17/3/63









การดำรงชีวิตที่ดีจะต้องปรับปรุงตัวตลอดเวลา การปรับปรุงตัวจะต้องมีความเพียรพย าย ามและ ความอดทนเป็นที่ตั้ง ถ้าคนเราไม่หมั่นเพียร ไม่มีความอดทน ก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้ว ไม่มีทางที่จะเจริญรุ่งเรืองแน่ๆ และการเป็นแม่ที่ดีนั้นต้องมีความอดทนอดกั้น ต้องรู้จักให้อภัย ใจเย็นให้มาก

ในชีวิตของเรานั้น เราจะรักใครมันก็ไม่ผิดหรอ กนะ แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุด ที่เราต้องจำให้ขึ้นใจเลยก็คือ

อย่าเห็นใครดีกว่าหรือรักคนอื่น มากกว่าพ่อแม่ เด็ดข า ด เพราะอย่าลืมนะว่าบนโลกใบนี้ คงไม่มีใครหรอก

ที่จะรักและหวังดีกับเราได้เท่ากับพ่อแม่อีกแล้ว ตลอดเวลาที่ท่านเลี้ยงดูเรามา ท่านย่อมต้องรัก

และผูกพันกับเรามากที่สุด แม้ว่าจะมีใครเข้ามาในชีวิตของเรา แล้วทำให้เรารู้สึกรักมากแค่ไหนก็ตาม

แต่เราก็ต้องเห็นพ่อแม่สำคัญมากกว่านะ เพราะพวกท่านเปรียบเสมือนรักแท้ที่มีอยู่จริง

โดยที่เราไม่ต้องไปเสาะหา ไม่ต้องไปต ามหาที่ไหน จงรักท่านให้มากๆ เหมือนที่ท่านทั้งสองรักเรา

เชื่อเถอะว่ารักคนอื่นอาจจะมีโอ กาสที่จะต้องเสียใจ และผิดหวัง แต่ถ้าคิดจะรักพ่อกับแม่ เราไม่มีวันเสียใจ หรือผิดหวังอย่างแน่นอน






1  เป็นแม่รู้จักขอโທษ

อย่าลืมนะคะ ว่าเราก็เป็นคนเหมือนกัน การกล่าวขอโທษ

เมื่อคุณทำผิດก็จะเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น ว่าเมื่อลูกทำผิດลูกก็ควรจะเอ่ยคำขอโທษเช่นกัน

2  เป็นแม่ที่อดทน

การเป็นแม่คือเรื่องท้าทาย แต่แค่คุณใจเย็นแล้วค่อยๆอธิบายให้ลูกฟัง

ทุกอย่าງก็จะผ่านไปได้ อย่างราบรื่น


2  เป็นแม่ที่อดทน

การเป็นแม่คือเรื่องท้าทาย แต่แค่คุณใจเย็นแล้วค่อยๆอธิบายให้ลูกฟัง

ทุกอย่าງก็จะผ่านไปได้ อย่างราบรื่น

4  เป็นแม่มีความเข้าใจ และคอยสนับสนุนลูก

รักลูกในแบบที่ลูกเป็น สนับสนุนลูกในสิ่งที่ลูกเลือ ก อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย ขอแค่คุณลองทำดู รับรองคุณเป็นฮีโร่ในใจลูกคุณแน่นอน






5  เป็นแม่ความรัก แบบไม่มีเงื่อนไข

ลูกๆย่อมอย ากได้ยินและรู้ว่าคุณจะรักเขาไปตลอด ไม่ว่าชีวิตของลูก

จะต้องผ่านเรื่อງราวอะไรมากก็ต าม ดังนั้นคุณเอง ก็สามารถบอ กรักลูกได้บ่อยๆนะคะ

6  เป็นแม่มั่นคงหนักแน่น

แม่ควรเป็นดังหินผา เพื่อให้ลูกใช้พักพิงเวลาที่ต้องการใครสักคน เริ่ม เ สี ยตั้งแต่วัยเด็ກ

เมื่อโตขึ้นเวลาที่ลูกเกิดปัญหาอะไร ลูกจะนึกถึงคุณเป็นคนแรก


7  เป็นแม่มีอารมณ์ขันในบางสถานการณ์

คุณสมบัติข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้คุณไม่ปรี๊ดแต กใส่ลูก

แน่นอนว่าคุณต้องเจอกับน้ำหวานหก ข้าวของกระจัดกระจายเต็มบ้าน หรือสาຣพัดปัญหาป ว ดหัว แค่คุณยิ้มสู้ไว้ก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้นะคะ

8  เป็นแม่คอยรับฟังเสมอ

จะหมั่นคุยกับลูกเสมอ เพื่อดูว่าชีวิตของลูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าງ พย าย ามเป็นผู้ฟังที่ดีของลูกเสมอ อย่าใช้ความรู้สึกของตัวเอง ตัดสินเรื่องที่ลูกเล่าให้คุณฟัງ

เพราะบางครั้งลูกแค่อย ากระบายเรื่องในใจให้ใครสักคนฟัง คุณสามารถกอด เพื่อให้กำลังใจก็เท่านั้นเอງ














ขอบคุณแหล่งที่มา:deesoulmuch.com








เรามีเวลาอยู่กับลูกเพียง 10 ปีแรกเท่านั้น

เรามีเวลาอุ้มลูกนอน 6 เดือนแรก

แล้วหลังจากนั้น เขาจะนอนได้เอง

เรา มีเวลาอุ้มลูกเดินเพียง 1 ปีแรก

แล้วหลังจากนั้น เขาจะเดินได้ของเขาเอง

เรา มีเวลากอดลูกเล่นได้นานๆ เพียง 2 ปีแรก

หลังจากนั้น เขาจะไม่ยอม ให้เรา กอดนานๆ

เรา มีเวลาพูดให้ลูกฟังตลอดเพียง 3 ปีแรก

แล้วหลังจากนั้น เขาจะไม่ฟังเราพูดแล้ว

เรา มีเวลาอยู่กับลูกตลอดได้เพียง 10 ปีแรก

แล้วหลังจากนั้นเขาจะไม่ยอมอยู่บ้านกับเรา

และก็อย ากอยู่กับเพื่อน มากกว่าอยู่กับเรา

เรา มีเวลาดูแลลูกได้เพียง 15 ปีแรก

หลังจากนั้นเขาอาจไม่อย ากให้เรา ดูแลเขาอีก

และเขาก็ อย ากมี ชีวิตของเค้าเอง

ผ่านไป 30 ปี หลังลูกเกิด เราอาจจะไม่ได้เจอลูกแล้ว





เพราะ ” เวลา ” ของใครสักคน อาจหมดลง

ทำทุกๆ วัน ที่ได้อยู่กับลูก ให้มีค่าที่สุด

เพราะ.. ”เวลา” นั้น..ผ่  านไปเร็วเสมอ

แม้ชีวิต จะสั้น แต่ความรักความผูกพันนั้นยาว

บุญ 12 ประการ ที่คนเป็นลูกกตัญญูจะได้รับ

พ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็กๆ นั้นคือพระอรหันต์อันยิ่งใหญ่ของบ้าน

โดยตามความเชื่อของทุกศ าสนาจะมีการสั่งสอนให้ทุกคนเป็นคนดี

ให้เราปฏิบัติต่อคนที่รักเราในครอบครัวเป็นอย่ างดี การที่เราได้ดูแลพ่อแม่

ได้เลี้ยงดูพ่อแม่ ก็ถือเป็นความกตัญญูและเป็นบุญอันยิ่งใหญ่


เป็นการสร้างสิริมงคลให้กับตนเราเอง ทำให้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตยิ่งขึ้นไป

และในวันนี้เรามีผลดีที่คนเป็นลูกที่มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ มาให้ทุกๆ ท่าน

ได้ทราบและนำไปเป็นแนวทางการปฏิบัติสำหรับการใช้ชีวิตต่อไปต่อไปด้วย

ซึ่งจะสามาร  ถแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วง

1 ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้ตัวเราดูแลเลี้ยงดู คอยช่วย

เหลือกิจการงานของท่าน ดูแลปฏิบัติการกินอยู่เป็นอย่ างดี

ให้ความสะดวกสบายเ   อาใจใส่มีเวลาให้ท่าน

สร้างความสุขสร้างรอยยิ้มให้กับท่าน

2 ขณะที่ท่านล่ ว ง ลั บแล้ว ให้จัดพิธีให้ท่าน หมั่นทำบุญอุทิศส่วนบุญ

ส่วนกุศลให้กับท่านสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่ดี เรานั้นควรต้องทำอยู่แล้ว

อานิสงส์ของการดูแลพ่อแม่ ดูแลผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเรามา มี 12 ประการ






1 ทำให้พ้นทุ กข์พ้นภั ยได้

2 ทำให้มีความอดทน จากการทำสิ่งต่างๆ ได้ดี

3 ทำให้ได้ล าภโดยง่าย

4 ทำให้มีความสุขในการใช้ชีวิต

5 ทำให้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ในหน้าที่การงาน

6 ทำให้แคล้ ว ค ล า ด ภั ยในย ามคับขัน

7 ทำให้เป็นคนมีเหตุผล ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

8 ทำให้เทวดาลงมาพิทักษ์รักษาผู้ที่ทำ

9 ทำให้เป็นคน รอบคอบ มีสติ ในการที่จะคิดทำการใดๆ

10 ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ

11 เมื่อมีลูกก็จะได้ลูกที่ดี

12 ทำให้เป็นตัวอย่ างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง

พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูกๆ ไม่ต้องไปตามพระอรหันต์ที่ไหนเลย










ขอบคุณแหล่งที่มา:chit-in.com

5/3/63









ขงเบ้งผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน และ มีความสามารถในการวางกลยุทธ์ในการทำศึก สามารถ คิด วิเคราะห์ และ อ่านใจฝ่ายตรงข้ามได้ เคล็ดลับในการหยั่งรู้ใจคนของขงเบ้งมีอยู่ด้วยกัน 7 ประการดังนี้

1. แจ้งภัยให้รู้ เพื่อดูความกล้า

บอกเล่าให้ทราบว่า มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น หรือ มีภัยอันตรายกำลังเข้ามาหาตัว แล้วสังเกตดูปฏิกิริยา ความกล้าหาญ และ ความอดทน ที่เขาแสดงออกมา

2. ซักถามด้วยกลอุบาย เพื่อดูสติปัญญา

ปรึกษาปัญหาในประเด็นต่างๆกับเขา ให้เขาพูดอะไรออกมา แล้วสังเกตดู ความรู้ สติปัญญา ความเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และ วิธีแนวทางในการที่เขาใช้แก่ปัญหา


3. ลองใจด้วยความผิดและถูก เพื่อหยั่งรู้คติธรรม

ลองใจด้วยปัญหาธรรม สอบถามประเด็นที่ต้องแสดงจุดยืนที่ ผิด-ถูก เพื่อทดสอบจุดยืน ความคิดจิตใจ ทัศนคติ รวมทั้งความปรารถนาลึก ๆ ภายในจิตใจ






4. โต้แย้งให้จนมุม เพื่อดูปฏิภาณ

หาปัญหาต่างๆ มาซักไซ้ไล่เลียง ถามต้อนให้จนมุม ยั่วยุให้เขาโกรธ เพื่อทดสอบการควบคุมอารมณ์ ไหวพริบปฏิภาณ

5. มอมเมาด้วย สุ ร า พิจารณานิสัย

เมื่อไปในเลี้ยงสังสรรค์ ให้สังเกตดูว่าน้ำเปลี่ยนนิสัยนี้จะทำให้คนๆหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นอีกคนได้มากแค่ไหน เพื่อรู้ถึงอุปนิสัยใจคอในยามขาดสติ

6. สรรเสริญด้วยลาภยศ เพื่อดูความสุจริต

ลองให้ตำแหน่ง ลาภยศ ให้ผลประโยชน์มากๆ และ ใช้คำสรรเสริญเข้าล่อใจ เพื่อทดสอบความซื่อสัตย์สุจริต บางคนเมื่อได้เป็นใหญ่มักลำพองใจ และ ไม่ไว้หน้าใคร





7. มอบงานให้ทำ เพื่อดูความรับผิดชอบ

มอบหมายงานให้เขาทำ และ กำหนดเวลาในการส่งมอบงานให้ชัดเจน เพื่อทดสอบว่ามีความรับผิดชอบ น่าไว้วางใจ สามารถทำงานได้ถูกต้อง ครบถ้วน และ ตรงต่อเวลาหรือไม่ อย่างไร

สิ่งเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม ในแต่ละสถานการณ์ ตามจังหวะ วันเวลา และ โอกาส หากคิดจะปกครองคน หรือ ทำงานร่วมกับคนอื่น เราก็ควรจะรู้นิสัยใจคอของคนๆนั้นเอาไว้

อันการ หยั่งรู้ ดูอุปนิสัยใจคอคนนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน คนมีดีแตกต่างกันไป

นิสัยใจคอหาใช่จะสัมพันธ์กับรูปลักษณ์ภายนอก ตัดสินจากที่เห็นอย่างเดียวไม่ได้

บางคนหน้าซื่อแต่ใจกลับคิดคด บางคนสุภาพอ่อนหวานแต่กลับมีจิตใจแข็งกระด้าง

บางคนเกรี้ยวกราดห้าวหาญแต่เมื่อถึงเวลากลับขลาดตาขาว

บางคนดูตรงไปตรงมาแต่กลับกลิ้งกลอกหาความสัตย์มิได้

ใจคนนั้นแม้นจะดูยาก แต่ก็พอมีโอกาสหยั่งถึง หากรู้ถึงวิธีอ่านใจ










ขอบคุณแหล่งที่มา: http://bitcoretech.com/








บางคนรู้สึกโชคไม่ดี ไม่ได้งานตามที่หวังไว้ ทำงานไปแบบไม่มีความสุข แต่บางคนก็โชคดีเหลือเกินที่ได้งานตามที่คาดหวังไว้ และมีความสุขกับการทำงานทุกวัน ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ทุกเรื่องควรเผื่อใจไว้เสมอ หากวันหนึ่งไม่เป็นอย่าที่เราหวังไว้ จะได้รับมือกับมันได้

หากคุณกำลังรู้สึกภาคภูมิใจกับงานที่ทำอยู่ตอนนี้มากๆ คุณจึงทุ่มเททำงานให้กับบริษัทหรือองค์กรของคุณ แต่คุณอย่าลืมว่า หากวันหนึ่งที่คุณไม่สามารถทำประโยชน์ให้กับบริษัทได้แล้ว อาจจะไม่สบายต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน และเมื่อบริษัทหาคนมาทำงานแทนคุณได้ เขาก็จะจ้างคนใหม่มาทำแทนคุณอยู่ดี

7 ข้อคิดเตือนใจ…สำหรับลูกจ้างและมนุษย์เงินเดือน
1. ไม่ควรทุ่มเทเวลาให้กับบริษัทมากเกินไป จนลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับครอบครัว คุณมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบและดูแล ซึ่งคุณทำมันได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อถึงเวลาเลิกงานก็ควรจะหยุดการทำงานไว้ตรงนั้น แล้วหันไปใส่ใจครอบครัว เพราะหลังเลิกงาน ควรเป็นเวลาที่คุณต้องทุ่มเทให้ครอบครัวของคุณบ้าง คนอื่นสามารถมาแทนตำแหน่งหน้าที่คุณได้เสมอ แต่ครอบครัวไม่มีใครมาแทนที่กันได้






2. หากคุณต้องเจอมรสุมชีวิต หัวหน้างานหรือบริษัทของคุณ เขาคงไม่มานั่งสนใจหรือเห็นอกเห็นใจคอยช่วยเหลือคุณหรอก ถึงจะมีก็หายากมาก แต่คนที่เป็น ทุ ก ข์ ไปกับคุณด้วย คอยอยู่ข้างๆคุณนั้น มีแต่ครอบครัวของคุณเอง ดั่งคำที่ว่า “ปัญหาของบริษัท ก็คือปัญหาของเรา…แต่ปัญหาของเรา ไม่ใช่ปัญหาของบริษัท “ จงเข้าใจและยอมรับให้ได้ว่ามันคือความเป็นจริง

3. ชีวิตนี้ ไม่ได้มีแค่งาน ในชีวิตเรายังมีอีกหลายอย่างที่สำคัญ อย่างการพบเจอเพื่อนฝูง การเข้าสังคม การไปท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน หาประสบการณ์ใหม่ๆและเปิดโลกกว้าง การออกกำลังกายดูแลตัวเอง ใช้เวลาอยู่กับคนรักหรือครอบครัว สิ่งเหล่านี้ก็สำคัญสำหรับชีวิตไม่แพ้เรื่องงานเลย เมื่ออยู่นอกเวลางานควรหากิจกรรมอย่างอื่นบ้าง อย่าทุ่มเทเวลาทั้งหมดในชีวิตให้งานซะหมด เพราะบริษัทไม่สามารถคืนเวลาในชีวิตให้คุณได้หรอกนะ บางสิ่งบางอย่างผ่านไปแล้ว ก็ผ่านเลยไป


4. สำหรับคนที่ชอบทำงานล่วงเวลาเป็นประจำ เพราะงานเสร็จไม่ทันเวลา คุณอย่าคิดว่าเป็นความขยัน แต่มันคือตัวบ่งชี้ว่าคุณทำงานไม่ได้ตามเวลา การทุ่มเทให้กับงาน ไม่ได้ดูว่าคุณใช้เวลาอยู่ที่ทำงานมากแค่ไหน แต่อยู่ที่การทำงานให้เสร็จอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถใช้เวลาได้น้อยที่สุดต่างหาก คนที่ทำงานเสร็จตามเวลาได้ คือคนที่มีความสามารถที่จะบริหารงานเป็น คุณต้องแยกให้ออกว่าเวลางานคือเวลางาน เวลาเลิกงานก็ต้องพักผ่อนอยู่กับครอบครัว แบบนี้ถึงเรียกว่าเป็นคนที่จัดสรรเวลาเป็น และใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าที่สุด






5. หากคุณมีงานเยอะมาก จนไม่สามารถทำเสร็จได้ทันตามเวลาเลิกงาน สุดท้ายก็ต้องอยู่ทำงานต่อดึกๆดื่นๆ ให้รู้ไว้ว่า…เป็นเพราะหัวหน้างานคุณไม่มีความสามารถ และไร้ประสิทธิภาพที่จะจัดการบริหารงาน และแจกจ่ายงานไปให้ลูกน้องทำให้พอดีกับเวลาได้ ไม่ใช่เพราะว่าคุณไร้ความสามารถ

6. งานเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหมด เมื่อคุณต้องการที่จะทำงานให้หมดเร็วๆ เพื่อที่จะได้มีเวลาได้พักผ่อนและใช้เวลาอยู่กับครอบครัว คุณจึงพยายามนั่งทำงานทั้งคืนให้เสร็จโดยเร็ว แต่กลายเป็นว่าคุณกลับได้รับงานใหม่เข้ามาเพิ่มอีก และมันก็เป็นแบบนี้ประจำ เมื่อคุณทำงานเก่งและทำเสร็จได้เร็ว คุณก็จะได้รับงานเพิ่มอีก เป็นรางวัลตอบแทน

7. หันมองดูเศรษฐกิจปัจจุบัน หลายบริษัทไปต่อไม่ไหว ต้องปิดกิจการ บางคนตื่นไปทำงานตามปกติ แต่กลับพบว่าตัวเองกลายเป็นคนว่างงาน หลายแห่งเริ่มนำเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงาน ชีวิตเราต้องเสี่ยงกับการถูกเลิกจ้าง ดังนั้นเราจึงไม่ควรทุ่มเทเวลาและกำลังทั้งหมดทำงานจนสุดชีวิต เพื่อหวังให้บริษัทของคุณก้าวหน้า เพราะหากคุณหมดประโยชน์เมื่อไหร่ เขาก็ไม่หันกลับมามองคุณอยู่ดี

เราไม่ได้บอกให้คุณไม่ทุ่มเท หรือไม่ใส่ใจกับการทำงาน การรักบริษัทและงานที่ทำนั้นเป็นสิ่งดี แต่เราไม่ควรทุ่มเทหมดทุกอย่างทั้งชีวิตนี้ให้กับงานอย่างเดียว เพราะสุดท้ายแล้ว งานไม่ใช่ทุกอย่างที่จะตอบโจทย์ให้กับชีวิตของเรา เราต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ถูก และทำในส่วนนั้นให้เต็มที่ในเวลาของมัน อย่าเอามาล้ำเส้นหรือแย่งเวลาของกันและกัน คนที่สามารถบริหารเวลางาน กับเวลาชีวิตให้พอดีลงตัว คือคนที่มีประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตที่สุด










ขอบคุณแหล่งที่มา: http://bitcoretech.com/









เราทุกคนก็อยากเกิดมามีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ต้องลำบาก มีฐานะที่ดี อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากไปที่ไหนก็ได้ไป แต่หลายคนกลับยังทำตัวตรงกันข้ามกับสิ่งที่อยากเป็น อยากที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่กลับทำนิสัยถ่วงความเจริญตัวเองซะงั้น แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะมีชีวิตได้อย่างที่ต้องการ

เรามาดูกันว่า 6 นิสัยที่ถ่วงความเจริญ จะมีอะไรบ้าง ใครรู้ตัวว่าทำอยู่ ให้รีบปรับปรุงตัว ถ้ายังอยากเจริญ้าวหน้า

1. ขาดความอดทน

คนเหล่านี้มักจะมีความคิด อยากที่จะ “รวยเร็วๆ” แต่ไม่ได้ต้องการที่จะ “รวยนาน” พวกเขาไม่มีความอดทน และไม่รู้จักที่จะอดออม จึงทำให้เขาไม่สามารถสัมผัสถึงคำว่า “รวย” ได้สักที แม้แต่หนังสือที่อ่านเพื่อเพิ่มความรู้ หรือในเรื่องการลงทุน ก็ไม่เคยที่จะขวนขวายหามาอ่าน หรือการทำงานหนักเพื่อสั่งสมประสบการณ์และทักษะใหม่ๆ ก็ไม่เคยสนใจ






2. ใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระ

คนเหล่านี้มักจะใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์กับชีวิต อย่างเช่น นั่งไถเฟสไปเรื่อยๆ อ่านข่าวดราม่าดารา หรือคอนสอดส่องเรื่องชาวบ้าน รู้หมดว่าใครเป็นยังไง มีปัญหาอะไร แต่กลับไม่เคยรู้เรื่องของตัวเองเลย เรียกว่าทุ่มเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับชีวิตตัวเอง แทนที่จะเอาเวลามาแก้ปัญหาตัวเอง และทำงานหาเงินให้ตัวเอง

3. ชอบเสี่ยงโชค รอบุญวาสนา

อยากรวยทางลัด จึงอาศัยการเสี่ยงโชค ซื้อล็อตเตอรี่ เพื่อหวังจะถูกรางวัลใหญ่สักครั้ง จะได้มีเงินใช้ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อย หวังพึ่งแต่ดวง ก็คงไม่แปลกใจที่ยังลำบากอยู่เหมือนเดิม แทนที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น


4. ไม่มีเป้าหมายในชีวิต

คนเหล่านี้มักจะใช้ชีวิตให้หมดไปวันๆ โดยที่ไม่มีการวางแผนชีวิต ไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร จะทำยังไงให้ไปถึงเป้าหมาย จึงไม่มีการที่จะพัฒนาตัวเอง เพื่อเพิ่มความก้าวหน้าในชีวิต ชีวิตก็ยังย่ำอยู่ที่เดิม

5. หน้าใหญ่ใจโต ติดหรู

กลัวคนอื่นมาองว่าไม่มี จึงต้องทำตัวว่ามีมาก และก็เป็นเหมือนอย่างที่เขาว่า “คนจน ทำตัวรวย ไม่มีวันรวย คนรวย ทำตัวจน ไม่มีวันจน “ เพราะคนที่เขารวยจริงๆ เขาจะไม่มานั่งอวดคนอื่นว่ามี มีแต่คนที่ไม่มีนั่นแหละ อยากบอกคนอื่นว่ามี สุดท้ายก็เลยไม่มีสักที





6. อิจฉาคนรวย

คนเหล่านี้จะชอบมีความคิดอคติกับคนที่รวย เพราะเขาเหนือกว่า จึงหาเหตุผลมาอ้างเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น คอยแต่ไป นิ น ท า ว่าเขา “รวยไปไม่เห็นจะมีความสุขเลย” อยู่แบบพอเพียงๆ ใช้ชีวิตธรรมดามีความสุขกว่าเยอะ แต่ตัวเองกลับชอบที่จะคบคนที่ ด้ อ ย กว่า หรือมีฐานะต่ำกว่า เพื่อที่จะได้รู้สึกว่าอยู่เหนือกว่าคนอื่น กลับกันคนที่มีความคิดอยากที่จะพัฒนาตัวเอง เขาจะเอาตัวไปอยู่ในกลุ่มคนที่รวยกว่า และเก่งกว่า เพื่อที่จะได้เรียนรู้แนวคิดและวิธีการที่จะได้เป็นแบบเขา










ขอบคุณแหล่งที่มา: http://bitcoretech.com/

4/3/63









หลายคนไม่รู้ว่าความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แม้แต่ความสุข บางครั้งก็ยังมีทุกข์แฝงมาด้วยเลย บางคนก็พย าย ามหลบเลี่ยงหลีกหนีปัญหาที่ทำให้เกิดทุกข์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์พย าย ามทำกันมาตลอดชีวิต

แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะหนีปัญหาได้ เพราะถึงจะบรรเทาความทุกข์ไปได้มากแค่ไหน แต่ก็ยังมีความทุกข์อีกหลายอย่ างที่เราหนีไม่พ้น ทำได้ก็แต่เพียงชะลอให้ทุกข์น้อยลงก็เท่านั้น

ยิ่งทุกวันนี้มีความทุกข์แบบใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะร่ำรวย มีเงิน มีทอง มีวาสนาบารมีมากแค่ไหนก็ไม่มีวันหนีทุกข์ได้พ้น ในเมื่อหนีไม่ได้ หลบเลี่ยงไม่ได้

เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่ างกลมกลืน ไม่เสียศูนย์เพราะความทุกข์ที่วิ่งเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว มาดูวิธีที่จะเอาตัวเองออกมาจากความทุกข์กันดีกว่า

1. ยอมรับและเข้าใจ

การจะเอาตัวเองออกมาจากความทุกข์ได้ ต้องรู้ก่อนว่าปัญหาหรือความทุกข์เกิดจากอะไร เมื่อรู้แล้วก็ค่อย ๆ คิด ตริตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมจึงเกิดปัญหา

และปัญหานั้นนำพาความทุกข์มาได้อย่ างไร การรู้เหตุแห่งที่มาจะทำให้เรายอมรับและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ดีกว่าการไม่รู้หรือไม่ยอมรับรู้อะไร ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะมัวแต่วิตกกับปัญหาและความทุกข์ที่เกิดเพียงอย่ างเดียว






2. ไม่จมอยู่กับความทุกข์

เมื่อรู้เหตุแห่งทุกข์แล้ว เราต้องไม่จมอยู่กับความทุกข์ คิดได้แต่ต้องมีสติ และต้องพย าย ามดึงตัวเองออกจากความทุกข์ให้เร็วที่สุด การไม่จมอยู่กับความทุกข์นาน ๆ ทำให้หลุดพ้นเร็วขึ้น และการมีสติก็ทำให้คิดหาวิธีดับทุกข์ได้เร็วขึ้นด้วย

3. ระบายกับใครสักคน

วิธีที่จะทำให้ไม่จมอยู่กับความทุกข์ นอกจากจะต้องใช้สติให้มากแล้ว การได้พูดคุยระบายปัญหาหรือความทุกข์กับใครสักคนก็เป็นการแบ่งปันความทุกข์ได้ดีอย่ างหนึ่ง

ข้อแม้คือต้องเป็นคนที่คุณไว้วางใจและเชื่อใจได้ด้วย อย่ าลืมว่าปัญหาไม่ได้มีไว้แก้เพียงอย่ างเดียว แต่ปัญหายังมีไว้ให้ระบายกับใครสักคนด้วย

4. สร้างเกราะป้องกันให้ตัวเอง

อย่ างที่รู้กันว่าทุกข์คือสิ่งที่หลบเลี่ยงหรือหลีกหนีไม่ได้ เป็นอะไรที่ทุกคนบนโลกนี้ต้องพบต้องเจอ เพราะฉะนั้นถ้าอย ากเอาตัวเองออกจากความทุกข์ก็ต้องปรับทัศนคติตัวเองเสียใหม่

อย่ ากลัวที่จะเผชิญปัญหา อย่ าจมอยู่กับความทุกข์ให้นาน ต้องเรียกสติและสร้างเกราะป้องกันตัวเองเพื่อให้หลุดจากความทุกข์เหล่านั้นให้ได้






5. พุ่งชนเข้าไปเลย

เมื่อใจพร้อม ทัศนคติพร้อม ทีนี้ก็ได้เวลาปฏิบัติเพื่อเอาตัวเองออกจากความทุกข์ วิธีที่ดีที่สุดคือแก้ที่ต้นเหตุของทุกข์ นั่นก็คือปัญหานั้น ๆ เลย แต่อย่ าลืมว่าปัญหามีทั้งแบบแก้ได้และแก้ไม่ได้

ต้องเรียนรู้ก่อนว่าเหตุแห่งทุกข์ของคุณนั้นเป็นปัญหาแบบไหน แก้ได้หรือไม่ได้ ถ้าเป็นทุกข์ที่มีทางแก้ ก็ให้ตั้งสติและค่อย ๆ แก้ไป แต่ถ้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นปัญหาที่แก้ไขอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมรับมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่คุณจะเสี่ยงพุ่งชนกับปัญหานั้นให้เจ็บทั้งกายและใจ

นอกจากวิธีเอาตัวเองออกจากความทุกข์แล้ว จริง ๆ เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ให้ได้โดยที่ใจไม่ทุกข์ด้วย เรียนรู้ที่จะยอมรับและเคยชินกับปัญหาหรือความทุกข์ที่วิ่งเข้ามา

ถ้าเรารู้จักอยู่กับความทุกข์ได้ เราก็จะยอมรับมันได้ ต่อจากนี้เมื่อมีทุกข์หนัก ๆ หรืออะไรก็ตามที่มากระทบร่างกายและจิตใจ เราก็จะพร้อมรับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้ดีขึ้น










ขอบคุณแหล่งที่มา:verrysmilejung.com








เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่โซเชียลเข้ามาแสดงความเห็นกันเป็นจำนวนมาก หลังเพจสำนักประชาสัมพันธ์เขต ๑ ที่ได้มีการเผยเรื่องราวการค้นพบรอยพระพุทธบาทแห่งใหม่ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ อุดรธานี

โดยโรงเรียนภูพระบาทวิทยา ได้ดั้นด้นปีนขึ้นสู่ภูเขือน้ำ เทือกภูพานตะวันตก ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านใหม่ ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ไปทางทิศเหนือประมาณ ๖ กิโลเมตร ออกตามหารอยพระพุทธบาทแห่งใหม่

ที่พึ่งถูกค้นพบเมื่อปีก่อนโดยชาวบ้านในท้องถิ่น ที่ยังไม่ถูกบันทึกไว้ในระบบข้อมูลโบราณวัตถุของหน่วยงานแต่อย่างใด





ลักษณะรอยพระพุทธบาทที่ค้นพบนี้ ตรงกึ่งกลางฝ่าเท้าเป็นรูปธรรมจักร โดยแกะสลักรอยหิน เป็นรูปแกนล้อมด้วยกลีบบัวประมาณ ๑๗ ถึง ๑๘ กลีบ แล้วมีวงกลมล้อมอีกรอบ และถัดออกมาอีกจะแกะเป็นขาธรรมจักร ๘ ขา ล้อมรอบด้วยวงกลมด้านนอกสุด และสลักรูปธรรมจักรบนหัวนิ้วเท้าทั้งห้า และตรงข้อนิ้วเป็นรูปลายข้าวหลามตัดเว้นระยะไว้เป็น

ด้านข้างรอยพะพุทธบาท จะมีร่องรอยการเจาะเป๋นร่องรูหินกะจายเป็นจุด สันนิษฐานว่า เป็นที่ตั้งของเสาไม้มุงหลังคา ที่ผุพังไปตากาลเวลา รอยนี้จะแตกต่างกับรอยพระพุทธบาทบัวบกที่ตรงกลางพระพุทธบาทจะเป็นลักษณะกลีบบัวบาน และรอยพระพุทธบาทหลังเต่าตรงกลางจะเป็นกลีบบัวเล็กเรียบกว่า





เมื่อเดินไปถึงจุดหมาย น้องๆทีมงานช่วยกันวิดน้ำฝนที่ท่วมขังและกวาดขี้โคลนออกจากรอยพระพุทธบาทจนสะอาดตา สภาพเดิมเมื่อค้นพบใหม่ จะมีทรายปิดทับรอยพระพุทธบาทไว้ เป็นหินสีธรรมชาติ และต่อมาชาวบ้านได้นำสีทองมาทาทับไว้

ห่างออกไปราว ๕๐ เมตร บนโขลดหินด้านบนขึ้นไปอีก ปรากฏว่ามีร่องหินคล้ายรอยเท้า แต่ไม่มีการสลักหินเป็นรูปบนฝ่า และมีขนาดเล็กกว่ารอยแรกที่พบอย่างชัดเจน โดยก่อนจะเดินขึ้นมาถึงจุดที่รอยพระพุทธบาทประทับอยู่ประมาณ ๒๐๐ เมตร จะเห็นภาพเขียนสีรูปก้นหอยสีแดง เขียนวนออกด้านนอกเป็นรัศมีคล้ายพระอาทิตย์ส่องประกายแสงอยู่หลายวง

บนหน้าผาโขดหิน คล้ายกับภาพเขียนที่ถ้ำคน ถ้ำวัว และกลุ่มภาพเขียนสีแดง รูปลายเลขาคณิตที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท และคล้ายกับภาพเขียนสีลายก้นหอยสีแดง

ที่แหล่งโบราณสถานบ้านเชียง ที่มีอายุราว ๑๘๐๐ ถึง ๒๕๐๐ ปีก่อนประวัติศาสตร์ ที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร











ขอบคุณแหล่งที่มา:khaofc.com

1/3/63









เรื่องปลาทูไหม้สอนใจ…ยังอ่านได้ตลอดๆ ชอบเรื่องนี้มาก

อ่านบ่อยๆ เตือนตัวเอง “แม่ของผมเป็นคนทำอาหารที่บ้านประจำทุกวัน…

คืนหนึ่งหลังจากที่แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน แม่กลับบ้าน

มาด้วยความเหนื่อยล้าและทำอาหารเย็นให้เราตามปกติที่โต๊ะอาหาร

แม่วางจานที่มี ปลาทูไหม้เกรียม บนโต๊ะ ต่อหน้าพ่อและทุกๆ คน

ผมรอดูว่าแต่ละคนจะว่าอย่างไร…?

แต่……พ่อไม่พูด  อะไรและตั้งหน้าตั้งตากินปลาทูไหม้ตัวนั้นและหันมา

ถามผมว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง……คืนนั้น หลังอาหารเย็น ผมจำได้ว่า






ได้ยินแม่ขอโ   ท   ษพ่อ ที่ทอดปลาทูไหม้ และผมไม่เคยลืมที่พ่อ

พูดกับแม่เลย “โอ้ยย…พ่อชอบ ปลาทูทอด เกรียมๆ อร่อยมาก นะแม่”

คืนต่อมาผมเก็บคำถามในใจ ก่อนนอนและถามพ่อว่า

“พ่อชอบปลาทูทอด เกรียมๆ จริงๆ เหรอ” พ่อลูบหัวผม

และตอบว่า “แม่ของลูก ทำงานหนัก มาทั้งวัน…ปลาทูไหม้ 1 ตัว

ไม่เคยทำร้ายใคร แต่คำพูด ที่ต่อว่ากันนั้นต่างหาก ที่จะทำร้ายกัน”


ชีวิตคนเราเต็มไปด้วย ความไม่สมบูรณ์แบบ และแต่ละคน

ก็ไม่ได้เกิดมา สมบูรณ์แบบ ตัวเราเองก็ไม่ได้มีอะไร ดีกว่าใครๆ

แต่สิ่งที่พ่อเรียนรู้ ในช่วงชีวิต คือ….. การเรียนรู้ ที่จะยอมรับความ ผิด

ของคนอื่น และของตัวเอง การเลือก ที่จะยินดีกับความคิดต่างกันของ

แต่ละบุคคล เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาชีวิต

ครอบครัว ที่มีความสุข และยืนยาว

“ชีวิตเราสั้นเกินกว่า ที่จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจ






ที่ว่าเราทำ  ผิด  กับคนที่เรารักและรักเรา ให้ดูแล และ ทะนุถนอม

คนที่รักเราและพยายามเข้าใจ และให้อ  ภัย จะดีกว่า” ถ้าเรารู้

เราจะทำไหม? เราจะบีบแตรใส่คนที่ยืนยึกยัก ริมถนน แยกที่ผ่  า   นมาไหม……

ถ้าเรารู้ว่าเขาใส่ขาเทียม เราจะเบียดชน คนข้างหน้า ที่เดินช้ามากไหม……

ถ้าเรารู้ว่า เค้าเพิ่งตกงาน เราจะขำคนที่แต่งตัวเชยไหม……

ถ้าเรารู้ว่าเค้ามีชุดเก่ง แค่ชุดเดียว เราจะดูถูกสาวโรงงาน

ที่มาเดินพารากอนไหม……ถ้าเรารู้ว่า นั่นคือ การฉลองวันเกิดของเธอ

เราจะหมั่นไส้ ลุงที่หัวเราะ เสียงดังลั่น คนนั้นไหม………

ถ้ารู้ว่าแกเป็นมะเร็ง ขั้นสุดท้าย เรารู้แจ่มชัดเสมอ…ว่าชีวิตเรา

กำลังเจออะไร แต่เราไม่มีวันรู้ว่า “คนที่เราเจอ เขากำลังเจอกับอะไร”

โลกกว้างกว่าเงาของเรา และโลกก็ไม่ได้หมุนรอบตัวเรา

มองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้าง ให้โอกาส และให้อ  ภัย

มีความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน จะได้รักและอยู่ด้วยกัน

อย่างยั่งยืน ยาวนาน

ขอบพระคุณผู้นำเสนอข้อคิดดีๆ ขอให้ท่านเจริญๆ

อย่าลืมแชร์ให้ผู้อื่นได้  อ่านนะ เชื่อว่าเรื่องราวนี้จะช่วยให้หลายคน

ใช้ชีวิตได้   อย่างมีความสุข และความสงบมากขึ้น












ขอบคุณแหล่งที่มา:chit-in.com








แม้นมีวาสนา ขอแค่มี..บ้านแสนสงบสุขไม่หวังอัครสถาน

หลังโต มั่นคง หากแต่ แข็งแรง อบอุ่นด้วยความรักใคร่ กลมเกลียว

ไม่หวังบ้านสวยงาม เลิศหรู หากแต่งามหมดจรด ด้วยจิตใจ

ของครอบครัว ที่ปรารถนาดีต่อกัน

ไม่หวังพร้อมสรรพสิ่งแวดล้อม แห่งสวนสวรรค์ หากแต่ เป็นสังคมเอื้อเฟื้อ

รายล้อมด้วย เพื่อนบ้านเป็นมิตรขอแค่มี..คู่ชีวิตที่เข้าใจกันไม่หวังว่า

ต้องดีที่สุด หากแต่ดีสมกัน ศีลเสมอกันไม่หวังว่า

สวยหล่อลาก  ดิน หากแต่เดินไปด้วยกัน แล้วส่งเสริม






ไม่หวังเป็น ช้างเท้าหน้าเท้าหลังหากแต่เดินเคียงกันไป ในทุกวันดีร้า ย

ด้วยรอยยิ้มขอแค่มี..งานที่รักเป็นเสาหลักรายได้ไม่หวังงาน

ที่มีหน้ามีตาอวดใครๆหากแต่เป็นงานที่ทำแล้ว มีความสุข

นายดี เพื่อนดี ลูกน้องดี ไม่หวังรายได้ มหาศาลหากแต่สมความสามารถ


ติดตัว เลี้ยงดูครอบครัวได้สำคัญ คือ ไม่มีหนี้สิน

จากสินทรัพย์เสื่อมราคา เพื่อรักษาหน้าตา

ในสังคมขอแค่มี..บั้นปลายแห่งชีวิตที่สุขภาพดี

ไม่หวังปั้นปลาย ประสบความสำเร็จ เป็นตำนานหากแต่

มีสุขภาพที่ดีตามวัย ไม่มีโรคภัยไข้ เจ็บทรมานตัวเอง

และ คนรอบข้างไม่หวังลูกหลาน คลานหมอบรอรับมรดก

สมบัติเอา หน้า หากแต่ลูกหลานรัก รู้คุณ

น้อมรับมรดกแห่ง วาสนา ต่อไปเป็น มรดกล้ำค่าขอแค่ลูก






เป็นคนดีของสังคมไม่หวังยัดเยียดให้ลูกเป็นที่หนึ่ง

ในทุก  ด้านหากแต่มีปัญญา เอาตัวรอดเลี้ยงดูตัวเองได้

ไม่หวังให้ลูกโดดเด่น นำสมัย หากแต่อ่อนน้อม


ถ่อมตน รู้กาลเทศะ มีมารยาท จนใครๆ ที่ได้รู้จักเมตตาเอ็นดู

และ สำคัญ คือ มีปัญญาแยกแยะชั่วหรือดีอย่ าให้ใครด่ามา

ถึงพ่อแม่ว่า ไม่ สั่ง สอนสุดท้ายหากยังเหลือ วาสนา

ไม่หวังงานศพ แห่งเกียรติยศ หากแต่ลมหายใจสุดท้าย

ที่สงบ พร้อมหน้าลูกหลาน ร่ำลาตั้งจิตอธิษฐาน จะทำให้ได้

ดั่งหวังด้วยขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นองค์พย านใน มุ่งมั่น

มิใช่ดลบันดาลตั้งใจกราบ พระผู้ปฏิบัติดี เพื่อชี้แนะเข็ม

ทิศทางไปสู่ วาสนา มิหวังปาฏิหาริย์ แห่งคุณวิเศษคุณพระ

บทสรุปแห่ง มี หรือ ไม่มี วาสนา นั้นไซร้เราทุกคนล้วน

เลือกได้เอง อย่างแท้จริง











ขอบคุณแหล่งที่มา:chit-in.com

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget