27/9/60






ยอมรื้อแล้ว เศียรพระพุทธรูปแต่งรั้วบ้าน ที่ จ.เชียงใหม่ เจ้าของบ้านขอโทษ เผยชื่นชอบพุทธศิลป์ ไม่คิดลบหลู่ศาสนา ส่วนเศียรพระพุทธรูปขอเก็บไว้ตกแต่งบ้านเป็นการส่วนตัว  

ความคืบหน้าหลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.หางดง พร้อมตำรวจ สภ.หางดง เข้าตรวจสอบบ้านหลังหนึ่ง บ้านแพะขวาง หมู่ 3 ต.น้ำแพร่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ หลังได้รับแจ้งว่าบ้านหลังดังกล่าว นำเศียรพระพุทธมาตกแต่งกำแพงบ้าน ทำให้ชาวบ้านที่ผ่านไปพบเห็นรู้สึกสะเทือนใจและมองว่าเป็นการลบหลู่พระพุทธศาสนา โดยเจ้าหน้าที่พบเศียรพระพุทธรูปจำนวนมากถูกวางเรียงบนกำแพงบ้าน จึงขอความร่วมมือให้รื้อออก เนื่องจากเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม

ล่าสุด (26 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวเข้าสำรวจที่บ้านหลังดังกล่าวอีกครั้ง พบว่าเจ้าของบ้านได้เริ่มนำเศียรพระพุทธรูปออกแล้วบางส่วน ขณะที่นางนวลจันทร์ อายุ 34 ปี เจ้าของบ้าน บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองและสามีชาวอเมริกันวัย 68 ปี รู้สึกเสียใจที่ถูกชาวบ้านและชาวเน็ตรุมด่า พร้อมกับชี้แจงว่าตนเองกับสามี ซื้อที่ดินพร้อมบ้านหลังนี้มาได้ประมาณ 8 เดือน ด้วยความที่ตนเองและสามีชื่นชอบในพุทธศิลป์อยู่แล้ว จึงอยากจะตกแต่งบ้านตามความชอบ โดยซื้อเศียรพระพุทธรูปจากแหล่งผลิตแห่งหนึ่งใน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเศียรพระพุทธรูปปูนที่ถูกทิ้งไปแล้ว จึงซื้อเหมามาในราคาประมาณ 35,000 บาท นำมาให้ช่างทาสีทองสวยงาม ก่อนจะนำไปประดับไว้ที่รั้วบ้าน แต่ก็มาทราบภายหลังว่ามีเพื่อนบ้านถ่ายภาพเอาไปเผยแพร่ในสังคมออนไลน์จนถูกร้องเรียน





นางนวลจันทร์ ยืนยันว่า ไม่มีเจตนาลบหลู่หรือดูหมิ่นศาสนาพุทธ เพราะตนเองก็นับถือศาสนาพุทธ แต่มองว่าพระพุทธรูปอยู่ที่ไหนก็งดงามควรค่าแก่การเคารพ ส่วนประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้น ไม่ทราบมาก่อนว่าทางภาคเหนือจะมองว่าเรื่องแบบนี้ไม่เหมาะสม มาทราบก็ตอนที่เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจที่บ้าน ตนเองและสามีรู้สึกตกใจมาก และยืนยันว่าตนเองและสามีเคารพศรัทธาในพุทธศาสนา ตนเองเข้าวัดมาตั้งแต่เด็ก ส่วนสามี แม้จะเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็เข้าวัดบ่อยครั้งที่มีโอกาส สิ่งที่เกิดขึ้นก็อยากขอโทษทุกคน

Advertisement Replay Ad
นางนวลจันทร์ บอกอีกว่า นอกจากชื่นชอบในพุทธศิลป์ อีกสาเหตุหนึ่งที่นำเศียรพระพุทธรูปมาประดับรั้วโดยหันหน้าเศียรพระเข้ามาในตัวบ้าน ก็เพราะว่าบ้านของตนเองตั้งอยู่ด้านหลังสุสานประจำหมู่บ้าน จึงเชื่อว่าเศียรพระพุทธรูปที่หันหน้าเข้าตัวบ้านจะช่วยปกปักรักษาให้คนในบ้านปลอดภัยไร้สิ่งรบกวน

สำหรับเศียรพระพุทธรูปที่ซื้อมามีทั้งหมดประมาณ 70 ชิ้น ทาสีและนำขึ้นตกแต่งบนรั้วแล้ว 33 ชิ้น ส่วนที่เหลือรอช่างมาทาสีและตั้งใจนำไปประดับตกแต่งทั่วบริเวณบ้าน แต่เมื่อถูกทักท้วงก็ยินดีร่วมมือ โดยจะนำเศียรพระพุทธรูปลงจากรั้วทั้งหมดและจะนำไปตกแต่งภายในบริเวณบ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัว ส่วนใครที่อยากได้ก็ยินดีจะขายให้ในราคาต้นทุน

ด้านนายอุบลพันธ์ ขันผนึก ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า กรณีที่เกิดขึ้นยังไม่เข้าข่ายการดูหมิ่นหรือย่ำยีพุทธศาสนา แต่เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากพระพุทธรูปเป็นสิ่งเคารพบูชา ไม่ใชของประดับตกแต่งทั่วไป เมื่อเจ้าของให้ความร่วมมือก็ต้องขอบคุณ แต่หากยังพบว่ามีการกระทำที่ยังไม่เหมาะสมก็จะต้องให้ฝ่ายปกครองท้องที่ใช้กฎหมายที่ถืออยู่เข้าดำเนินการ

ส่วนหลังจากนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ ก็จะประสานงานไปยังวัดทุกแห่งให้ช่วยกันสอดส่องและช่วยประชาสัมพันธ์เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีก









ที่มา: http://news.sanook.com/3656418/

26/9/60






ชาวพุทธไม่สบายใจ ชาวต่างชาติได้ภรรยาคนไทย สร้างบ้านที่เชียงใหม่ ใช้เศียรพระพุทธรูปตกแต่งรั้วกำแพง

(25 ก.ย.) เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.หางดง พร้อมตำรวจ สภ.หางดง เข้าตรวจสอบบ้านหลังหนึ่ง บ้านแพะขวาง หมู่ 3 ต.น้ำแพร่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ หลังได้รับแจ้งว่าบ้านหลังนี้ได้นำเศียรพระพุทธรูป มาตกแต่งกำแพงบ้าน ทำให้ชาวบ้านที่ผ่านไปพบเห็นรู้สึกสะเทือนใจเพราะเป็นภาพที่ไม่เหมาะสมสะเทือนใจชาวพุทธ

จากการตรวจสอบพบบ้านหลังดังกล่าวมีพื้นที่กว้างขวาง  ลักษณะคล้ายบ้านพักตากอากาศ บนกำแพงมีเศียรพระพุทธรูปสีทองวางเรียงกันเป็นแนวยาวตลอดกำแพง ตรวจสอบภายในบริเวณบ้านยังพบเศียรพระพุทธรูปและพระพิฆเนศหลายขนาด วางอยู่ริมทางเดินตลอดสองข้างก่อนถึงตัวบ้าน ขณะที่การตรวจสอบไม่พบตัวเจ้าของบ้าน




ชาวบ้านบริเวณนี้บอกว่าบ้านหลังนี้มีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติ มีภรรยาเป็นคนไทย โดยมีการนำเศียรพระพุทธรูปมาตกแต่งบ้านมานาน ทำให้ชาวบ้านไม่สบายใจและร้องเรียนไปยังผู้ใหญ่บ้านให้เข้ามาแก้ไข

ส.อ.ไพรินทร์ กาไวย์ ผู้ใหญ่บ้านแพะขวาง เปิดเผยว่า หลังรับแจ้ง ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครองเข้าตรวจสอบ โดยพบว่าเป็นบ้านชาวต่างชาติ หลังเข้าตรวจเจ้าหน้าที่ได้โทรศัพท์แจ้งให้ทราบเบื้องต้นว่าจะอาศัยอำนาจปกครองท้องที่ให้รื้อถอนเศียรพระทั้งหมดภายใน 2 สัปดาห์

นางเกษสุดา ต.เจริญ นักวิชาการศาสนาชำนาญการพิเศษ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่าการนำเศียรพระพุทธรูปมาตกแต่งบ้านในลักษณะนี้ ถือเป็นการดูหมิ่นย่ำยีพระพุทธศาสนา เบื้องต้นได้ประสานคณะสงฆ์ผู้ปกครองพื้นที่และฝ่ายปกครอง เข้าไปชี้แจงขอความร่วมมือในการรื้อถอนและหลังจากนี้จะเข้าตรวจสอบอีกครั้ง หากยังไม่ได้รับความร่วมมือก็จะขอให้ฝ่ายปกครองใช้อำนาจในการสั่งรื้อถอน

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากภรรยาของเจ้าของบ้านที่เป็นคนไทยยังนับถือศาสนาพุทธจะให้ความร่วมมือ พร้อมอธิบายถึงความเหมาะสมให้กับสามีต่างชาติได้เข้าใจ









ที่มา: http://news.sanook.com/3644514/

23/9/60







พระพุทธศาสนาในยุโรปขณะนี้เริ่มเป็นที่สนใจของชาวตะวันตกอย่างสูง และสำหรับที่ ประเทศ อังกฤษ   ที่มีความสัมพันธ์กับชาวพุทธในปคะเทศไทย ได้ทำหนังสือผ่านสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน เชิญผู้แทนสงฆ์ไทยพร้อมด้วยอธิบดีกรมการศาสนาเดินทางไปอังกฤษเพื่อทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและจัดหลักสูตรการศึกษาธรรมะ และมีการอนุมัติจากรัฐบาลไทยตั้งแต่ปีพ.ศ 2507 ต่อมามีการสร้างวัดไทย และตั้งมูลนิธิพระพุทธศาสนาขึ้นที่กรุง ลอนดอน

โดยวัดไทยวัดแรกที่กรุงลอนดอน คือ วัดพุทธปทีป  มีพระสงฆ์ไทยอยู่จำพรรษา และประกอบศาสนกิจ จากนั้นก็มีวัดไทยตั้งขึ้นตามมาอีกหลายแห่ง เช่น  วัดป่าจิตตวิเวก  และ วัดป่าสันติธรรม  และจากนั้นเป็นต้นมาพุทธศาสนาในอังกฤษได้เป็นที่สนใจของคนอังกฤษ และชาวยุโรปเป็นจำนวนมาก

และในเฟสบุคที่ใช้ชื่อว่า Sutham Mee Nateetong โพสต์เรื่องราวของพระไทยในอังกฤษที่มีโอกาสเข้าไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเรือนจำที่อังกฤษ





"พระไทยเข้าคุกอังกฤษ เราเข้าไปปฎิบัติศาสนกิจมีพระราชภาวนาวิเทศ ,เจ้าคุณเขมธัมโม วัดป่าสันติธรรม อังกฤษ ,พระราชวิเทศปัญญาคุณ เจ้าคุณเหลา วัดมหาธาตุ สหราชอาณาจักร ,  ท่านพิษณุ สุวรรณะชฏ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน พร้อมด้วยพระสงฆ์ และชาวไทยในอังกฤษในอังกฤษเข้าไปเทศนาธรรม

และนำนักโทษ300คนเดินจงกรมเวียนเทียนรอบพระพุทธรูปภายในคุก HM Prison Spring Hill สร้างความปิติยินดีและเข้าใจในธรรมให้แก่นักโทษและพัศดีผู้คุมเป็นอันมาก















ที่มา: Sutham Mee Nateetong  / www.baanjomyut.com / การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศยุโรป





Karisorn Phommachan ได้โพสต์ถามหญิงคนหนึ่งว่ากระเป๋าแบรนด์เนมที่ชีสะพาย อยู่นั้นได้ซื้อมาจากแหล่งไหนบ้าง? ถ้าจะตอบแบบไม่คิดอับอายขายขี้หน้าวงศ์ตระกูล ก็คงตอบตามข้อความบนกระเป๋าทันทีเลยว่า ได้มาจากงานทอดกฐินจ้า "ที่ระลึกในงานทอดกฐิน" 555

แต่หากจะคิดสักนิดว่าในโลกใบนี้ มันมีอะไรมากมายที่หลายคนไม่อยากรู้ว่า โลกใบนี้พัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว หลายปีก่อนก็เคยมีนักพัฒนาออกแบบกระเป๋าเคยประดิษฐ์กระเป๋าคล้ายกระสอบสีรุ้งบ้านเรา เอาไปขายบนห้างปารีสมาแล้ว กระเป๋าที่เห็นในรูปนี้ คือไม่อยากจะคุยเลยว่า นี่คือกระเป๋าเกรดเอ แน่นอนไม่ใช่ของก๊อปชัวร์




Clever Monk ย่ามพระ ย่ามพระธุดงค์ ย่ามพระกึ่งธุดงค์ สีพระราชทาน Chanel, Louis Vuitton, Givenchy, Gucci และ Saint Laurent หลากหลายลองเข้าไปเลือกซื้อได้ในเว็บนะโยม

#ย่ามนั้นท่านได้แต่ใดมา5555
















ที่มา: @Karisorn Phommachan / https://board.postjung.com/1047296.html

22/9/60







เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2560 โลกออนไลน์มีการแชร์คลิปจากผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ Tongchana Paeloy ได้เผยแพร่คลิปขณะทำการช่วยเหลือลูกสุนัขที่จมน้ำ โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารนายหนึ่งพยายามทำการ CPR อย่างระทึก สุดท้ายสุนัขตัวนี้สามารถรอดมาได้ จนหลายคนยกย่องให้เป็นฮีโร่ เล็งเห็นถึงชีวิตเล็กๆก็มีค่า






ประเภท : คลิปข่าว









ที่มา:Tongchana Paeloy






แม้ในทางคดีจะยุติแล้ว เมื่อศาลตัดสินจำคุกแม่ลูกด่าตำรวจ 1 เดือน โดยให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี แต่ผลพวงในชีวิตของครอบครัวนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะวันนี้ คำพิพากษาจากสังคมในโลกออนไลน์ ทำให้ยังไม่สามารถทำมาหากินได้ปกติ ที่สำคัญ กำลังเกิดความกังวลอย่างมากต่ออนาคตของลูกชาย พร้อมยืนยัน เหตุการณ์ที่ปรากฎในคลิป เป็นเพียงแค่แง่มุมเดียวของชีวิต จึงอยากขอโอกาสกับสังคม

เป็นคำตัดพ้อชีวิตของ "สราวรรณ หว่างตาล" แม่ของเยาวชนอายุ 19 ปี ที่ปรากฎเป็นคลิปแม่ลูกด่าตำรวจในโลกออนไลน์ ตอนนี้เป็นห่วงลูกชายมาก โดยเฉพาะเรื่องการใช้ชีวิตและหน้าที่การงานเมื่อเติบโตขึ้น เพราะมีคนมาแสดงความเห็นเชิงต่อว่าในโลกออนไลน์จำนวนมาก
เวลานี้ในทางคดี ได้ยอมรับความผิดทุกประการ และครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนในชีวิต เพราะในช่วงเกิดเหตุการณ์เข้าใจ ตำรวจบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานเอาผิดเท่านั้น ไม่คิดว่าจะถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะและกลายปัญหาในวงกว้างขนาดนี้





หลังเกิดเหตุการณ์และถูกตำหนิจากคนจำนวนมาก ครอบครัวนี้ เปิดเผยว่า ยังไม่สามารถกลับไปขายอาหารกล่องในจุดเดิมได้เหมือนปกติ คงต้องรอจนกว่า เรื่องจะเงียบลง ที่สำคัญเหตุการณ์ทั้งหมด ได้เปลี่ยนชีวิตและความรู้สึกลูกชายเพียงชั่วข้ามคืน จึงกังวลว่าอนาคตและความเป็นไปของชีวิตลูกชายอย่างมาก แต่ก็ยอมรับว่า เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบเพราะความโมโหที่ไม่สามารถเอาของไปขายทำมาหากินได้ พร้อมอ้างว่า ต้องการขอโทษตำรวจคู่กรณี แต่ได้รับการปฏิเสธ

ส่วนข้อมูลจากข่าวบางสำนักที่เปิดเผยว่า คู่แม่ลูกด่าตำรวจนำคนในเครื่องแบบยศร้อยตำรวจโทมาเป็นข้ออ้าง เพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดี นายธวัชชัย พ่อของเด็กในเด็กคลิป อ้างเป็นการตีความกันเองของสังคมออนไลน์ และฝากขอโทษไปถึงตำรวจที่ถูกพาดพิง ฝั่งตำรวจคู่กรณี ยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในคลิปทุกคนทำตามหน้าที่ ส่วนที่ยอมความไม่ได้เพราะแม่ลูกพูดถึงครอบครัวของเขาในทางไม่เหมาะสม










ที่มา: http://www.topicza.com/news51432.html?d=21092017&f=15813

21/9/60






เมื่อวันที่ 15 ก.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้โบสถ์วัดป่าโค ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมประสานรถดับเพลิงเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา เทศบาลเมืองอโยธยา สมาคมอยุธยารวมใจ รวม 3 คัน ไปควบคุมเพลิง

ที่เกิดเหตุพบว่าเพลิงลุกไหม้เพดานฝาพนังโบสถ์ พัดลมเพดาน โต๊ะหมู่บูชา พระพุทธรูป พรหม พระประธาน ฐานชุกชี ถูกเพลิงไหม้เสียหาย โดยมีพระสงฆ์และชาวบ้านช่วยกันใช้น้ำดับไฟไว้ได้ทัน โดยเฉพาะภาพจิตกรรมฝาผนังภาพ พุทธประวัติถูกเพลิงไหม้เสียหาย ส่วนมูลค่าความเสียหายยังไม่สามารถประเมินได้ ต้องประสานเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรเข้าตรวจสอบ




จากการสอบถามพระพระปรีศักดิ์ ชยวโร อายุ 63 ปี พระลูกวัดวัดป่าโค กล่าวว่า ได้ยินเสียชาวบ้านตะโกนบอกไฟไหม้โบสถ์จึงออกมาดู ก็พบกลุ่มควันจำนวนมากออกมาจากโบสถ์จึงเรียกพระในวัดและชาวบ้านช่วยกันเอาถังดับเพลิงและน้ำเข้ามาดับไฟ โชคดีที่เกิดเพลิงลุกไหม้ช่วงกลางวันและมีคนเห็นก่อนจึงดับไฟไว้ได้ทัน

ด้าน นางไฉไล ประสาทร อายุ 62 ปี ชาวบ้าน กล่าวว่า ตนมาช่วยวัดทำความสะอาดที่โบสถ์ทุกวัน ในโบสถ์จะไม่มีการจุดธูปจุดเทียนโดยเด็ดขาด จะให้จุดธุปจุดเทียนบริเวณด้านหน้าโบสถ์เท่านั้น ตนเข้ามาเห็นไฟลุกที่โบสถ์พอดี จึงร้องเรียกให้พระและชาวบ้านมาช่วยกันดับไฟ

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรเนื่องจากเป็นโบสถ์เก่า อาจจะมีสายไฟฟ้าชำรุดและมีชาวบ้านเห้นว่าไฟลุกมาจากบริเวณเพดานของโบสถ์ ทั้งนี้ สำหรับโบสถ์วัดป่าโคสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ภาพจิตกรรมฝาพนังในโบสถ์มีการบูรณครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ.2518








ที่มา: https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_510146





นักท่องเที่ยวพากันแห่ไปดู “พระพุทธรูป” ซ่อนอยู่ในโพรงต้นไม้อายุ 1,000 ปี โดยเป็นรูปปั้นที่สูงถึง 60 เซนติเมตร สร้างความประหลาดใจว่าเข้าไปอยู่ต้นไม้ได้อย่างไร ซึ่งปรากฏให้เห็นแค่เพียงผ่ารูโพรงเล็กๆ

เฟซบุ๊คเพจ China Xinhua New รายงานว่า  นักท่องเที่ยวที่ได้ไปเยือนหมู่การบ้านเข่าถิง เขตเจี้ยนหยาง มณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ไม่พลาดที่จะมาชมพระพุทธรูปสูง 60 เซนติเมตรที่ซ่อนอยุู่ในโฟรงของต้นการบูรเก่าแก่อายุ 1,000 ปี โดยพระพุทธรูปทำมาจากดินเหนียว เห็นลอดผ่านจากรูเล็กๆที่ตั้งสูงขึ้นจากรากต้นไม้ สร้างความฉงนว่ารูปปั้นเข้าไปอยู่ได้ยังไง




อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารูปปั้นดังกล่าว มาจากตำนานพื้นบ้านที่เล่าว่ามันถูกปั้นแต่งขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงการเสียชีวิตของ จู ซี นักปรัชญาลัทธิขงจื่อของยุคราชวงศ์ซ่ง ก่อนถูกนำมาวางไว้ตรงรอยแยกของต้นไม้ในช่วงเวลานั้น ก่อนที่ต้นไม่จะค่อยๆเติบโตขึ้นมาจนอยู่ในลักษณะที่เห็นปัจจุบัน














ที่มา: board.postjung

20/9/60






วันนี้มาพบกันกับสาระน่ารู้กันอีกครั้ง ยุคนี้ถือเป็นยุคดิจิตอลยุคไอที ที่ไม่ว่าไปที่ไหนทำอะไรก็สะดวกสบายไปซะทุกอย่าง และทีมงานสยามนิวส์เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก แอพเฟสบุ๊คอย่างแน่นอน เพราะวันนี้เราจะพาเพื่อนๆมาดูข้อเสียของเฟสบุ๊ค ที่เรื่องบางเรื่องเราไม่ควรเปิดเผยลงในนั้น เพราะจะส่งผลเสียแก่ตัวผู้ให้เฟสบุ๊คนั่นเอง เอาเป็นว่าเรามาเลื่อนชมภาพด้านล่างกันเลยดีกว่าจ้า

1. ข้อมูลวันเกิด อาจสามารถใช้เข้าถึงบัญชีธนาคารได้


2.เบอร์โทรศัพท์ อาจเป็นหนทางให้พวกโรคจิตโทรมาก่อกวนได้

ถ้าวันๆนึงต้องมารับสายคงจะมึนน่าดู




3.ลบเพื่อนที่ไม่สนิท หรือเพื่อนที่ไม่มีปฎิสัมพันธ์เพราะไม่มีความจำเป็นต้องเก็บไว้

4.ภาพลูกๆหรือสมาชิกครอบครัวที่เป็นเด็ก เพราะบางทีลูกๆคงไม่อยากเห็นภาพตอนเป็นเด็กของเขาก็เป็นได้

5.สถานที่หรือโรงเรียนของลูก ไม่ควรเปิดเผย เพราะอาจทำให้ผู้ไม่หวังดีไปทำร้ายลูกคุณได้


6.การเช็คอินหรือ โลเคชั่นเซอร์วิส อาจทำให้โจรหรือคนร้ายบุกมาหาคุณได้

7.เจ้านาย หากสามารถเข้าสู่สเตตัสของคุณได้อาจมีผลกระทบต่อเรื่องงานของคุณได้

8.หยุดแชทโลเคชั่น อาจทำให้มิจฉาชีพไปหลอกคุณได้

9.คุณอาจไม่ได้รับอนุมัติเงินประกันหากผู้เอาประกันโพสต์แผนที่การท่องเที่ยวผ่านทางโซเชียล

10สถานะความสัมพันธ์ เพราะผลจากการเปลี่ยนสถานะจะยิ่งทำให้คุณแย่ยิ่งกว่า

11.ข้อมูลบัตรเครดิต อย่าได้ลองทำเลยที่เดียว เพราะมันไม่ใช่วิธีที่ดีนักหรอก

ป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ เมื่อได้เห็น 11 ข้อห้ามกันแล้ว เพื่อนๆยังมีอยู่หรือเปล่า ถ้ามีก็ควรรีบทำตามเลยนะคะ ป้องกันไว้ ก่อนที่จะส่งผลเสียต่อตัวเรา ถ้าเพื่อนๆคิดว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ก็สามารถแชร์ได้นะคะ ไม่ว่ากันค่ะ











ที่มา: http://www.kapooza.com/tern-news/





'เป็นชู้มันบาป' ผู้ผิดศีลข้อกาเมฯ เมื่อตกนรกจะมีสภาพเป็นเช่นไร ? บาปของคนเล่นชู้ไม่มีใครช่วยได้

พระอาจารย์เปลี่ยนเล่าไว้! ผู้ผิดศีลข้อกาเมฯ เมื่อตกนรกจะมีสภาพเป็นเช่นไร บาปของคนเล่นชู้ไม่มีใครช่วยได้ #ยิ้มกับความตาย

ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาทีโป เล่าประสบการณ์ในการไปดูนรกของท่านแก่ พระมหาสุภา ชิโนรโส นามปากกาว่า “ส.ชิโนรส” ผู้เขียนหนังสือยิ้มกับความตาย โดย พระมหาสุภา เรียนประสบการณ์ครั้งนี้ ว่า “บาปคนนอกใจ” ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน เล่าว่าครั้งหนึ่งท่านยากจะดูนรกว่าเป็นอย่างไร ท่านจึงเข้าสมาธิจนจิตรวมลงสู่ความสงบ ตัดขาดการรับรู้ภายนอกทั้งหมดแล้วถอดจิตออกสู่อุปจารสมาธิ




..ท่านคิดว่าอยากจะดูนรกขุมที่เกี่ยวกับผู้ผิดศีลข้อกาเมฯ..

ทันใดนั้นท่านก็เห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง รูปร่างใหญ่โตกว่ามนุษย์หลายเท่านัก ผิวเนื้อดำเกรียม หน้าตาดุดันบอกบุญไม่รับ ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้กำลังนำชายคนหนึ่งกับหญิงอีกสี่คนเดินทางมุ่งหน้าไปสู่ศาลาประหลาดหลังหนึ่ง ท่านจึงเดินติดตามคนกลุ่มนี้ไป พอถึงศาลาหลังนั้นท่านก็เห็นขุมนรกที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาตั้งเรียงรายอยู่ข้างศาลาด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ท่านจึงเดินตามคนกลุ่มนั้นเข้าไปภายในศาลา

ท่านเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ ท่านรู้ทันทีว่า.. “เขาผู้นี้คือพญายม” เมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ ท่านเห็นชายอีกคนยืนถือสมุดบันทึกอยู่ในมือ พญายมตวาดถามผู้ที่ถูกนำตัวมาด้วยเสียงอันดังว่า.. “พวกเป็นชู้กันใช่ไหม” ชายที่ถูกนำตัวมารีบปฏิเสธทันทีว่า.. “ไม่ใช่นะท่าน” ผู้ถือสมุดบันทึกเห็นเช่นนั้น ก็เปิดบัญชีขึ้นทันทีแล้วรายงานว่า คนเหล่านี้เป็นชู้กันจริง ในสถานที่นั้นและเวลาเท่านั้น เท่านั้นเองชายที่ปฏิเสธก็นิ่งเงียบไป เพราะรู้ดีว่าตัวเองนั้นทำผิดจริง

ขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือยิ้มกับความตาย ส. ชิโนรโส หน้า ๕๙-๖๑ / FB: เพจวัดป่า @watpah / กิตติ จิตรพรหม : สำนักข่าวทีนิวส์ / ภาพประกอบทุกแหล่งที่มา











ที่มา: http://www.senesouk.com/2017/09/blog-post_925.html

14/9/60






ฝูงลิงในป่าที่อินเดีย ตกใจได้ยินเสียงเสือคำราม หัวใจวายตายพร้อมกันยกฝูงกว่า 12 ตัว

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พบซากลิงตายจำนวนกว่า 12 ตัวในป่าที่รัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยแรกสุดเจ้าหน้าที่สันนิษฐานเบื้องต้นลิงเหล่านั้นถูกเกษตรกรวางยา แต่หลังจากสัตว์แพทย์ตรวจสอบชันสูตรศพของมันไม่พบสารพิษหรือมีบาดแผลแต่อย่างใด แต่เกิดจากอาการหัวใจวาย

ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่พบรอยเท้าเสือขนาดใหญ่ใกล้กับบริเวณที่พบซากลิงดังกล่าว จึงคาดว่าพวกมันตายเพราะตกใจกลัวเสียงคำรามของเสือตัวนั้น

ทั้งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญสัตว์ป่าบางคนไม่เห็นด้วยกับสาเหตุดังกล่าว และชี้ว่าฝูงลิงเหล่านั้นอาจตายเพราะติดเชื้อบางอย่างมากกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด










ที่มา: http://news.sanook.com/3498778/




Apple CEO Tim Cook announces the new iPhone (AP Photo/Marcio Jose Sanchez)

 เอพีรายงานว่า เมื่อ 12 ก.ย. ตามเวลาสหรัฐ ที่อาคารสตีฟ จ็อบส์ เธียเตอร์ สำนักงานของบริษัทแอปเปิ้ล บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์การสื่อสารและคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ของโลก ในเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิ้ล นำทีมเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ ไอโฟน เท็น (iPhone X) ฉลอง 10 ปีของการเปิดตัวสมาร์ตโฟนอันลือลั่นจากค่ายแอปเปิ้ล



ไอโฟนเท็นโดดเด่นและสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้แอปเปิ้ลในฐานะสมาร์ตโฟนที่มีราคาเริ่มต้นทะลุ 1,000 ดอลลาร์ หรือราว 33,000 บาทเป็นครั้งแรก ท้าทายตลาดผู้ซื้ออย่างยิ่งว่า จะยอมควักเงินจำนวนนี้เพื่ออุปกรณ์ที่บอบบางแต่กลายมาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันหรือไม่

ฟีเจอร์ต่างๆ ของไอโฟนเท็น(AP Photo/Marcio Jose Sanchez)

 ทิม คุกเรียกไอโฟนเท็นว่า “การกระโดดข้ามไปข้างหน้าที่ใหญ่ที่สุด” ด้วยจุดเด่นไร้ปุ่มโฮม สกรีนขอบถึงขอบ และใช้ระบบจดจำ (พิสูจน์อัตลักษณ์) ใบหน้าในการปลดล็อก






 ไอโฟนเท็น  ใช้จอ OLED เหมือนแอปเปิ้ลวอตช์ และเป็นจอภาพแบบ High Dynamic Range (HDR) ดูภาพยนตร์และรายการทีวีในรูปแบบ Dolby Vision มีลูกเล่น แอนิโมจิ Animoji ที่เป็นอิโมจิ แบบแอนิเมชั่น เคลื่อนไหวตามสีหน้าของผู้ใช้ได้

(AP Photo/Marcio Jose Sanchez)

 เครื่องจุ 64GB ราคาเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์ หรือประมาณ 33,000 บาท ไม่รวมภาษี ส่วน 256GB  ราคา 1,149 ดอลลาร์ หรือประมาณ 38,000 บาท ไม่รวมภาษี

งานเดียวกันนี้แอปเปิ้ลยังเปิดตัวไอโฟน 8 และ 8 พลัสที่อัพเกรดกล้อง ภาพ และลำโพงให้แจ่มแจ๋วกว่ารุ่นก่อนๆ ถ่ายภาพได้ชัดขึ้น สีสวยขึ้น และผิดส่วนน้อยลง โดยเฉพาะในสถานที่มีแสงน้อย ขณะที่ลำโพงดังขึ้น และมีเสียงเบสที่หนักแน่นขึ้น

new iPhone 8  (AP Photo/Marcio Jose Sanchez)

  ไอโฟน 8 และ 8 พลัสยังชาร์จแบตฯ แบบไร้สาย อย่างไรก็ตามเอพีรายงานว่า คุณสมบัติเหล่านี้ รวมถึงเรื่องไร้ปุ่มโฮม สกรีนไร้ขอบ เดินตามหลังคู่แข่งในระบบแอนดรอยด์ รวมถึงซัมซุง ทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่ตื่นเต้นนัก ราคาหุ้นของแอปเปิ้ลจึงทรงๆ หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในครั้งนี้








ที่มา: https://www.khaosod.co.th/sci-tech/news_507022

2/9/60






หัวอกเมียหลวงรับรักครั้งนี้ทำเจ็บปวดมากที่สุด เผยเคยจับได้แล้ว 1 ครั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมเลิก ด้านทนายดังชี้ฝ่ายเมียหลวงสามารถเอาเรื่องเมียน้อยได้ โทษไม่หนัก !!

          จากกรณีที่โลกออนไลน์มีการแชร์คลิปเมียหลวงสะกดรอยตามสามีก่อนพบว่าแอบมาอยู่กินกันเมียน้อย จนมีลูกด้วยกัน 7 เดือน ทำความรักที่ร่วมทุกข์สุขกันมา 13 ปี กับลูก 2 คน ขาดสะบันนั้น (อ่านข่าว : 13 ปีขาดสะบั้น...สาวสงสัยสามีนอกใจ สะกดรอยเจออยู่กับเมียน้อยลูกอ่อน)

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด (1 กันยายน 2560) รายการทุบโต๊ะข่าว ทางช่อง Amarin TV รายงานบทสัมภาษณ์ คุณอรทัย (สงวนนามสกุล) เผยว่า ตนเองรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดแล้วกับความรักครั้งนี้ เพราะอยู่กินกันมา 13 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คน อายุ 13 และ 3 ขวบ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน สร้างฐานะมาด้วยกันตั้งแต่ยังไม่มีอะไร ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยจับได้แล้ว 1 ครั้ง ว่าสามีแอบไปรู้จักกับสาวผ่านทางเฟซบุ๊ก ตนเองก็สั่งให้เลิกรากันไป แต่ก็ยังแอบคบกันอยู่จนมีลูกกัน อายุ 7 เดือน




          โดยคุณอรทัย กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ตนอัดคลิปดังกล่าวเพราะต้องการให้สังคมได้รับรู้ว่าคนที่เป็นเมียหลวงมันเจ็บปวดขนาดไหน และก็ต้องการที่จะเตือนผู้ชายทุกคนว่าอย่าทำร้ายความรู้สึกของผู้หญิงเลย ซึ่งวันเกิดเหตุตนเองก็ตกใจเหมือนที่เข้าไปพบว่าผู้หญิงเพิ่งคลอดลูกได้ 7 เดือน ที่ผ่านมาตนเองก็ต้องการที่จะฟ้องหย่าหลายครั้งแต่ครอบครัวก็ได้ห้ามเอาไว้

          "จับได้แบบนี้ เราจะไปทำอะไรเมียน้อยเขาก็ไม่ได้เนาะ เขาจะกันท่า ยืนกันท่า บางทีด่าเรากลับมาก็มี เมียน้อยก็ยังทำหน้านิ่ง หนูก็เคยถามเขาเหมือนกันนะว่าเธอทำแบบนี้ก็น่าจะเข้าใจลูกผู้หญิงเหมือนกันนะ ว่ามันเป็นยังไง เธอก็น่าจะรู้เพราะก็มีลูกติดมา รู้อยู่นะว่าการโดนแย่งมันเป็นยังไง"

ขณะที่ ทนายเกิดผล แก้วเกิด เผยว่า ถ้าเมียหลวงจดทะเบียนสมรสถูกต้อง และมาเจอเมียน้อยอยู่บนเตียงอย่างนี้ กำลังมีเพศสัมพันธ์กัน เมียหลวงสามารถลงไม้ลงมือกับเมียน้อยได้เลย เพราะเคยมีศาลตัดสินว่าทำได้ ไม่มีความผิดทางกฎหมาย ถือว่าเป็นการรักษาสิทธิ และทางเมียน้อยไม่มีสิทธิแจ้งความกลับด้วย

          นอกจากนี้หากเข้าไปพบอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้กำลังมีอะไรกัน หากเมียหลวงพลั้งมือทำร้ายไป จะเข้าข่ายบันดาลโทสะ โทษไม่หนัก











ที่มา: https://hilight.kapook.com/view/159354





พิพิธภัณฑ์ในนิวยอร์กเปิดให้บริการ “อเมริกา” ชักโครกทองคำมูลค่าสูง นักท่องเที่ยวแห่ทดลอง

เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์โซโลมอน อาร์. กุกเกนไฮม์ (Guggenheim Museum) ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้จัดแสดงเปิดบริการให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวร่วมทดลองใช้งานชักโครกทองคำ ซึ่งมีชื่อว่า “อเมริกา” ที่ผลิตจากทองคำแท้ 18 กะรัต มูลค่าสูงกว่า 2.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะเปิดให้บริการไปจนถึงวันที่ 15 ก.ย. นี้
















ที่มา: http://news.sanook.com/3356358/

1/9/60







คนหล่มสักลงขันจ้างแบคโฮ ขุดตะเคียนกว่า 20 ต้นขึ้นจากคลองน้ำ หลังเฮงถูกหวยเกือบทั้งหมู่บ้าน

ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า บรรดาผู้โชคดีถูกสลากกินแบ่งฯ ในงวดที่ผ่านมาได้ลงขันกันว่าจ้างรถแบคโฮนำต้นตะเคียนขึ้นจากคลองสักหลง ซึ่งเป็นคลองน้ำขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับแม่น้ำป่าสัก โดยก่อนหน้านี้ได้นำต้นตะเคียนขึ้นมาแล้วจำนวนกว่า 20 ต้น พร้อมทั้งเชิญร่างทรงมาประทับและขอโชคขอลาภในงวดวันที่ 1 กันยายน 2560 จึงเดินทางไปตรวจสอบ

บริเวณดังกล่าวเป็นลำคลองขนาดใหญ่โค้งเป็นรูปตัวยูล้อมรอบลักษณะคล้ายเกาะ และเป็นบริเวณที่ตั้งของศาลเจ้าปู่อินทมาศ ซึ่งเชื่อว่าเป็นเจ้าที่เจ้าทางที่ปกปักรักษาคุ้งน้ำแห่งนี้อยู่ ซึ่งขณะนี้ได้กำลังขุดลอกกลายเป็นคลองขนาดใหญ่กว้างประมาณ 20 เมตร ลึกประมาณ 5 เมตร พบชาวบ้านจำนวนหนึ่งกำลังทำพิธีขอโชคลาภ โดยมีร่างทรงสวมชุดไทยสีเขียวนั่งอยู่บนโต๊ะ และมีชาวบ้านนั่งล้อมรอบ





ขณะที่ย่าตะเคียนได้ประทับร่างทรงนั้น บรรดาชาวบ้านได้บอกกล่าวขอโชค โดยบอกว่าหากโชคดีจะนำชุดไทยสีชมพูมาถวาย ร่างทรงจึงได้ชูมือขึ้นลักษณะใบ้หวย ชาวบ้านจึงตีเป็นเลขไปตามที่เห็น จากนั้นก็ได้จดและส่งต่อให้กันดูเป็นทอดๆ ได้แก่ เลข 404 043 044 048 098 358 04 และ 09 ซึ่งหลังจากได้ตัวเลขแล้วต่างก็มาเลือกซื้อล็อตเตอรี่กับพ่อค้าแม่ค้านำมาจำหน่ายอยู่ในบริเวณดังกล่าว

ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวว่า เมื่อต้นเดือนเมษายน 2560 ที่ผ่านมา มีรถแบคโฮ 2 คัน มาขุดลอกคลองสักหลงพบต้นตะเคียนจำนวน 2 ต้น จึงนำขึ้นมาไว้ข้างศาลฯ และมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งมาขอโชค ซึ่งก็ปรากฏว่ามีคนถูกหวยหลายราย จากนั้นก็ได้มีการพบต้นตะเคียนอีกเป็นจำนวนมากจึงนำขึ้นมาไว้ พร้อมทั้งปรับภูมิทัศน์บริเวณดังกล่าวให้เตียนโล่ง

ช่วงก่อนวันหวยออกจะมีนักเสี่ยงโชคเดินทางมาขอโชคลาภเป็นจำนวนมาก ล่าสุดงวดที่ผ่านมามีชาวบ้านหมู่ 6 ต.ลานบ่า มาขอโชค จากนั้นได้ฝันว่าย่าตะเคียนไปให้โชคได้เลข 37 พร้อมทั้งบอกว่า หากถูกแล้วขอให้นำต้นตะเคียนที่อยู่ช่วงท้ายคลองขึ้นมาอยู่ด้านบนด้วย จึงได้บอกญาติๆ และชาวบ้าน ปรากฏว่าถูกกันเกือบทั้งหมู่บ้าน จึงได้ลงขันกันว่าจ้างรถแบคโฮมาขุดและพบว่ามีอยู่อีก 3 ต้นจริง

หลังจากนั้นจึงนำขึ้นมารวมไว้กับต้นตะเคียนที่พบก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมแล้วบริเวณคุ้งวังสักหลงนี้ พบต้นตะเคียนแล้วกว่า 20 ต้น จึงเชื่อว่าบริเวณนี้เป็นหมู่บ้านของย่าตะเคียนมาก่อนในอดีต และเชื่อว่ายังจะมีต้นตะเคียนฝังอยู่ในบริเวณนี้อีกเป็นจำนวนมาก เรื่องนี้ชาวบ้านบอกว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ไม่มีใครลบหลู่









ที่มา: http://news.sanook.com/3341090/






 จากกรณี พระรูปหนึ่งได้โพสต์เฟซบุ๊ก เล่าเรื่องราวประสบการณ์ที่ตนพาเณรที่หกล้มไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่เมื่อถึงตอนที่จะพาเณรเข้าเอ็กซเรย์ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้พูดจาไม่เหมาะสม มีการใช้คำพูดเหยียดหยามว่าพระไม่มีการศึกษา หลังพระทำตามป้ายกดกริ่งเรียกเจ้าหน้าที่ (ดราม่า! พระกดกริ่งตามป้ายบอกของ รพ. ก่อนโดนเจ้าหน้าที่ด่า)

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (31 ส.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลดังกล่าว อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา และได้พบกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล ซึ่งได้รับการเปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ตนทราบข่าวนี้ ก็ได้เรียกตัวเจ้าหน้าที่ประจำห้องเอ็กซเรย์ มาสอบถามถึงต้นสายปลายเหตุ

ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้สารภาพว่า เหตุการณ์ที่ปรากฏในโลกโซเชียล ก็เป็นจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนที่จริงคือการพูดจาไม่เพราะกับสามเณร แต่เป็นเพียงการหยอกเล่นเท่านั้น ส่วนการพูดหยาบคายดูถูกการศึกษา ไม่ได้เป็นเช่นนั้น




เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นเพียงการสักถามว่าสามเณรเรียนอยู่ที่วัดไหน และจะลาสิกขาเมื่อไหร่ แต่ด้วยความที่ขณะนั้นอาจจะเกิดการสื่อสารเข้าใจผิดกัน จึงตีความหมายคนละอย่าง ถึงอย่างไรก็ตามตนและเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ขอแก้ตัวใดๆ เพราะถือว่าเป็นชาวพุทธ

ดังนั้นเมื่อเช้านี้ (31 ส.ค.) ก็เลยได้นำตัวเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว เดินทางไปที่วัด ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.งิ้ว อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา พร้อมกับนำธูปเทียนแพ และพวงมาลัย เพื่อทำพิธีขอขมากับสามเณรรูปดังกล่าวด้วยตนเอง โดยมีพระครูศรีธวัชชัยคุณ เจ้าคณะอำเภอปักธงชัย กำนัน ผู้นำชุมชน และชาวชุมชนวัดตะกุด ร่วมเป็นสักขีพยานจำนวนมาก

ซึ่งคณะสงฆ์ของวัดตะกุด และสามเณรรูปดังกล่าว ก็ให้อภัยกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลแล้ว โดยเจ้าอาวาสวัดตะกุด ก็ได้ให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวกับพระสงฆ์ และให้พรเพื่อความเป็นสิริมงคลกับคณะเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมาด้วย

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่เกิดเหตุแล้ว ตนก็จะถือโอกาสนี้เรียกประชุมคณะเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลทั้งหมดกว่า 320 คน ประชุมเพื่ออบรมปรับบุคลิกภาพ และแนะนำแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นที่พอใจของผู้มาใช้บริการทุกคนต่อไป









ที่มา: http://news.sanook.com/3345818/

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget