่าติดหลงของคนที่คุณไม่รู้ว่าตัวจริงเป็นอย่างไรก็ดี  เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยบุพเพสันนิวาส ฉะนั้นอย่าแปลกใจหากเจอตัวจริงแล้ว คุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเหมือนกับที่เคยรู้สึกยามสนทนากันผ่านเน็ต  เพราะในชาติใกล้เขากับคุณอาจไม่ร่วมบุญมากพอจะทำให้รู้สึกดียามเคียงกัน

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..






ทุกคนตกอยู่ใต้ ‘กฎแรงดึงดูดของกระแสกรรมสัมพันธ์’ เพียงแต่คนทั่วไปไม่มีจิตสัมผัสที่ละเอียดพอจะทราบได้

สื่อกลางจะเป็นอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่มีใจคิด มีใจเล็งอย่างไร ใจคิดใจเล็งนั่นแหละครับที่เรียกว่า ‘มโนกรรม’ เราพบคนผิวเผินด้วยกัน ก็ด้วยมโนกรรมจูนตรงกัน เราพบคนจริงจังด้วยกัน ก็ด้วยมโนกรรมอยู่ในย่านเดียวกัน

วัฏจักรของการดูดเข้าหาและผลักออก ปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องราวระหว่างญาติมิตร และบุคคลที่เคยรักใคร่ชอบพอ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

กรรมเก่า อาจทำหน้าที่สร้างฉากละคร ‘ตอนแรก’ แต่ กรรมใหม่ ก็สามารถเป็นตัวกำหนดว่า จะให้เหตุการณ์ดำเนินไปจนถึง ‘ตอนจบ’ ได้อย่างไร


อินเตอร์เน็ตอาจเปรียบเหมือนชาติก่อนทางอารมณ์  เป็นทุนให้คุณคบกันด้วยความเข้าอกเข้าใจง่ายกว่า รูปแบบการคบหาปกติ  แต่ไม่เป็นประกันว่าการคบหาปกติ จะรักษาความรู้สึกดีๆ เมื่อครั้งยังคุยกันทางเน็ตไว้ได้

บุพเพสันนิวาสจะออกฤทธิ์ทางเน็ตหรือได้หรือไม่  คู่บุญของเราจะมาพบกัน ในออฟฟิศ ในห้องเรียน หรือในเน็ต  อันนี้กรรมเก่าอาจมีส่วนในการออกแรงเหวี่ยงมาปะทะกัน แต่กรรมใหม่นั่นแหละจะตัดสินว่า การพบกันมีความหมายชั่วคราวหรือถาวรตลอดชีวิตครับ

หลักศรัทธากรรมและวิบากที่เป็นสัมมาทิฏฐิสมบูรณ์ คือ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมเก่าและกรรมใหม่














ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com








ด้วยวิถีชีวิตและประเพณีอันดีงามของไทย โดยเฉพาะการสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ที่เราต่างถูกปลูกฝังจากผู้หลักผู้ใหญ่ให้หมั่นสวดมนต์ทุกคืน เพื่อช่วยทำให้กรรมดีหนุนนำให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญแก่ผู้สวด อีกอย่างคนไทยเรายังมีความเชื่อว่าการสวดมนต์ภาวนาและหมั่นทำแต่กรรมดีนั้นจะทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงๆ

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ 1 ครั้ง)

สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ 1 ครั้ง)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ 1 ครั้ง)

พุทธะบูชา มะหาเตชะวันโต
ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธ ขอให้ข้าพเจ้ามีเดชเดชะ





ธัมมะบูชา มะหาปัญญะวันโต
ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรม ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาอันยิ่งใหญ่

สังฆะบูชา มะหาโภคะวะโห
ข้าพเจ้าขอบูชาพระสงฆ์ ขอให้ข้าพเจ้าอุดมด้วยอริยสมบัติ

ติโลกะนาถัง ระตะนัตตะยัง อะภิปูชะยามิ
ข้าพเจ้าขอบูชาพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งของโลกทั้งสาม (31 ภพภูมิ)

วันทามิเจติยัง สัพพัง สัพพัฏฐาเน สุปติฏฐิตัง สารีริกะธาตุ
ขอบูชากราบไหว้พระสถูปซึ่งประดิษฐานพระบรมสารีริกะธาตุตามที่ต่างๆ

มะหาโพธิง ชินะโยจะ พุทธะรูปัง สะกะลังสะทา
ขอบูชากราบไหว้พระพุทธรูปทุกพระองค์และต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้

ทิสาทิโส เอหิ ภูมิโม อมมะภูมิมา อาคัจฉันตุ
ข้าพเจ้าขอสักการะบูชาพระภูมิเจ้าที่ พระแม่ธรณี และพระแม่คงคา ทุกทิศทุกทางทั่วสากลภิภพ

มนุสสานัง สะหะยัง ปิโยเทวา สีหะราชา เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ
ขอมนุษย์ทั้งหลาย องค์เทพเทวาทั้งหลาย สัตว์ใหญ่น้อยทั้งหลาย จงมีจิตที่เป็นมิตรสามัคคี กับข้าพเจ้าด้วยเทอญ

บทสวดสั้นง่ายต่อการจดจำ หมั่นสวดทุกวันดีต่อใจ พระรักษาและเทวดาคุ้มครอง สาธุๆ
















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/13261

11/10/61









การมีเเฟนซัก 1 คนนั้นการบริหารเสน่ห์ให้เเฟนของคุณติดคุณโดยที่ไม่ต้องไปมองสาวๆเพราะถ้าหากคุณไม่ทำตัวหน้าเบื่อเเฟนของคุณอาจจะไปมีคนอื่นก็เป็นได้ตอนนี้เราจะพาเพื่อนๆมาดู 7 วิธีทำให้เเฟนของคุณติดคุณโดยที่ไม่ต้องไปมีกิ๊กกันเลยทีเดียวจร้ามาดูกัน

1. ทำให้เขามีความสุขเวลาอยู่กับคุณ คุณต้องรู้วิธีเอาอกเอาใจแฟนตัวเอง ว่าเขาชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร หัดเป็นคนขี้อ้อนแต่อย่าให้ถึงขั้นน่ารำคาญ และทำให้เขามีความสุขทุกครั้งเมื่ออยู่กับคุณ เช่น ร่วมกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันและที่สำคัญอย่าห่วงสวยมากเกินไป เพราะผู้ชายอาจจะเกรงใจจนทำอะไรไม่ได้สะดวกมากนัก ดังนั้นคุณควรสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้เขาเสมอง





2. รู้จักเว้นระยะให้เขาคิดถึงการจะทำให้คนอื่นคิดถึงเรานั้น คุณจะต้องรู้จักเว้นระยะให้ความคิดถึงทำงาน โดยเฉพาะคนรักของคุณอย่าตามติดชีวิตเขาแจซะจนเรียกได้ว่าเป็นปาท่องโก๋ ต้องวางตัวอย่างมีชั้นเชิงให้เขารู้สึกคิดถึงคุณอยู่ตลอดให้ได้ ซึ่งวิธีจะช่วยให้เขาโหยหาคุณมากขึ้นด้วย

3. เว้นช่วงในการตอบข้อความ เมื่อเขาทักทายมาทางข้อความหรือโทรมาก็ตาม คุณควรเว้นช่วงในการตอบกลับบ้าง อย่าเอาแต่รีบร้อน เพราะเขาจะเข้าใจว่าคุณเองก็กำลังต้องการเขาเหมือนกัน ดังนั้น ใช้เทคนิคนี้ในการวางตัวซะ เขาจะได้คิดถึงคุณมากขึ้น

4. เป็นได้ทั้งรุกและรับแม้จะทำงานมาเหนื่อยทั้งวัน แต่ก็อย่ามองเรื่องเซ็กส์ในชีวิตคู่ว่าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อเด็ดขาด เพราะมันถือเป็นกิจกรรมที่ทำให้คุณทั้งคู่สานสัมพันธ์ร่วมกันดี ดังนั้นเมื่อถึงเวลาบนเตียง คุณต้องโชว์ลีลาเด็ดของคุณให้เขารู้ซะ แล้วภาพในหัวของเขาก็จะมีแต่หน้าคุณลอยวนเวียนอยู่ในนั้น





5. อย่าให้เขามองคุณเป็นของตาย อีกหนึ่งเทคนิคที่จะทำให้ผู้ชายอยากค้นหาสิ่งที่อยู่ในตัวคุณคือ เขาคิดว่าคุณไม่ใช่ของตายของเขาเลย ดังนั้นหากสาวๆ ต้องการให้ผู้ชายไม่เบื่อง่ายๆ หรือโหยหาคิดถึงตลอด ก็อย่าเผลอตัวทำให้เขามองคุณเป็นของตายเด็ดขาดนะ

6. ทำเซอร์ไพส์เล็กๆการทำเซอร์ไพส์เล็กๆ จะช่วยให้เขาปลื้มใจในการกระทำของคุณได้ และจะตระหนักดีว่าคุณได้ใส่ใจเขามากแค่ไหน ซึ่งวิธีนี้คู่รักที่อยู่ด้วยกันมานานๆ ยิ่งต้องทำ เพราะมันจะช่วยเพิ่มความหวานให้คู่คุณได้ไม่น้อย

7. บริหารเสน่ห์ให้เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างที่จะขาดไม่ได้เลยนั่นคือ เสน่ห์ที่อยู่ในตัวของสาวๆ คุณก็แค่ต้องรู้จักใช้มันให้เป็นและหมั่นบริหารให้เขาตกหลุมรักคุณทุกวัน ก็จะช่วยให้เขาคิดถึงเพียงแต่คุณคนเดียว












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/14064








อย่าช่วยคนอื่น จนตัวเองต้องเดือดร้อน

วันนี้ มีข้อคิดดีๆเกี่ยวกับการเป็นคนดีมากเกินไป

จนทำให้ตัวเองเดือดร้อน ต้องมานั่งเสียใจ ร้องไห้ ทีหลัง มาฝาก!!

สำหรับใครที่เป็นคนใจดีมาก ต้องอ่านกันเลยนะ

เพราะมันจะเป็นคติเตือนใจให้คุณคิดก่อนตัดสินใจได้อย่างดีแน่นอนจ้า!!

มุมร้ายๆ ของการเป็น “คนใจดี” มากจนเกินไป

1. ตกที่นั่งลำบาก

เพราะความใจดีของเธอ ทำให้ไม่ว่าใครก็เข้ามารุมล้อม ขอความช่วยเหลือจากเธอ

ซึ่งเธอเองก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือตลอด จนบางทีก็ลืมไปว่าการมอบความช่วยเหลือ

อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองและคนใกล้ชิดได้ทุกขณะ

ทุกคนอาจจะต้องเข้าไปตกที่นั่งลำบากเหมือนกันกับเธอ ไม่มีทางหนีพ้นด้วย






2. ต้องเหนื่อยกับปัญหาที่ไม่ใช่ของตัวเอง

ในบางครั้ง ความใจดีก็ทำให้เธอต้องคอยมาเหนื่อยกับปัญหาที่ไม่ใช่ของตัวเอง

ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย เผลอๆก็ไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ มันไม่ใช่แค่เหนื่อยกายนะ

แต่มันทำให้เธอเหนื่อยใจด้วย เพราะต้องมานั่งคิดหัวระเบิด

ลงมือกันจ้าละหวั่น ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเองเลยแท้ๆ

3. กลัวคนอื่นไม่พอใจ

ความใจดีของเธอ จะส่งผลต่อเธอในอนาคต

เพราะเธอช่วยเหลือคนอื่นจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว

กลายเป็นว่าถ้าวันไหนไม่ช่วย หรือช่วยไม่ดีพอ

ก็จะทำให้รู้สึกเหมือนคนอื่นต้องมองเธอไม่ดีแบบนั้นแบบนี้

ซึ่งมันเป็นความคิดที่แย่อะ เหนื่อยกับปัญหาของใครไม่รู้

ยังต้องมาเหนื่อยกับการหวาดระแวง กลัวความรู้สึกคนอื่นเสียหาย ไม่ได้ดูตัวเองเลย






4. เก็บการกระทำคนอื่นมาคิด

เมื่อเธอใจดี เธอก็จะกลายเป็นคนแคร์คนอื่นมากกว่าตัวเองไปไม่รู้ตัว

ทีนี้ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไร คิดอะไร ทำอะไร เธอก็มักจะเก็บเอามาคิด มาใส่ใจตลอดเวลา

ซึ่งแก้ไม่ได้นะข้อนี้ มันเป็นเหมือนสัญชาตญาณแห่งความใจดีของเธอไปแล้วนั่นแหละ

5. กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หลายครั้งหลายครา ความใจดีของเธอก็ทำให้เธออึดอัด น้ำท่วมปาก

กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะไม่สามารถบอกปัด หรือปฏิเสธใครได้เลย

อารมณ์นี้คือตัวเธอไม่ได้เกิดมาเพื่อตัวเองแล้วนะ

เหมือนเธอเกิดมาเพื่อเป็นของคนอื่นไปแล้วงั้นแหละ

6. ห่วงคนอื่น ลืมตัวเอง

บุคคลประเภทนี้จะเป็นคนใจดีที่พ่วงความสงสารมาด้วย

เพราะเป็นพวกอดทนเห็นคนอื่นลำบากไม่ได้เลย ทนไม่ได้

ยังไม่ทันเข้ามาขอความช่วยเหลือใดๆ เธอก็วิ่งพุ่งเข้าไปหา

พร้อมให้ความช่วยเหลือด้วยตัวเองตลอด นี่ไม่ใช่เรื่องดีนะ

แต่มันเป็นเรื่องที่อาจส่งผลให้เธอลืมตัวเอง ลืมครอบครัว ลืมคนใกล้ชิดไปเลยก็ได้

7. ใจร้ายเพราะปฏิเสธ

ตราบใดที่เราไม่ปฏิเสธใคร เราก็จะเป็นคนใจดี แต่เมื่อไหร่เผลอปฏิเสธไปครั้งนึงนะ

ภาพลักษณ์ความใจดีที่เธอสั่งสมมามันจะหายไปเลยภายใน 10 วินาที

นี่ขนาดเธอไม่ได้ตั้งใจจะปฏิเสธนะเนี่ย

มีเหตุผลมากพอที่จะปฏิเสธยังโดนมองไม่ดีเลยให้ตายเถอะ

8. หมดประโยชน์ก็หมดความรู้สึก

มีคนอยู่เยอะมากที่เข้ามาในชีวิตเรา วนเวียนในชีวิตเราเพราะต้องการผลประโยชน์จากเรา

คนแบบนี้เมื่อได้ประโยชน์จากเธอแล้ว เขาก็จะสะบัดก้น

หายเข้ากลีบเมฆไปโดยไม่มีแม้แต่คำลาอะไรทั้งนั้น

แล้วจะโผล่มาอีกก็ตอนที่มีปัญหา หรือต้องการอะไรจากเธอเหมือนเดิมนั่นแหละ













ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/14517








คุณพระช่วยที่แท้จริง! หลวงพี่ทำ CPR ยื้อชีวิตคนเจ็บสำเร็จ ดีกรีเพิ่งจบหลักสูตรปฐมพยาบาล

(10 ต.ค. 61) สมาชิกเฟซบุ๊กชื่อ วัดบุญมีไชย วนาราม โพสต์วิดีโอ กรณีพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บ ด้วยวิธีปฏิบัติการยื้อชีวิต หรือ CPR พร้อมข้อความว่า

"หลวงพี่ฮีโร่ (เพิ่งจบหลักสูตรปฐมพยาบาลจากทีมหน่วยแพทย์ฉุกเฉินมาถวายความรู้ กำลังเดินทางกลับวัดฯ ผ่านมาเจอเหตุแล้วลงไปช่วยผู้บาดเจ็บ) ฝากโยมทุกท่านถ้าเจออุบัติเหตุช่วยประเมินผู้ป่วยจับชีพจร บาดเจ็บหนักเบาแค่ไหนรีบโทร 1669 ถ้าหมดสติชีพจรไม่เต้นให้รีบปั๊มหัวใจ ด่วน นับ 1-30 อย่าให้ผู้ป่วยขาดอากาศนานเกิน 4 นาที ผู้ป่วยคนนี้ขาดอากาศนานประมาณ 20 นาที





จากคำพูดของชาวบ้านที่มาเจอก่อนอาตมา ซึ่งชาวบ้านคิดว่าผู้ป่วยคงเสียชีวิตแล้วเพราะนอนนิ่งและยืนรอรถฉุกเฉินประมาณ 20 นาทีเนื่องจากอยู่ห่างถนนหลัก304หลายกิโล แต่อาตมาคิดว่าแค่สลบไป จึงลงไปจับชีพจรดูก็ไม่ตอบสนองจึงรีบโทรหาหน่วยแพทย์ฯที่มาถวายความรู้ ให้รีบมาที่เกิดเหตุ ระหว่างที่รอจึงร่วมกันกับพระ4-5รูปปั๊มหัวใจ/ผู้ป่วย2คนมอไซค์หลุดโค้ง จุดเกิดเหตุบ้านคลองบง-คลองมะนาว อำเภอวังน้ำเขียว"

ซึ่งในเวลาต่อมา เพจเฟซบุ๊ก สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ -สพถ.1669 ได้ส่งต่อโพสต์ดังกล่าว พร้อมเขียนข้อความว่า คุณพระช่วยที่แท้จริง ภาพที่เพื่อนๆเห็นอยู่ในขณะนี้คือภาพของหลวงพี่ฮีโร่ที่เพิ่งจบหลักสูตรปฐมพยาบาลจากทีมหน่วยแพทย์ฉุกเฉินมาถวายความรู้ให้กับพระภายในวัด และระหว่างเดินทางกลับวัดเจอเหตุแล้วลงไปช่วยผู้บาดเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุบ้านคลองบง-คลองมะนาว อำเภอวังน้ำเขียวค่ะ ใครๆก็ทำ CPR เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินให้รอดได้นะคะ ขออนุโมทนากับหลวงพี่ท่านด้วยค่ะ

ภายหลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ทำให้มีสมาชิกเฟสบุ๊กเข้ามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เช่น กล่าวชื่นชมทักษะความแม่นยำในการ CPR ผู้บาดเจ็บ หรือแสดงความคิดเห็นว่าทักษะการ CPR นั้น ควรจะบรรจุในแบบเรียนของเด็กนักเรียนเพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถทำ CPR ได้ในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7537474/








ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (10 ต.ค. 61) เว็บไซต์ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความผิดพลาดในกระบวนการพิมพ์ลอตเตอรี่งวดวันที่ 16 ต.ค.นี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

"สืบเนื่องจาก สลากงวดประจำวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ งวดที่ ๓๙ ชุดที่ ๕๒ เกิดข้อผิดพลาดในระหว่างกระบวนการพิมพ์ ทำให้ตัวเลขสะท้อนแสงป้องกันการถ่ายเอกสาร (anti copy) หรือตัวเลขสีส้ม ไม่ปรากฏอยู่บนใบสลากบางฉบับ ซึ่งไม่ส่งผลต่อการตรวจรางวัลหรือการขึ้นเงินรางวัลแต่อย่างใด พี่น้องประชาชนท่านใด ที่ซื้อสลากดังกล่าวไปแล้ว หากถูกรางวัลจะสามารถนำมาขอรับเงินรางวัลได้ตามปกติ





อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการตรวจสอบสลากว่าเป็นสลากปลอมหรือไม่นั้น ในเบื้องต้น นอกเหนือจากตัวเลขสะท้อนแสง ป้องกันการถ่ายเอกสาร (anti copy) แล้ว ยังสามารถพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ประกอบกัน ได้แก่ การตรวจสอบคุณลักษณะทั่วไปของสลาก คือ ความหนาบางของกระดาษ รูปภาพบนสลาก ขนาดของตัวเลข ความชัดเจนของภาพ อีกทั้งสามารถตรวจสอบคุณลักษณะพิเศษของสลาก โดยสังเกตว่ากระดาษที่ใช้พิมพ์สลากจะมีลายน้ำในเนื้อกระดาษเมื่อส่องกับแสงไฟหรือแสงสว่างจะเห็นลายน้ำรูปนกวายุภักษ์ในเนื้อกระดาษ และเมื่อส่องกับแสงไฟสีม่วง หรือแสงยูวี จะมองเห็นเส้นไหมและลายเส้นพาดผ่านตัวเลขมีลักษณะเรืองแสง และเส้นมีความต่อเนื่อง หรือตรวจสอบด้วยการสแกนบาร์โค้ด ๒ มิติซึ่งจะต้องปรากฏข้อมูลตรงกับเลขบนสลาก

สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กราบขออภัยพี่น้องประชาชนผู้ซื้อสลากและผู้จำหน่ายสลากทุกท่าน ในความผิดพลาดดังกล่าวมา ณ โอกาสนี้ และหากประสงค์จะสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์รับแจ้งข้อมูลข่าวสารฯ หรือ call center โทร. ๐-๒๕๒๘-๙๙๙๙ หรือ ตรวจสอบหมายเลขสลากดังกล่าวได้ที่ www.glo.or.th"





ทั้งนี้ ที่หน้าเว็บไซต์ของกองสลากฯ มีการโพสต์ข้อมูลที่ระบุว่า ลอตเตอรี่หรือสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เกิดข้อผิดพลาดในระหว่างกระบวนการพิมพ์ จนเป็นเหตุให้ไม่ปรากฏตัวเลขสะท้อนแสง (anti copy) คือ สลากกินแบ่งรัฐบาล งวดที่ 39 งวดประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2561 ชุดที่ 52 จำนวนทั้งหมด 12,000 ฉบับ ดังนี้

เลขประจำฉบับที่ 400000-400299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 401000-401299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 402000-402299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 403000-403299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 404000-404299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 405000-405299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 406000-406299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 407000-407299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 408000-408299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 409000-409299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 410000-410299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 411000-411299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 412000-412299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 413000-413299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 414000-414299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 415000-415299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 416000-416299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 417000-417299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 418000-418299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 419000-419299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 420000-420299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 421000-421299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 422000-422299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 423000-423299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 424000-424299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 425000-425299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 426000-426299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 427000-427299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 428000-428299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 429000-429299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 430000-430299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 431000-431299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 432000-432299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 433000-433299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 434000-434299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 435000-435299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 436000-436299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 437000-437299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 438000-438299 จำนวน 300 ฉบับ

เลขประจำฉบับที่ 439000-439299 จำนวน 300 ฉบับ












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7537518/

9/10/61









เคยลองสังเกตไหมเมื่อมีเทศกาลกินเจทุกครั้งจะพบสัญลักษณ์แปลกๆที่พบปรากฏอยู่เป็นต้นว่าเสาไม้ไผ่ธงสีเหลืองพิธีกรรมทรงเจ้าเอาเหล็กแหลมแทงตัวเองเกี่ยวข้องกับประเพณีกินเจอย่างไรบทความนี้Horoscopethaizaจะเสนออย่างละเอียด

ธงเหลืองที่ร้านขายอาหารเจจะมีธงสีเหลืองพร้อมเครื่องหมายกำกับว่าบริเวณนี้อาหารเหล่านี้เกี่ยวข้องกับประเพณีกินเจสัญลักษณ์และตัวอักษรสีแดงแปลว่าเจบนพื้นสีเหลืองประดับบนธงเล็กๆความเชื่อคนจีนโบราณว่าสีเหลืองมีความหมายทางจิตวิทยาคือสีที่บ่งบอกความรู้สึกเบิกบานความบริบูรณ์มั่นคงความคิดคติความเชื่อคนจีนโบราณเชื่อว่าสีเหลืองคือสีที่เป็นตัวแทนแห่งอำนาจส่วนสีแดงมีความหมายทางจิตวิทยาคือสีที่กระตุ้นความรู้สึกความทะเยอทะยานสร้างความเร้าใจคนจีนจะใช้สีเหลืองกับพิธีศักดิ์สิทธิ์พิธีกรรมที่ใช้การร่ายเวทย์มนต์การขบเป่าสิ่งชั่วร้ายดังนั้นคนจีนโบราณเชื่อว่าสีเหลืองจะขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปจากคนที่ร่วมพิธีกินเจ






 เสาโกเต้งคือลำไม้ไผ่ยาวที่มีจำนวนสามสิบหกปล้องแขวนตะเกียงทั้งเก้าบูชาฟ้าดินความเชื่อชาวจีนโบราณเชื่อว่าเสาโกเต้งจะต้องมีสามสิบหกปล้องเพราะคือตัวแทนจำนวนชั้นฟ้าทั้งสามสิบหกเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะเทพเจ้าจะอาศัยเสาโกเต้งเดินทางลงสู่โลกมนุษย์ก่อนวันแรกเทศกาลกินเจผู้ที่ศรัทธาพิธีกินเจจะร่วมพิธีอันเชิญเสาโกเต้งเพื่อความเป็นมงคลส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ด้านข้างแท่นบูชาเทวดาฟ้าดินแต่ละศาลเจ้าหรือโรงเจเวลาค่ำคณะกรรมการประจำปีที่ได้รับอาสาจะเตรียมเครื่องเซ่นไหว้รับเทพเจ้าทั้งเก้าลงมาประทับในศาลเจ้าม้าทร

การแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ในพิธีกินเจโดยเฉพาะการแสดงเหล็กแหลมทิ่มแทงอวัยวะต่างๆตามร่างกายพิธีกรรมเหล่านี้เป็นความเชื่อคนจีนโบราณไม่ใช่เรื่องงมงายเกิดได้จริงพิธีกรรมเหล่านี้มีที่มาก่อนเจ้าจะประทับทรงผู้ที่อาสาเป็นร่างทรงหรือม้าทรงจะสวมชุดขาวบางคนสวมเครื่องแบบประจำอันแสดงเอกลักษณ์เจ้าองค์นั้นแล้วผู้ทำพิธีจะจุดธูปร่ายอาคมทำพิธีลงทรงเมื่อเจ้าประทับลงทรงร่างทรงหรือม้าทรงจะแสดงกิริยาอันเป็นเอกลักษณ์เทพเจ้าแต่ละองค์เป็นต้นว่าท่าวานรเป็นการประทับทรงเจ้าพ่อเห้งเจียท่าเสือเป็นการประทับทรงเจ้าพ่อเสือท่าทางแบบนักรบจีนโบราณเป็นการประทับทรงเจ้าพ่อกวนอูท่าทางซุกซนคล้ายเด็กเป็นการประทับทรงนาจา





ธงเหลืองจะขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปจากคนที่ร่วมพิธีกินเจเสาโกเต้งสร้างขึ้นเพื่อความเป็นมงคลและผู้ที่ทำหน้าที่อาสาเป็นร่างทรงหรือม้าทรงคืออาสาสมัครที่เชื่อว่าตนเองนั้นมีเคราะห์หรือเกิดตรงกับปีชงคนจีนโบราณเชื่อว่าเมื่อมาเป็นร่างทรงหรือม้าทรงจะหมดเคราะห์
















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: http://www.topicza.com/news81082.html








คนจีนโบราณสอนคือกลุ่มคนที่หลงใหลในความเชื่อที่ดำเนินสืบทอดกันมาจนชั่วลูกชั่วหลานและเช่นกันกับประเพณีกินเจที่ชาวจีนมีความเชื่อว่าจะได้บุญกุศลทุกปีจะกำหนดเทศกาลให้ลูกหลานกินเจในต้นเดือนเก้าตามปฏิทินจันทรคติจีนแล้วบุญที่ว่ามีอะไรบ้างบทความนี้Horoscopethaizaจะเสนออย่างละเอียด

คนจีนอยากจะให้ลูกหลานละเว้นจากการเบียดเบียนเนื้อสัตว์เพราะการได้มาซึ่งเนื้อสัตว์สักชิ้นสำหรับมนุษย์บริโภคจะต้องเสียชีวิตสัตว์ตัวนั้นไปแต่ทางโภชนาการสอนว่าเนื้อสัตว์อุดมไปด้วยโปรตีนมีประโยชน์กับร่างกายเท่ากับว่าสนับสนุนนำชีวิตหนึ่งมาต่อให้กับอีกชีวิตหนึ่งในทางศาสนาพุทธเชื่อว่าเป็นบาปเพราะหนึ่งในศีลห้าคือการละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตดังนั้นการกินเจนอกจากจะได้กุศลตามความเชื่อคนจีนโบราณแล้วการกินเจจะกินเฉพาะพืชผักจะได้ขับของเสียออกนอกร่างกายสารพิษจำพวกอนุมูลอิสระไม่คงเหลือการก่อมะเร็งก็ไม่เกิดกับร่างกายผู้ที่กินเจและสารตกค้างอื่นไม่หลงเหลือการก่อโรคภัยไข้เจ็บกับลำไส้ก็ไม่มี





อวัยวะสำคัญภายในอย่างหัวใจสงบจากเหตุการณ์การวุ่นวายใจเพราะการกินเจจะมีการประกอบพิธีทางศาสนาจิตจะเมตตาความเชื่อจากคนที่กินเจเป็นประจำเชื่อว่าอาจเพราะการเชือดสัตว์ธรรมชาติสัตว์ก่อนที่จะสิ้นใจทุกตัวจะเกิดอาการกลัวและหลั่งสารพิษออกมา

สารนี้ก่อให้เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวโมโหง่ายจิตใจจะโหดร้าย

   ปอดหยุดรับสารพิษจากยาเสพติดชนิดสูบความเชื่อจากแพทย์แผนโบราณยังกล่าวอีกว่าการกินเจร่างกายจะทนทานกับสารพิษจากไอเสียสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมฝุ่นละอองจากมลพิษในเมืองกรุง

   ส่วนตับได้หยุดขับแอลกอฮอล์การกินเจจะทำให้ได้รับสารเมทิโอนีนสารนี้ขับของเสียออกจากตับการขาดสารชนิดนี้ทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำมีริ้วรอยและสุดท้ายลำไส้ได้พักจากการย่อยเนื้อสัตว์สะอาดจากการล้างด้วยกากไยผักส่งผลให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ





   นอกจากนี้ร่างกายยังได้รับโปรตีนและสารอื่นที่มีประโยชน์ทางโภชนาการจากพืชมากขึ้นเป็นต้นว่าไลซีนกลูตามิกสารสองชนิดออกฤทธิ์ต้านความซึมเศร้าส่งเสริมให้เกิดอาการกระปี้กระเป่ากระชุ่มกระชวยเสริมบุคลิกผู้กินเจให้แลดูมีเสน่ห์สติมั่นคงการทำงานจะราบรื่น

   และแล้วสิ่งที่ไม่ดีโดนขับออกไปรับแต่สิ่งที่ดีเข้ามาความรู้สึกขุ่นมัวภายในใจก็จะหมดไปการกินเจจะทำให้ผู้กินเจกลับเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง

   ดังนั้นผู้ที่ทราบประโยชน์จากการกินเจแล้วคิดจะเริ่มกินเจควรเตรียมชุดขาวทำจิตใจให้บริสุทธิ์และล้างท้องจากการกินผักผลไม้งดเนื้อสัตว์ก่อนเทศกาลกินเจหนึ่งวันแล้วคุณล่ะเมื่อไหร่จะคิดกินเจบ้าง












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: http://www.topicza.com/news81084.html

6/10/61









...  มหาเศรษฐีชาวอินเดียวัย 61 ปี “สุภัช จันทรา” ผู้มีสินทรัพย์ ในครอบครองราว 60,000 ล้านบาท เจ้าของกิจการเครือข่ายโทรทัศน์ Zee TV ที่มีผู้ชม 500 ล้านคนต่อวัน และเจ้าของ Esselworld and Water Kingdom สวนสนุกและสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ได้ทุ่มทุน 750 ล้านรูปี (ราว 500 ล้านบาท) เพื่อสร้างศูนย์วิปัสสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีชื่อว่า เจดีย์วิปัสสนาสากล (Global Vipassana Pagoda) ซึ่งเป็นเจดีย์สีทองขนาดมหึมา ตั้งโดดเด่น เป็นสง่าท่ามกลางแมกไม้ในหมู่บ้านโกไร เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย

จันทราเกิดและเติบโตในครอบครัวที่มีเครือญาติช่วยกันทำการค้า ภายในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของอินเดีย ต่อมาเกิดภาระหนี้สิน จึงต้องแยกย้ายกันไป จันทราต้องออกจากมหา วิทยาลัยกลางคัน เวลานั้นเขาเหลือเงิน ติดกระเป๋าไม่ถึง 30 บาท ขณะมุ่งหน้าสู่กรุงนิวเดลีเพื่อทำงานหาเงินมาใช้หนี้ ให้ครอบครัว






... ในที่สุดเขาก็หาเงินก้อนใหญ่ได้จากการค้าข้าว เขาจึงย้ายไป ที่เมืองมุมไบ เพื่อตั้งโรงงานเล็กๆผลิตหลอดลามิเนทบรรจุผลิตภัณฑ์ ต่อมาในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย จันทราได้เปิดสถานีโทรทัศน์ซีทีวี (Zee TV) ซึ่งเป็นโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งแรกของอินเดียในปี 1992 ตอนนั้นครอบครัวของเขากังวลว่า เขาจะต้องสูญเสียธุรกิจเดิมที่สร้างมากับมือไป

.. อโศก คูเรียน เพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งซีทีวี เล่าว่า มันเหมือนการเดินเข้าสู่หุบเขาแห่งความตาย ยุคนั้นยังไม่มีสถานีโทรทัศน์ของเอกชน เพราะทางการไม่ให้ใบอนุญาต ดังนั้น จันทราจึงไปเปิดสถานีที่ฮ่องกงแทน รัฐบาลอินเดียได้เรียกตัวเขาไปสอบสวนหลายครั้ง และให้ปิดสถานี แต่จันทราปฏิเสธ แม้ในช่วงเริ่มต้นเขาต้องสูญเงินเดือนละ 180 ล้านบาทก็ตาม

มหาเศรษฐีชาวอินเดียวัย 61 ปี “สุภัช จันทรา”ผู้สร้างเจดีย์วิปัสสนาใหญ่ที่สุในโลก

... ในตอนนั้น จันทราได้รับการแนะนำให้รู้จัก “สัตยา นารายัน โกเอ็นก้า” วิปัสสนาจารย์ชาวอินเดีย ซึ่งได้ชักชวนให้จันทราเข้าคอร์สวิปัสสนาเป็นครั้งแรก “สุชีลา” ผู้เป็นภรรยาได้สนับสนุนให้สามีลองทำวิปัสสนา เพื่อล้างพิษจากความเครียดที่มีอยู่

... คอร์สแรกสำหรับเขาใช้เวลา 10 วัน ให้ผลดีมากกว่าแค่การขจัดความเครียด เพราะเมื่อจันทรากลับไปทำงาน เพื่อนร่วมงาน สังเกตได้ถึงความคิดของเขาว่า “แหลมคมเหมือนใบมีด”






... และเมื่อเรื่องงานทำให้เขารู้สึกเครียดมากขึ้น เขาก็ยังคงไปเข้าคอร์สทำวิปัสสนาอยู่เสมอ และแม้จะมีเรื่องงานที่ทำให้เขาไม่อาจหยุดได้ เขาก็จะพักงานไว้ก่อน

.   “บ่อยครั้งที่มีเรื่องทำให้ผมไปเข้าคอร์สวิปัสสนาไม่ได้ แต่ผมก็ยังไป” จันทราพูด

... อโศก คูเรียน เล่าว่า ช่วงปีแรกๆของการก่อตั้งซีทีวี เขารับไม่ได้กับการหายตัวไปของจันทราบ่อยครั้ง

“เรามักมีปัญหาที่ไม่ซ้ำกัน 40 เรื่องประดังเข้ามาพร้อมๆกัน แล้วจันทราก็หายตัวไปขณะที่เรายุ่งกับการแก้ปัญหา แต่แล้วเขาก็จะกลับมาในสภาพที่ได้ไปเติมพลังชาร์จแบตมาอย่างดี”

... กว่า 20 ปีที่มหาเศรษฐี ชาวอินเดียได้เรียนทำวิปัสสนากับโกเอ็นก้า วิปัสสนาจารย์วัย 86 ปี

“การทำวิปัสสนาสอนให้ผมมีจิตใจสงบนิ่งในทุกๆสถานการณ์ของชีวิต ซึ่งช่วยผมเป็นอย่างมากในเรื่องธุรกิจ โดยเฉพาะในยามวิกฤต ผมค้นพบว่า การทำสมาธิแบบนี้ เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ และผมรู้สึกว่า มันเป็นหนทางที่เหมาะสำหรับผม”

จันทราบอกว่า การทำวิปัสสนาช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ ทางธุรกิจจนร่ำรวยมหาศาล เขาจึงพยายามชักชวนคนในครอบ ครัวไปเข้าคอร์สวิปัสสนา และยังสนับสนุนให้พนักงานซีทีวี ลางานโดยได้รับเงินเดือน เพื่อไปเข้าคอร์สวิปัสสนา แต่มีไม่ถึง 15% ที่ลางานไป มหาเศรษฐีใหญ่พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “มันไม่ได้อยู่ในชะตาลิขิตของพวกเขา”

ในปี 1997 จันทราได้ยกที่ดินราว 33 ไร่ มูลค่า 150 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างศูนย์วิปัสสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจำลองแบบมาจากมหาเจดีย์ชเวดากองของพม่า

แบบเจดีย์วิปัสสนาสากล จำลองมาจากมหาเจดีย์ชเวดากองของพม่า

“ผมได้รับประโยชน์มากมายจากการทำวิปัสสนา จึงอยากให้คนอื่นๆได้มีโอกาสเข้าร่วมในประสบการณ์นี้เช่นกัน” จันทรากล่าวขณะนั่งในห้องทำงานที่สำนักงานใหญ่ของเอซเซิล เขามีท่าทีสงบนิ่งเช่นเดียวกับภาพวาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แขวนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา

จันทราเข้ามาดูแลการก่อสร้างเจดีย์ดังกล่าวทุกขั้นตอน เขาขับรถนาน 2 ชม.จากที่ทำงานไปยังเขตก่อสร้างเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

“นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเฉพาะ เพื่อให้อยู่ได้นานถึง 2,000 ปี” จันทราบอก

เมื่อเจดีย์สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 2008 มหาเศรษฐีหนุ่มใหญ่ ก็ได้จัดพิธีเฉลิมฉลอง โดยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ไปประดิษฐาน ณ ยอดโดมที่ใหญ่ที่สุด

... หลังการเฉลิมฉลองเจดีย์วิปัสสนาแล้ว จันทราได้ส่งมอบการบริหารกิจการทั้งหมดให้บุตรชายคนโต และในปีถัดมา เขาได้ ก้าวลงจากตำแหน่งประธานมูลนิธิวิปัสสนาสากล แต่ยังคงเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินและทำวิปัสสนาเป็นประจำทุกวัน เขาบอกว่า

“ผมสามารถทำวิปัสสนาได้ทุกที่ ทุกเวลา แม้ขณะกำลังพูดคุยอยู่กับคุณ”

.... • เจดีย์วิปัสสนาสากล

.... โครงการก่อสร้างเจดีย์วิปัสสนาสากล เริ่มวางศิลาฤกษ์ในปี 1997 โครงสร้างทั้งหมดประกอบด้วยเจดีย์รูปโดม ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ห้องโถงขนาดใหญ่ สำหรับปฏิบัติวิปัสสนา หอศิลป์จัดแสดงภาพพุทธประวัติและพุทธธรรมเจดีย์ขนาดเล็กสูง 60 ฟุต 2 องค์ ทางทิศเหนือและใต้ห้องสมุดและห้องเรียน ลานกว้างรอบๆพระเจดีย์ ตึกธุรการห้องใต้ดิน และห้องประชุม 2 ห้อง

จุดประสงค์ของการสร้างเจดีย์นี้ เพื่อแสดงความซาบซึ้งในมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมอันเป็นสากล เพื่อให้มวลมนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ และนำไปสู่ความสุขที่แท้จริง และเพื่อแสดงออกถึงความขอบคุณประเทศพม่า ที่ยังคงอนุรักษ์การทำวิปัสสนาแบบดั้งเดิมไว้ ในขณะที่ได้หายสาบสูญไปจากแหล่งกำเนิดในอินเดียแล้ว

เจดีย์องค์นี้สร้างโดยใช้เทคโนโลยีผสมผสานระหว่างอินเดีย

โบราณและสมัยใหม่ โดยใช้เทคนิคโบราณที่นำก้อนหินทรายแดงมาเชื่อมต่อกันด้วยปูนขาว หินแต่ละก้อนหนัก 700 กก. น้ำหนักรวมทั้งสิ้น 2.5 ล้านตัน เพื่อให้คงทนถาวรราว 2,000 ปี

.... รูปแบบเจดีย์วิปัสสนาสากล จำลองมาจากมหาเจดีย์ชเวดากองของพม่า โครงสร้างของพระเจดีย์ประกอบด้วยโดม 3 ส่วน

ส่วนแรกที่เป็นโดมใหญ่สุด สร้างเสร็จในปี 2006 มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน ณ ยอดโดม นับเป็นสิ่งก่อสร้างรูปโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งขุดพบในสถูปสาญจี และสมาคมมหาโพธิแห่งอินเดียได้มอบให้เพื่ออัญเชิญมาประดิษฐาน ณ เจดีย์แห่งนี้

ส่วนโดมที่สองและสามสร้างอยู่บนยอดของโดมแรก สร้างแล้วเสร็จในปี 2008

บริเวณศูนย์กลางของเจดีย์เป็นโดมหินไร้เสาค้ำยันที่ใหญ่ที่สุดในโลก องค์พระเจดีย์สูง 96.12 เมตร ซึ่งสูงเป็น 2 เท่าของโดมโกล กัมบาซ แห่งเมืองพิชปุระ ในรัฐกรณาฏกะ ของอินเดีย ซึ่งเคยเป็นปูชนียสถานรูปโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกส่วนที่กว้างที่สุดของโดมเท่ากับ 97.46 เมตร และส่วนที่แคบที่สุดเท่ากับ 94.82 เมตร ภายในเจดีย์เป็นที่โล่ง ไม่มีเสาค้ำยัน ใช้เป็นห้องปฏิบัติวิปัสสนา บนพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร รองรับได้มากกว่า 8,000 คน

..  โดยเริ่มประเดิมเปิดคอร์สปฐมฤกษ์ ปฏิบัติวิปัสสนากับอาจารย์โกเอ็นก้า ณ เจดีย์แห่งนี้เป็นเวลา 1 วัน เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2008 ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2009 ได้มีพิธีเปิดเจดีย์วิปัสสนาสากลอย่างเป็นทางการ โดยมี นางประติภา ปาติล ประธานาธิบดีของอินเดีย เป็นประธาน

... เจดีย์วิปัสสนาสากลถือเป็นปูชนียสถานที่มีชื่อเสียงของเมืองมุมไบ และนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ในแต่ละวันมีผู้คนมากมายได้เดินทางมาที่นี่ เพื่อปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งทางรัฐมหาราษฏระคาดว่าสถานที่แห่งนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ ปีละหลายแสนคน

.. (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 136 เมษายน 2555 โดย พิสุทธิ์)

ขอบคุณข้อมูลจากเพจชาวพุทธ













ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.winnews.tv/news/25078

4/10/61









จากกรณีสำนักงานเขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ ส่งหนังสือถึงเจ้าอาวาสวัดไทร ย่านพระราม 3 โดยระบุว่า ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ได้รับความเดือดร้อน กรณีที่ทางวัดไทร ทำการตีระฆัง ส่งเสียงดังรบกวน ตั้งแต่เวลา 03.30 น. – 04.00 น. เป็นประจำทุกวัน สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้พักอาศัยบนคอนโดที่อยู่ติดวัด จากนั้นทางสำนักงานเขตบางคอแหลม จึงขอความร่วมมือวัดให้ช่วยลดเสียงเพื่อป้องกันการสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้พักอาศัย จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโลกสังคมออนไลน์กันอย่างกว้างขวาง






คืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่วัดไทร ถนนพระราม 3 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กทม. พระสมจิตโต พระลูกวัด กล่าวว่า โดยก่อนเกิดเหตุเมื่อช่วงเข้าพรรษาปีที่แล้ว มีผู้หญิง ไม่ทราบชื่อ-นามสกุล ได้โทรศัพท์มาหาตน พร้อมทั้งสอบถามว่าทางวัดจัดงานอะไร ตนจึงชี้แจงไปว่า ตีระฆังเพื่อเตรียมทำวัดเช้าในเวลา 04.00 น. และตีย่ำค่ำในช่วงเวลา 18.00 น. ของทุกวันในช่วงเข้าพรรษา จากนั้นทางโยมได้บอกให้ทางวัดหยุดตีเนื่องจากส่งเสียงรบกวน แต่ตนตอบกลับไปว่า ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาช้านานและมีระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น

พระสมจิตโต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ระหว่างที่ทางวัดมีการจัดงานบวช งานกฐิน ซึ่งทางญาติโยมที่เข้ามาร่วมทำบุญ เป็นผู้นำกลองยาว แตรวง มาจัดงาน และมีเพียงแค่เดือนละครั้งเท่านั้น โยมรายดังกล่าวจะโทรศัพท์มาสอบถามอาตมาอยู่หลายครั้ง เมื่อตกลงกันไม่ได้ทางตนจึงแนะนำให้โยมไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สน.วัดพระยาไกร จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็เดินทางเข้ามาตรวจสอบพร้อมร้องขอให้ลดเสียงเบาลง ทางวัดก็ยอมปฎิบัติทำตามมาโดยตลอด





พระสมจิตโต กล่าวอีกว่า จนกระทั่งเมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมา มีจดหมายจากทางสำนักงานเขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ ให้ทางวัดช่วยลดเสียงอีกครั้ง เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่า ทางวัดได้ตีระฆังในช่วงเวลา 03.00 น. ซึ่งแท้จริงแล้วในช่วงเข้าพรรษาจะตีระฆังในเวลา 04.00 น. เพื่อเตรียมทำวัดเช้าในเวลา 04.30 น. และจะตีอีกครั้งในเวลา 18.00 น. ซึ่งก็เป็นธรรมเนียมตามปกติ

ด้านพระอธิการปรีชา ปุณณโล เจ้าอาวาสวัดไทร เปิดเผยว่า ก่อนมีการก่อสร้างคอนโดยังมีใบสำรวจมายังวัดและชุมชนรอบข้างเนื่องจากมีความสูงกว่าวัด ทางเจ้าอาวาสองค์เก่ายังยินยอมเซ็นใบอนุมัติเพื่อเป็นการอนุเคราะห์แก่ผู้พักอาศัย ทั้งนี้ทางคอนโดยังเคยนิมนต์พระที่วัดไปทำบุญอีกด้วย โดยตนคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องส่วนบุคคลของผู้พักอาศัยบางรายเท่านั้น ซึ่งหลังจากนี้ได้ทำการสั่งพระลูกวัดให้ช่วยลดเสียงในการตีระฆัง แต่จะไม่มีคำสั่งให้ยกเลิกเนื่องจากเป็นหลักในการปฎิบัติในช่วงเข้าพรรษา แต่หลังออกพรรษาก็ไม่มีการตีระฆังแม้แต่อย่างใด












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1639746

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget