8/7/64








ประธานาธิบดี โฌเวเนล โมอิส แห่งประเทศเฮติ ถูกกลุ่มมือปืนบุกสังหารถึงที่บ้านพักภายในทำเนียบประธานาธิบดี ในกรุงปอร์โตแปรงซ์ ขณะที่ภริยาถูกยิงได้รับบาดเจ็บ

นายโมอิสใช้เวลาตลอดปีที่ผ่านมา ทำสงครามการเมืองกับกลุ่มฝ่ายค้าน เรื่องวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา ซึ่งฝ่ายค้านยืนยันว่าครบแล้ว แต่โมอิสอ้างว่าเหลืออีก 1 ปี

การเสียชีวิตของนายโมอิส เกิดขึ้นในขณะที่เฮติเผชิญเหตุความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง และยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ใครจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อ เพราะตัวเลือกลำดับ 1 นั้น เสียชีวิตเพราะโควิด-19 ไปแล้ว

โฌเวเนล โมอิส ประธานาธิบดีแห่งประเทศเฮติ ถูกกลุ่มมือปืนบุกสังหารถึงในทำเนียบประธานาธิบดี ในเมืองหลวงกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมื่อช่วงเช้ามืดวันพุธที่ 7 ก.ค. 2564 โดยที่ภริยาของเขาถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส



นายโมอิส เป็นผู้นำเฮติ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศยากจนที่สุดในโลกมาตั้งแต่ปี 2560 และต้องเผชิญการประท้วงเป็นวงกว้างหลายครั้ง ของประชาชนที่ต้องการให้เขาลาออกจากตำแหน่ง ด้วยข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน ซึ่งกลุ่มฝ่ายค้านระบุว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้ความรุนแรงในประเทศพุ่งสูงขึ้น ความเป็นอยู่ของประชาชนย่ำแย่ลง





นอกจากนั้น ในช่วงปีที่ผ่านมา ยังเกิดข้อพิพาทเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโมอิส ซึ่งควรจะครบ 5 ปีไปแล้วหากนับตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่นายโมอิสยืนกรานว่า เขายังเหลือวาระอีก 1 ปี จนเกิดการประท้วงขับไล่เขาอีกระลอกตั้งแต่ต้นปี 2564

อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของนายโมอิสทำให้การปกครองของเฮติตกสู่ความไม่แน่นอนอีกครั้ง เนื่องจากยังไม่แน่ชัดว่า ใครจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจแทนเขาจนกว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพราะตัวเลือกลำดับ 1 นั้น เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 ไปแล้ว

นาย โคล้ด โจเซฟ นายกรัฐมนตรีรักษาการแห่งเฮติ ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ประธานาธิบดี โฌเวเนล โมอิส วัย 53 ปี ถูกบุกสังหาร โดยการโจมตีเกิดขึ้นที่ทำเนียบประธานาธิบดี เมื่อเวลาประมาณ 1:00 น. วันที่ 7 ก.ค. 2564 ฝีมือของ “กลุ่มติดอาวุธหนักที่ได้รับการฝึกฝนในระดับสูง”

นายโจเซฟไม่ได้ระบุว่า คนร้ายเป็นใคร แต่สื่อสหรัฐฯ อย่าง ไมอามี เฮอรัลด์ เผยแพร่คลิปวิดีโอซึ่งพวกเขาอ้างว่าถ่ายในที่เกิดเหตุ มีเสียงหนึ่งในมือปืนประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ (DEA)

ด้านนายบอคคิต เอ็ดมอนด์ เอกอัครราชทูตเฮติประจำสหรัฐฯ บอกว่า เขาได้ดูคลิปวิดีโอดังกล่าวแล้ว และเชื่อว่า คนกลุ่มนี้แสร้งทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่ DEA แต่แท้จริงแล้ว พวกเขาเป็นทหารรับจ้าง เป็น “นักฆ่าที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี” ก่อนที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ จะออกมายืนยันเช่นกันว่า คนกลุ่มนี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ DEA



อย่างไรก็ดี การสังหารนายโมอิส ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องประกาศ “สถานการณ์ปิดล้อม” (state of siege) ซึ่งเป็นขั้นที่ 2 จาก 3 ระดับในระบบภาวะฉุกเฉินของเฮติ หมายถึงให้ปิดพรมแดนทั้งหมด รวมทั้งประกาศใช้กฎอัยการศึกชั่วคราว มอบอำนาจให้ทหารและตำรวจแห่งชาติ บังคบใช้กฎหมายได้

ส่วนนางมาร์ติน โมอิส ภริยาของนายโมอิส ได้รับบาดเจ็บในการโจมตีครั้งนี้ด้วย โดยนายเอ็ดมอนด์ เผยว่า สุภาพสตรีหมายเลข 1 มีอาการวิกฤติแต่ทรงตัว และเธอจะถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่สหรัฐฯ

โดนประท้วงขับไล่ตั้งแต่ปี 2562

เมื่อปี 2562 มีรายงานของศาลถูกเผยแพร่ออกมา กล่าวหาเจ้าหน้าที่และอดีตรัฐมนตรีหลายคน ว่ายักยอกเงินทุนเพื่อการพัฒนามูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กู้มาจากเวเนซุเอลานับตั้งแต่ปี 2554 ทำให้โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต้องหยุดชะงัก เอกสารยังกล่าวหานายโมอิสว่ามีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติหลายอย่าง

การเปิดเผยเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจไปทั่วประเทศ กลุ่มฝ่ายค้านเรียกร้องให้ประชาชนออกมาประท้วง ซึ่งมีผู้ชุมนุมหลายพันคนออกมารวมตัวกันต่อต้านรัฐบาลอย่างรุนแรงในกรุงปอร์โตแปรงซ์ เพื่อทวงถามว่า เงินที่ควรถูกนำมาช่วยประเทศนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน และเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโมอิสลาออกจากตำแหน่ง แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม





ด้านกลุ่มฝ่ายค้านซึ่งประกอบด้วยพรรคการเมือง, กลุ่มศาสนา, กลุ่มประชาสังคม, สมาชิกฝ่ายตุลาการและองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวหารัฐบาลของนายโมอิสว่า มีปัญหาเรื่องการทุจริตและการไร้ความรับผิดชอบเรื้อรัง ซึ่งส่งผลให้การก่ออาชญากรรมแบบเป็นกลุ่มแก๊งและการลักพาตัวเพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับมาตรฐานการใช้ชีวิตของประชาชนในชาติที่ตกต่ำลง

นายโมอิสยังถูกโจมตีว่าไร้ความรับผิดชอบที่เลื่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติจากเดือนตุลาคม 2562 เป็นเดือนเดียวกันปี 2564 ซึ่งทำให้จนถึงทุกวันนี้ เฮติไม่มีรัฐสภา และนายโมอิสออกกฎหมายโดยใช้อำนาจกฤษฎีกาเพียงอย่างเดียว

ครองตำแหน่งอย่างไม่ชอบธรรม

นายโมอิสยังใช้เวลาตลอดปีที่ผ่านมา ทำสงครามการเมืองกับกลุ่มฝ่ายค้าน เรื่องความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดการประท้วงรอบใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จนเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจ มีผู้ได้รับบาดเจ็บไปหลายราย

กลุ่มฝายค้านยืนยันว่า วาระ 5 ปี ของนายโมอิสควรสิ้นสุดในวันที่ 7 ก.พ. 2564 เพราะตามรัฐธรรมนูญ วาระการดำรงตำแหน่งจะเริ่มขึ้นเมื่อทราบผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่นายโมอิสอ้างว่า วาระของเขาควรสิ้นสุดลงในปี 2565 เนื่องจากข้อกล่าวหาเรื่องการโกงเลือกตั้งปี 2558 ทำให้การสาบานตนรับตำแหน่งของเขาถูกเลื่อนออกไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2560

นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้ว นายโมอิสยังวางแผนจะจัดการลงคะแนนเสียงประชามติ เพื่อยกเครื่องรัฐธรรมนูญของประเทศ โดยอ้างว่า จำเป็นต้องทำให้ทันสมัย แต่กลุ่มฝ่ายค้านกังวลว่า เขาจะแก้กฎหมายส่วนที่ห้ามประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 สมัย ซึ่งจะทำให้เขาสามารถลงเลือกตั้งได้อีกครั้งในเดือนกันยายน

ใครจะสืบทอดอำนาจ

นาย ฌอง วิลแนร์ มอแรง ประธานสมาคมผู้พิพากษาแห่งชาติของเฮติ ยอมรับกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า ใครจะเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีแทนนายโมอิส กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีความชัดเจน

ตามปกติแล้ว ตัวเลือกลำดับ 1 ที่ได้เป็นประธานาธิบดีต่อ ในกรณีที่ผู้นำประเทศไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้คือ ประธานศาลฎีกา ซึ่งคนล่าสุดคือ เรเน ซิลเวสเตอร์ แต่เขาเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้เนื่องจากติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และพิธีศพก็กำลังจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 7 ก.ค.

หรือถ้ารักษาการนายกรัฐมนตรี โคล้ด โจเซฟ ต้องการขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ เขาต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน แต่ทำไม่ได้ เพราะตอนนี้ เฮติไม่มีสภานิติบัญญัติ

นายมอแรงบอกอีกว่า ในปี 2558 เคยมีกรณีที่ประธานรัฐสภาแห่งชาติมารับตำแหน่งผู้นำเพื่อปิดช่องว่าง แต่ปัจจุบันกลับไม่มีผู้ที่ดำรงตำแหน่งนั้น อย่างไรก็ตาม เฮติยังเหลือสมาชิกวุฒิสภาอีก 1 ใน 3 ที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ซึ่งนายโจเซฟ แลมเบิร์ต ผู้นำวุฒิสมาชิก อาจกลายเป็นตัวเลือกลำดับถัดไปก็เป็นได้

วิกฤติเลวร้ายลง

การเสียชีวิตของนายโมอิสเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศที่ยังคุกรุ่น โดยเฉพาะในกรุงปอร์โตแปรงซ์ กลุ่มแก๊งคู่อริต่อสู้กันเองหรือปะทะกับตำรวจ เพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าถิ่นตามพื้นที่ต่างๆ ขณะที่การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเฮติก็เลวร้ายลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพวกเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก ที่ยังไม่เริ่มฉีดวัคซีนต้านไวรัสให้แก่ประชาชนเลย

ในเวลาเดียวกัน เฮติก็กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก โดยเศรษฐกิจของประเทศหดตัวตั้งแต่ก่อนการมาของโควิด-19 แล้ว และถดถอยขึ้นอีก 3.8% ในปี 2563

ขณะที่ประชากรเฮติที่อยู่ในเกณฑ์ยากจนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 60% ด้านองค์กรยูนิเซฟเตือนในเดือนพฤษภาคมว่า จำนวนเด็กที่เป็นโรคขาดสารอาหารรุนแรงในประเทศแถบแคริบเบียนแห่งนี้ จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าภายในปีนี้ เพราะปัญหาความรุนแรงและประชาชนเข้าไม่ถึงบริการที่จำเป็น















ขอบคุณแหล่งที่มา: thairath.co.th

0 comments:

แสดงความคิดเห็น

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget