21/4/64







ตำนานความเชื่อและการกราบไหว้บูชานั้น เป็นสิ่งที่ได้รับการสืบถอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ บางคนอาจจะมีความเชื่อในเรื่องของนรก สวรรค์ บางคนก็มีคติในการใช้ชีวิตแทนความเชื่อ บางคนก็ใช้วัตถุมงคลต่าง ๆ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและกราบไหว้บูชา ซึ่งในเรื่องของความเชื่อต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถระบุได้อยากชัดเจนว่าสิ่งไหนถูกหรือสิ่งไหนผิด เพราะเรื่องที่เราไม่ได้เชื่อก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องโกหก เพียงแต่ความเชื่อของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เพียงแต่เราอย่าให้ความเชื่อของเราต้องไปทำร้ายหรือทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นเท่านั้นเอง

ตำนานความเชื่อในเรื่องการกราบไหว้วัตถุมงคลต่าง ๆ นั้น มีความเชื่อหลากหลายรูปแบบอย่างมาก ความเชื่อบางครั้งก็เป็นความเชื่อที่โด่งดังขึ้นมาจากกระแสของสังคม ที่อาจจะไม่ได้รับความศรัทธาเลื่อมใสจากคนกลุ่มนั้นอย่างแท้จริง เป็นการเคารพบูชาเพื่อต้องการบูชาให้ตรงตามกระแส ซึ่งวัตถุมงคลต่าง ๆ ในปัจจุบันนั้น มีช่องทางการจำหน่ายที่ค่อนข้างกว้างขวาง ไม่ได้จำกัดการซื้อเพียงแต่ในบริเวณวัดหรือตำหนักอีกต่อไป


วัตถุมงคลบางอย่างนั้นก็ถูกจัดจำหน่ายบนเว็บไซต์ออนไลน์เพื่อให้ผู้ที่เคารพบูชาง่ายต่อการเช่าเพื่อบูชา เช่น ปี่เซียะของจีน ที่ได้รับความนิยมอย่างมากและวางขายอย่างแพร่หลายบนเว็บไซต์ Taobao เว็บไซต์นำเข้าสินค้าจากจีนชื่อดัง นอกจากนี้ก็ยังมีรูปปั้นของเทพต่าง ๆ อีกมากมายที่สามารถหาซื้อได้จากช่องทางออนไลน์เช่นกัน วัตถุมงคลบางอย่างก็อาจจะเป็นของแท้ ที่สามารถนำมากราบไหว้บูชาได้ แต่บางอย่างก็เป็นเพียงแค่รูปปั้นที่ผู้ผลิตทำขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้บริโภคได้เช่นกัน

ตำนานความเชื่อของไทยเองก็มีอยู่มากมายเช่นกัน ทั้งตำนานความเชื่อเกี่ยวกับหลวงพ่อชื่อดังของไทย หรือแม้แต่ความเชื่อเกี่ยวกับเทพต่าง ๆ รวมถึงตำนานความเชื่อที่กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากอย่างตำนานของ ไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์ ที่เป็นความเชื่อของคนทางภาคใต้ส่วนใหญ่ ที่มีชื่อเสียงอย่างแพร่หลายในเรื่องของการค้าขายและการบนบานศาลกล่าวในเรื่องต่าง ๆ





ตามตำนานเล่าว่า เดิมทีนั้น วัดเจดีย์ เป็นวัดเก่าโบราณเกือบร้อยปีที่ตั้งอยู่ใน อำเภอสิชล จังหวัดนครราชสีมา ต่อมานั้นหลวงปู่ทวด พระเกจิอาจารย์ชื่อดังได้มาปักกรดอยู่ที่วัดแห่งนี้และได้ทราบว่าพื้นที่วัดแห่งนี้นั้นมีสมบัติโบราณรวมถึงเป็นศาสนสถานโบราณ จึงได้สั่งให้ไอ้ไข่ เด็กชายอายุประมาณ 9 – 10 ขวบซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่คอยติดตามรับใช้หลวงปู่ทวด เฝ้าสมบัติเหล่านั้นเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนไม่ดีมาขโมยเอาสมบัติเหล่านั้น

ซึ่งจุดนี้นั้นมีการเล่าขานที่สืบต่อมาหลายรูปแบบ บางตำนานก็เล่าว่าเดิมทีไอ้ไข่นั้นเป็นวิญญาณที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ทวดอยู่ก่อนแล้ว และหลวงปู่ทวดได้วานให้เฝ้าสมบัติเหล่านั้นไว้ แต่บางตำนานก็เล่าว่า ไอ้ไข่นั้นเป็นเด็กผู้ชายที่เกิดจมน้ำตายที่วัดนี้ หลวงปู่ทวดเลยได้วานให้เฝ้าสมบัติที่วัดนี้เอาไว้

ในช่วงแรกนั้น วัดเจดีย์ เป็นที่รู้จักเพียงแค่ชาวบ้านในพื้นที่เพราะเป็นเพียงแค่วัดธรรมดาทั่วไป จนได้มีกองร้อยทหารพรานเข้ามานอนพักอยู่ที่วัดแห่งนี้ ปรากฏว่าในคืนแรกที่มานอนนั้น ไม่สามารถที่จะนอนได้เลยทั้งคืน โดยทหารพรานนั้นได้เล่าว่ามีเด็กมาวิ่งเล่น ดึงขา ดึงผม ส่งเสียงดังตลอดทั้งคืนจนไม่สามารถหลับลงได้





ชาวบ้านแถวนั้นจึงได้เล่าตำนานของไอ้ไข่ให้ฟัง ทหารพรานกลุ่มนั้นจึงได้จุดธูปเพื่อไหว้ขอขมาและบอกกล่าวว่าจะมานอนพักอ้างแรมและตั้งฐานทัพ หลังจากนั้นคืนต่อ ๆ มาทหารพรานกลุ่มนั้นก็ไม่เคยเจอเด็กคนนั้นอีกเลย และเรื่องเล่านี้ก็ได้ถูกเล่าต่อ ๆ กันมาและผู้คนที่เข้าใกล้บริเวณวัดก็ต่างเจอเด็กคนนี้เช่นเดียวกันจนทำให้เรื่องของไอ้ไข่นั้นโด่งดังมากขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีคำที่ใช้ในการกราบไหว้บูชาว่า “ขอได้ ไหว้รับ”

ไอ้ไข่นั้นเป็นตำนานที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาหลายเรื่องราวอย่างมากซึ่งบางคนอาจจะใช้คำเรียกไอ้ไข่ว่า ตาไข่ เพราะเชื่อว่าหากนับในสมัยนี้ไอ้ไข่จะมีอายุมากกว่ารุ่นของเราเป็นร้อย ๆ ปี จึงเรียกว่าตาไข่เพื่อแสดงความอ่อนน้อมและนับถือ ซึ่งทาง https://taobao.ttpcargo.com/ ก็ขอน้อมแสดงความเคารพและกราบไหว้ผ่านการบรรยายประวัติต่าง ๆ ของไอ้ไข่ผ่านบทความนี้ด้วยค่ะ












ขอบคุณแหล่งที่มา: https://www.silpa-mag.com/news/article_63032







จากกรณีหลวงตาคำตัน (หลวงพ่อน้อย) อัครธรรมโม อายุ 84 ปี พระลูกวัดโนนสำราญ ต.ห้วยหิน จ.บุรีรัมย์ ถูกรถยนต์กระบะ ชนบนถนนสายหนองหงส์-หนองกี่ ขณะเข้าไปอุ้ม "ไอ้จ๊อด” สุนัขแสนรักของตัวเองที่อยู่กลางถนน ทำให้สุนัขได้รับบาดเจ็บ ส่วนหลวงตามรณภาพคาที่ เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.00 น.ของวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา

ด้าน พระครูปลัดวรเมธาวัฒน์ อายุ 66 ปี เจ้าอาวาสวัดโนนสำราญ เผยถึงลางบอกเหตุ 2 ครั้ง ก่อนที่หลวงตาจะถูกรถชนจนมรณภาพ

ลางบอกเหตุ ครั้งแรก คือ เมื่อช่วงสงกรานต์ ตอนกลางคืน ได้มีอีกา นับร้อยตัว บินเข้ามาในบริเวณวัด ส่งเสียงดัง ตนแปลกใจเพราะไม่เคยมีอีกาบินเข้ามาแบบนี้มาก่อน ส่วนหนึ่งคิดว่าน่าจะเกิดจากความเงียบเหงาในช่วงสงกรานต์ เนื่องจากมีชาวบ้านมาเข้าวัดน้อย เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด จึงจุดธูปและสวดมนต์ให้ อีกาก็หายไป





ลางบอกเหตุ ครั้งที่ 2 คือ คืนวันที่ 19 เม.ย.อีกาอีกกว่า 100 ตัว คาดว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน บินมาร้องส่งเสียงดังภายในวัดอีก คราวนี้ความรู้สึกส่วนตัวคาดว่าน่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นภายในวัดแน่นอน จึงสวดว่าบุญใดกรรมใดที่ได้ทำมาขออุทิศให้สัมภเวสี ก่อนรุ่งเช้าวันที่ 20 เม.ย.64 จะมีคนมาแจ้งว่าหลวงตาคำตัน ถูกรถชน เหตุการณ์ครั้งนี้ตนไม่อยากจะเชื่อ แต่มันก็เป็นไปแล้ว

เจ้าอาวาส เล่าถึงอดีตของ หลวงตาและสุนัขแสนรักตัวนี้ว่า หลวงตารักสุนัขตัวนี้มาก เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็ก จึงตั้งชื่อว่า "ไอ้จ๊อด” ส่วนสาเหตุของเหตุสลดครั้งนี้ คาดว่า หลวงตาน่าจะออกไปตามหาเจ้าจ๊อด เมื่อไปเห็นอยู่กลางถนนและรถจะเข้ามาวิ่งชน หลวงตาอาจจะเป็นห่วง จึงวิ่งไปหาเจ้าจ๊อด จนลืมคิดไปว่ารถเข้าประชิดแล้ว จึงทำให้เกิดเหตุนี้ขึ้น
















ขอบคุณแหล่งที่มา: sanook.com







หลวงตาอายุ 84 เอาตัวเองบังไม่ให้รถชนหมาแสนรัก กระบะเบรกไม่ทันพุ่งชนมรณภาพสลดกลางถนน

(20 เม.ย.64) เวลาประมาณ 06.00น.ร.ต.อ.เดชา ทองประภา รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.หนองหงส์ อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ รับแจ้งมีเหตุรถยนต์กระบะชนพระมรณภาพในที่เกิดเหตุ จึงประสานหน่วยกู้ภัยสยามรวมใจปู่อินทร์ ร่วมตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุเป็นถนน 2 เลน สายหนองหงส์-หนองกี่ ระหว่างบ้านโนนสำราญ ต.ห้วยหิน อ.หนองหงส์ พบศพ พระคำตัน อายุ 84 ปี พระลูกวัดโนนสำราญ ต.ห้วยหิน มรณภาพอยู่กลางถนนในสภาพร่างกายแหลกเหลว แขนขาหักหลายท่อน กลางทุ่งนาห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 20 เมตร พบสุนัขเพศผู้สีดำ ทราบชื่อต่อมาชื่อ ”เจ้าจ๊อด” อายุ 3 ปี นอนอยู่กับพื้น หน่วยกู้ภัยตรวจสอบพบว่าขวาหัก มีบาดแผลทั่วลำตัว





ห่างจากศพประมาณ 20 เมตร พบรถยนต์กระบะอีซูซุ สีบรอนซ์ 9186 บุรีรัมย์ จอดอยู่สภาพด้านหน้าได้รับความเสียหาย

สอบถาม นายสมบัติ อานยุ 50 ปี คนขับรถกระบะ ชาวบ้านตะกุมทอง ต.โคกสว่าง อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ เล่าว่า ตนกับภรรยาซึ่งมีอาชีพขายของตามตลาดนัด ได้ขับรถมาตามปกติ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุในระยะกระชั้นชิด เห็นผ้าสีเหลืองนั่งลง จึงเบรกไม่ทัน พุ่งชนดังกล่าว
















ขอบคุณแหล่งที่มา: sanook.com





จากกรณีเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา เกิดเพลิงไหม้คลังเก็บน้ำมัน บริเวณถนนเพชรเกษม ต.อ้อมใหญ่ อ.สามพราน จ.นครปฐม จุดเลยจากตลาดอ้อมใหญ่ ประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งจุดเกิดเหตุอยู่ติดกับปั๊มน้ำมัน ทำให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่เกรงว่า เพลิงจะลุกลามเข้าไปในปั๊มนั้น





ล่าสุด เมื่อเวลา 18.50 น. บริเวณชั้นที่ 3-4 ของอาคารประภากร ออยล์ เจ้าหน้าที่ใช้รถกระเช้าขึ้นฉีดน้ำดับเพลิงในอาคาร เพลิงสงบแล้ว ส่วนอาคารโกดังยังระดมฉีดน้ำดับเพลิง ซึ่งล่าสุดคุมเพลิงได้แล้ว















ขอบคุณแหล่งที่มา: sanook.com

19/4/64








เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 18 เม.ย. น.ส.เอ (นามสมมุติ) ผู้เสียหายที่ถูกแอบถ่ายภาพใน รพ.สนาม เปิดใจกับ “ข่าวสดออนไลน์” ว่า วันเกิดเหตุเป็นวันที่ 12 เม.ย. เป็นวันที่เข้ามารับการรักษาเป็นวันที่ 2 ซึ่งรู้สึกว่า มีอาการปวดหลังมาก เพื่อนจึงแนะนำว่าให้นอนคว่ำแล้วจะดีขึ้น จึงได้ทำตาม และไม่คิดว่าจะโดนแอบถ่ายไปลงโซเชียล เนื่องจากจุดที่ตนเองอยู่นั้น มีแต่ผู้หญิง บางคนก็ใส่ขาสั้น เพราะร้อน ประกอบกับมีไข้เล็กน้อย ทำให้ไม่ค่อยสบายตัว
https://www.facebook.com/watch/?v=146535367413334
“ยอมรับว่าอาจจะไม่รอบคอบพอ เพราะจุดที่อยู่ใกล้ด้านหน้าที่มีคนเข้าออกตลอดเวลา มีที่วัดความดัน ทำให้มีคนเห็นและแอบถ่าย เมื่อเห็นภาพ ก็เครียดมาก มีแต่คนเข้ามาต่อว่า จนความดันขึ้น นอนไม่หลับ วันรุ่งขึ้นได้ขอเจ้าหน้าที่ดูวงจรปิด เพราะอยากทราบว่าใครถ่าย แต่ก็ไม่สามารถดูได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่แจ้งว่า เป็นกล้องรวมทำให้ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จึงตัดสินใจขอย้ายไปรักษาที่อื่น”น.ส.เอ กล่าว





น.ส.เอ กล่าวว่า ตนอยากฝากบอกถึงคนที่แอบถ่าย ว่า ถึงแม้ ตนจะใส่กางเกงขาสั้น แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาถ่ายรูปของตนแล้วเอาไปลงในโซเชียล หรือ คอมเมนท์ต่าง ๆ ที่ต่อว่าตน อยากจะขอให้หยุดว่าและหยุดแชร์รูปต่าง ๆ เพราะตนคือผู้เสียหาย

สำหรับประเด็นที่ให้น้องสาวไปแจ้งความ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับแจ้งความนั้น น.ส.เอ กล่าวว่า ครั้งแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า ไม่สามารถแจ้งความได้ ต้องมาแจ้งความด้วยตนเอง พร้อมบอกว่า จะแจ้งทำไม ไม่เห็นหน้า แต่ตนมองว่า ตนคือผู้เสียหาย จึงยืนยันที่จะแจ้งความ เมื่อเรื่องนี้เป็นข่าว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ติดต่อมา แจ้งว่าให้รวบรวมหลักฐานและข้อความต่าง ๆ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรับเรื่องไว้

ทั้งนี้ อยากจะให้เหตุการณ์นี้เป็นกรณีตัวอย่าง ไม่ควรมีใครถูกแอบถ่าย เพราะเขามารักษาตัว จึงอยากให้ทุกคนระมัดระวังตัวเองมากขึ้น














ขอบคุณแหล่งที่มา: khaosod.co.th








จากกรณี โซเชียลแห่แชร์เรื่องราวความน่ารักน่าเอ็นดู ของหนูน้อย 3 ขวบ เตือนพ่อที่ได้รับบาดเจ็บหลังรถมอเตอร์ไซค์ประสบอุบัติเหตุ จนได้รับบาดเจ็บทั้งพ่อทั้งลูก ด้วยประโยคน่ารักน่าเอ็นดู  "ไม่ชนตรงนี้แล้วนะ ไม่ขับรถเร็วแล้วนะ น้องเจ็บน้องกลัวเลือด" และ "น้องจะไม่ชวนพ่อแหลงแล้วนะเวลาพ่อขับรถ"  ขณะที่ชาวเน็ตแห่ให้กำลังใจเด็กน้อยและชื่นชมจำนวนมาก

ผู้โพสต์เรื่องราวดังกล่าวคือ น.ส.รัตนมณี สายนุ้ย หรือ น้องแพร อายุ 19 ปี  เจ้าหน้าที่อาสาชีพมูลนิธิ มิราเคิลออฟไลฟ์ จ.กระบี่ ที่ออกช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ  เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเวลา ประมาณ 20.00 น. เมื่อคืนที่ผ่านมา  รับแจ้งจาก ศูนย์นพรัตน์ ว่าเกิดอุบัติเหตุ  รถจักรยานยนต์ล้ม บริเวณจุดยูเทิร์น ถนนเพชรเกษม ก่อนถึงห้างแมคโคร สาขากระบี่ ตำบลทับปริก อำเภอเมืองกระบี่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย เป็นพ่อลูกกัน ผู้เป็นพ่อ อายุ 33 ปี มีบาดแผลฉีกขาดบริเวณหัวแม่เท้าด้านซ้าย มีแผลถลอกทั่วไปตามร่างกาย รายที่ 2 เป็นลูกสาว อายุ 12 ปี ปวดข้อแขนด้านซ้าย แผลถลอกทั่วไปตามร่างกาย และรายที่ 3 ลูกชาย อายุ 3 ขวบ  มีแผลถลอกทั่วไปตามร่างกาย มีรอยฟกช้ำที่หน้าผาก เจ้าหน้าที่ให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาล ก่อนนำส่ง รพ.กระบี่ ซึ่งระหว่างที่เจ้าหน้าที่นำตัวพ่อขึ้นบนรถกู้ภัย ลูกชาย 3 ขวบที่นั่งข้างๆ ก็พูดกับพ่อในลักษณะดังกล่าว ได้ยินแล้วก็รู้สึกเอ็นดู ในความน่ารักของเด็ก ที่พยายามที่จะเตือนพ่อด้วยความเป็นห่วงทั้งที่ตัวเองก็เจ็บจากอุบัติเหตุเช่นกัน โดยบทสนทนาระบุว่า

น้อง :  พ่อครับพ่อเจ็บม้าย(สำเนียงภาษาใต้) พ่อเจ็บตรงไหนม้าย เเต่น้องก็เจ็บนะ น้องมีเลือดออกด้วย แต่ว่าน้องเป็นห่วงพ่อมากนะครับ

พ่อ: พ่อไม่เจ็บครับพ่อขอโทษนะลูกนะ





น้อง: น้องจะไม่ชวนพ่อแหลงแล้วนะเวลาพ่อขับรถ พ่อจำไว้เลยนะ พ่อไม่ชนตรงนี้แล้วนะ พ่อไม่ขับรถเร็วแล้วนะทีนี้ น้องเจ็บน้องกลัวเลือด

พ่อ: ครับลูก    

ภายหลังเผยแพร่เรืองราวดังกล่าวออกไป ปรากฏว่ามีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นและชื่นชมในความน่ารักน่าเอ็นดูของหนูน้อยคนดังกล่าว และแชร์ต่อกันเป็นจำนวนมาก





ล่าสุดวันที่ 18 เม.ย.64  ผู้สื่อข่าวเดินทางสอบถามผู้เป็นพ่อที่อยู่ในภาพ นายอนุวัตร เพ็ชรกุล อายุ 30 ปี ชาว ต.กระบี่ใหญ่ อ.เมือง จ.กระบี่ กล่าวว่า ตนเองมีลูกชายเพียงคนเดียว คือ น้องเป็นต่อ ตนเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงดูลูกตามลำพัง ปัจจุบันได้เลิกรากับภรรยาได้ 2 ปี น้องเป็นต่อ อัธยาศัยดี เป็นคนร่าเริง  เป็นคนพูดเก่ง

วันเกิดเหตุได้เดินทางไปทำธุระ โดยมีลูกพี่ลูกน้องเป็นเด็กหญิงวัย 12 ปี นั่งซ้อนท้าย น้องเป็นต่อนั่งตรงกลาง เมื่อไปถึงจุดเกิดเหตุ ตรงจุดกลับรถ ในพื้นที่ตำบลไสไทย น้องเป็นต่อได้ชวนคุย  จังหวะนั้นตนได้หันไปคุยกับลูกชาย โดยไม่ได้มองทาง รถเกิดปีนขึ้นฟุตปาธเสียหลักล้มลง จนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว

ต่อมากู้ภัยเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งระหว่างนำส่ง รพ.กระบี่ น้องเป็นต่อก็นั่งคุยอยู่ข้างๆ ทำนองว่ารู้สึกผิด ที่ชวนพ่อคุยเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ ตอนแรกตนก็ไม่ได้คิดอะไร มารู้อีกทีว่ามีกู้ภัยนำเรื่องราวดังกล่าวโพสต์ขึ้นโซเชียล จนเป็นข่าวออกไป จนมีคนเข้ามาให้การชื่นชมและเอ็นดูกันเป็นจำนวนมาก















ขอบคุณแหล่งที่มา: sanook.com

18/4/64


หนุ่มใหญ่ วัย 58 ปี ชาวอินโดนีเซีย เข้าพิธีแต่งงานกับสาววัย 19 ปี หลังโดนแม่เจ้าสาวปฏิเสธคำขอแต่งงาน ก่อนยกลูกสาวคนโตให้แต่งแทน

วันนี้ (11 เม.ย.) เว็บไซต์ WORLD OF BUZZ รายงานเรื่องราวการแต่งงานของชายชาวอินโดนีเซียวัย 58 ปี ที่เข้าพิธีแต่งงานกับสาววัย 19 ปี หลังจากที่แม่ของเธอปฏิเสธที่จะแต่งงานกับหนุ่มใหญ่รายนี้ ก่อนจะยื่นขอเสนอให้ลูกสาวของเธอแต่งงานกับเขาแทน





พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างชื่นมื่น เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยงานจัดขึ้นในเขตบอนโตคานิ จังหวัดซูลาเวซีใต้ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเจ้าบ่าวได้เสนอค่าสินสอดประมาณ 10 ล้านรูเปียห์ (ประมาณ 22,000 บาท) และที่ดินอีกประมาณ 7 ไร่ ให้กับฝ่ายเจ้าสาว

รายงานระบุว่า โบรา เจ้าบ่าวเป็นชายโสด ที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง ส่วน ฟาซิลลาห์ เจ้าสาว นั้นเป็นลูกสาวคนโต ในบรรดาพี่น้องทั้ง 3 คน โดยแม่ของเธอที่เป็นชาวนานั้นได้ทำงานอย่างหนักเพียงตัวคนเดียวเพื่อเลี้ยงลูกๆ ทั้งสามมานาน หลังจากที่แม่และพ่อหย่าร้างกัน

ก่อนหน้านี้ โบรา เจ้าบ่าวได้ไปขอแม่ของฟาซิลลาร์แต่งงาน แต่แม่ของเธอก็ปฏิเสธคำขอแต่งงาน และได้เสนอว่าจะยกลูกสาวคนโตให้มาเป็นเจ้าสาวแทน ด้านฟาซิลลา เจ้าสาว ก็ตอบตกลงที่จะแต่งงานกับเจ้าบ่าว เพราะเห็นว่าโบรามีอายุมากแล้วและอาศัยอยู่คนเดียว จึงมีความต้องการที่จะดูแลเขาไปจนกว่าความตายจะมาพรากไป

ด้าน อิซาคผู้ใหญ่บ้าน เปิดเผยว่า พิธีดังกล่าวเกิดขึ้นบนความยินยอมจากทั้งคู่และครอบครัวทั้งสองฝ่ายก็ยินยอมแล้ว งานแต่งงานในครั้งนี้จึงเกิดขึ้นอยู่บนพื้นฐานของความรักที่บ่าวสาวมีต่อกัน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อยู่คงต่อไป













ขอบคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com

 นางสาวอีฟ (นามสมมุติ)  อายุ 20 ปี ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม ศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา ที่ถูกแอบถ่ายขณะนอนอยู่บนเตียงและถูกแชร์ในโลกออนไลน์  เปิดเผยว่า ติดเชื้อหลังจากไปเที่ยวในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา โดยหอผู้ป่วยมีการแยกชายหญิงเป็นสัดส่วน





เมื่อวันที่ 12 เมษายน  ตนมีอาการปวดหลังและปวดขา จึงได้นอนคว่ำตัวบนเตียง เพื่อบรรเทาอาการปวดและไม่ทราบว่ามีคนแอบถ่ายตนเองอยู่ ขณะนั้นตนเองได้ถอดกางเกงผู้ป่วยออก เนื่องจากรุ่มร่ามไม่สะดวก ซึ่งสวมกางเกงขาสั้นซ้อนอยู่ด้านใน

ต่อมาวันที่ 15 เมษายน มีเพื่อนส่งรูปตนเองที่ถูกแชร์ในโลกโซเชียลมาให้ดู ปรากฏว่าหลายกลุ่มมีทั้งคอมเมนท์ด่าทอหยาบคาย และ เพื่อนผู้ป่วยด้วยกันก็มาถามว่าตนเป็นคนในรูปใช่หรือไม่ ทำให้รู้สึกแย่มาก ทั้งที่เราป่วยอยู่ ยังต้องมารับรู้เรื่องราวแบบนี้ จนเกิดอาการเครียด ไม่กล้าโทรศัพท์ไปปรึกษาผู้ปกครอง เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นห่วงและกังวลใจ จึงตัดสินใจโทรศัพท์ พูดคุยกับน้องสาวและบอกให้น้องสาวไปแจ้งความแทน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกให้ตนมาแจ้งความเอง หรือต้องมีหนังสือมอบอำนาจ แต่ติดที่ว่าตนยังรักษาตัวอยู่จึงไม่สามารถออกไปแจ้งความได้ จึงตัดสินใจสอบถามภาพวิดีโอวงจรปิดจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสนาม แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ทำให้เกิดความกังวลใจเรื่องความปลอดภัย จึงขอย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา





นางสาวอีฟ กล่าวว่า รู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งทางทีมแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ได้กำชับผู้ป่วยห้ามถ่ายรูปคนอื่น ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งอาจจะเกิดที่ตนไม่ระวังตัวในการสวมใส่เสื้อผ้า ประกอบกับเตียงที่ตนนอนรักษาตัวเป็นจุดที่ผู้ป่วยคนอื่นจะเดินผ่านเพื่อไปวัดไข้ วัดความดัน ทำให้มีคนเดินผ่านไปมาตลอด

แต่อย่างไรก็ตามบุคคลอื่นก็ไม่มีสิทธิ์จะมาแอบถ่ายรูปตนซึ่งอยู่ในอิริยาบถที่ไม่เหมาะสมแบบนี้เผยแพร่ออกไป ซึ่งหลังจากที่ตนรักษาตัวจนหายดีแล้วจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่แอบถ่ายรูปตนไปเผยแพร่ รวมถึงคนที่แชร์รูปออกไปจนแพร่หลายและคนที่เข้ามาคอมเมนต์ด่าทอทำให้เสียหายอีกด้วย

เบื้องต้น ตนได้ขอให้เพื่อนที่อยู่ข้างนอก ช่วยรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อแจ้งความดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ ข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง










ขอบคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/8367210/

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget