30/6/61









พบเยาวชนรุ่นใหม่  ตัวอย่างดีๆ  ...เด็กชายอายุ 8 ขวบ อาศัยอยู่ที่บ้านศาลา ต.โคกตาล อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียน  เป็นจิตอาสานำรถเข็นไปเก็บขยะตามถนนทุกเส้นทาง รอบๆหมู่บ้าน และขยะที่อยู่ตามริมถนนใหญ่ทุกวัน  เผยอยากให้หมู่บ้านตนเองน่าอยู่  และบ้านเมืองสะอาด 






จากการสัมภาษณ์ของนักข่าวสปริงส์นิวส์ที่ลงพื้นที่ ทราบชื่อ ด.ช.จักรพรรดิ์  วันคำ หรือ น้องตาต้า เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3   โรงเรียนบ้านศาลา   ซึงบ้านที่น้องตาต้าอาศัยอยู่มีระยะห่างจากโรงเรียนประมาณ 100 เมตร

โดยน้องตาต้าจะใช้เวลาหลังเลิกเรียน  กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนนำรถเข็นออกไปเก็บขยะที่ทิ้งอยู่บนถนนหนทางรอบๆ หมู่บ้านทุกวัน  โดยมีน้องผักบุ้ง หรือ ด.ญ.รพีภรณ์  บุญอินทร์  อายุ 8 ขวบ  นักเรียนชั้น ป.2  โรงเรียนเดียวกันช่วยเก็บขยะด้วย


หลังจากเก็บขยะแล้ว น้องตาต้าจะนำไปเผาทำลายในสวนเกษตรพอเพียง  ซึ่งอยู่ภายในเขตโรงเรียนบ้านศาลา  โดยน้องตาต้า ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า  การที่ออกมาเก็บขยะทุกวันเช่นนี้ เพราะต้องการให้บ้านเมืองสะอาด ปราศจากขยะ


ขณะที่พระครูโกศลสิกขกิจ  (หลวงพ่อพุฒ วายาโม) ประธานมูลนิธิหลวงปู่สรวง และเจ้าคณะอำเภอภูสิงห์ฝ่ายธรรมยุติ  เมื่อได้ทราบข่าวจึงได้เดินทางมาพร้อมกับ ดร.กัลยาณี  ธรรมจารีย์  ประธานเครือข่ายการท่องเทียวชุมชน จ.ศรีสะเกษ และนายบุญชู  บุดดาห์ เจ้าหน้าที่วัฒนธรรม อ.ภูสิงห์  เพื่อมอบทุนการศึกษาให้แก่ ด.ช.ตาต้า  และ ด.ญ.ผักบุ้ง  เป็นจำนวน  2,000 บาท พร้อมด้วยชุดนักเรียน และเครื่องอุปโภคบริโภค  ในฐานะที่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เยาวชนรุ่นใหม่  และอยากให้เด็กๆ รุ่นใหม่ได้ทำสิ่งดีๆแบบนี้ตลอดไป














ที่มา:https://www.winnews.tv/news/24278

29/6/61










พระครูบาบุญชุ่ม บอกเอง ตอนนี้เด็กๆทุกคนปลอดภัย อีก 1-2 วันเจอแน่
จากกรณีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (นสร.) หรือ หน่วยซีล กู้ภัย และอื่นๆ ที่ร่วมภารกิจปฏิบัติการช่วยเหลือเด็กนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอน 13 ชีวิต ที่ติดอยู่ภายในวนอุทยาน ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย อย่างแข็งขันทำงานกันตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้เวลาผ่านไปแล้ว 6 วัน

สำหรับความคืบหน้า เวลา 19.40 น. พระครูบาบุญชุ่ม พระเกจิชื่อดังของรัฐฉาน เดินทางมาบริเวณถ้ำหลวง เพื่อทำพิธีเปิดทางช่วยเด็กและโค้ชทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวงกว่า 6 วันแล้ว โดยมีนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มารอต้อนรับ จากนั้นได้ทำพิธีบริเวณปากทางเข้าถ้ำ โดยนำไก่และกระต่ายสีขาวมาทำพิธีเปิดทางและแลกกับทั้ง 13 ชีวิตให้เจอทางออกจากถ้ำหลวง ซึ่งเป็นพิธีตามความเชื่อด้วย โดยมีญาติของทั้ง 13 ชีวิต ชาวบ้านทั้งชาวไทยและชาวเมียนมาที่ศรัทธาในพระครูบาบุญชุ่มมาร่วมพิธี พร้อมเผยเมตตาให้กับเจ้าแม่นางนอน ที่เชื่อว่าสิงสถิตอยู่ ณ ถ้ำหลวงแห่งนี้






โดยเมื่อ พระครูบาบุญชุ่ม พระเกจิชื่อดังของรัฐฉาน เดินทางมาถึงปากถ้ำหลวง ได้ทำพิธีเปิดทางถ้ำ โดยมีเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ตามความเชื่อ จากนั้นพระครูบาบุญชุ่มได้ทำพิธีกับพ่อแม่และผู้ปกครองทั้ง 13 ชีวิต รวมถึงเจ้าหน้าที่หน่วยซีลที่เข้าค้นหาภายในถ้ำด้วย ซึ่งก่อนทำพิธีได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่เมื่อพระครูบาบุญชุ่มเริ่มทำพิธี ฝนที่เคยตกหนักได้หยุดทันที สร้างความตกตะลึงให้กับเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน

ในช่วงประกอบพิธี ครูบาท่านได้นำดอกไม้บูชาพร้อมเครื่องบูชาที่เตรียมไว้รวมกันไว้ในโตก มีข้าวและอาหารคาวหวานพร้อมผลไม้ จากนั้นครูบานำพระสงฆ์ไปประกอบพิธีโดยหันหน้าไปทางหน้าถ่ำ พระสงฆ์ทั้งหมดสวดมนต์ตลอดช่วงประกอบพิธี จากนั้นครูบานำกรวดน้ำและสั่นกระดิ่ง ตีระฆัง พร้อมเป่าสังข์ ทำพิธีครบทุกทิศและให้พระสงฆ์ทุกรูปกรวดน้ำครบทั้งหมด เป็นอันเสร็จพิธี พิธีดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้ผลบุญช่วยให้ประสงความสำเร็จได้ทุกปราการ

โดยหลังเสร็จสิ้นพิธี พระครูบาบุญชุ่ม ได้เดินทางกลับ ก่อนหันมากล่าวว่า ได้มีการเปิดถ้ำให้แล้ว อีก 1-2 วันก็จะกลับมา พร้อมบอกด้วยว่า ไม่มีอะไร เด็กยังอยู่กันทุกคน โดยช่วงบ่ายในวันที่ 30 มิ.ย. พระครูบาบุญชุ่มจะกลับมาทำพิธีอีกครั้ง













ที่มา:https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1279143

27/6/61









“เทวรูปในศาสนาพราหมณ์ หรือกล่าวอีกอย่างที่เข้าใจกันทั่วไปว่ารูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ที่ได้พบเห็นและรู้จักกันมากที่สุดในประเทศไทย บัดนี้ ได้แก่ ประติมากรรมที่ทำเป็นรูปพระนารายณ์ และประติมากรรมที่ทำเป็นรูปพระศิวะ”

แต่ใครจะเชื่อว่า.......ศาสนาเก่าแก่อย่างศาสนาพราหมณ์ จะมีประติมากรรมเพื่อรูปปั้นสักการะหลังพระพุทธรูปในศาสนาพุทธที่เกิดขึ้นหลังหลายพันปี

“เทวรูป” โดยความหมายแล้วจะกล่าวถึงรูปเทวดา ตามความเชื่อลัทธิศาสนาพราหมณ์ คติของพราหมณ์นั้นเชื่อว่า โลกนี้ตลอดจนสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงบังเกิดขึ้นเป็นขึ้นได้เพราะเทวะ หรือพระมหาเทพทรงสร้างสรรค์ หรือทรงดลบันดาลให้มีให้เป็นขึ้นทั้งสิ้น






รวมความลงได้ว่าเทพเจ้าเป็นผู้อำนวยการในความเป็นไปทุกชนิดแห่งโลกนี้ เพราะความเชื่อดังกล่าว ทำให้พวกพราหมณ์ทั้งหลายต่างพากันแสวงหาหนทางและกรรมวิธีที่จะเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าด้วยพิธีกรรมเป็นอเนกอนันต์

ในบรรดาความเชื่อทั้งหลายในพระผู้เป็นเจ้าดังกล่าวนี้ อาจแบ่งออกได้เป็นสองระยะโดยกำหนดเอาพุทธสมัยเป็นหลักดำเนิน กล่าวคือความเชื่อถือดั้งเดิมในสมัยก่อนพระพุทธกาล และความเชื่อในสมัยพุทธกาล

ในสมัยนั้นพราหมณ์ยังนับถือคัมภีร์พระเวททั้งสามเรียกว่า ไตรเพท เป็นหลักคำสอนของศาสนา

คัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดในไตรเพทนั้น ยุติกันว่า คัมภีร์ฤคเวท เป็นหลักฐานดั้งเดิมที่สุดในศาสนาพราหมณ์ ยุคของคัมภีร์พระเวทนี้ จับเค้าได้ว่าตั้งแต่ ๑,๕๐๐ ปีลงมา จนถึงพุทธสมัย

ถ้าเปรียบเทียบดูระหว่างคัมภีร์พระเวทกับคัมภีร์พระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนา จะเห็นทัศนคติระหว่างพราหมณ์ยุคพระเวทดีที่สุด เพราะคัมภีร์พระไตรปิฎกมีข้อความเกี่ยวข้องกับพวกพราหมณ์ ตลอดจนความเชื่อหรือความเห็นของพราหมณ์บางอย่าง

แทบจะกล่าวได้ว่า หากไม่มีพระไตรปิฎกของฝ่ายพระพุทธศาสนานี้ปรากฏอยู่ในโลกแล้ว น่าเชื่อเหลือเกินว่า คติลัทธิของศาสนาพราหมณ์แทบจะหาเค้าเงื่อนความเป็นมาของตนมิได้






ศาสนาทั้งหลายของประเทศอินเดียเองนั้น จะพบเห็นอย่างมากมายก็ต่อเมื่อภายหลังพุทธกาลล่วงแล้ว ราว ๕๐๐ ปี หรือ ๖๐๐ ปี

สำหรับเทวรูปศาสนาพราหมณ์เองนั้นมานิยมการกระทำกันขึ้นก็ตั้งแต่ตอนปลายสมัยมถุรา ราวพุทธศตวรรษที่ ๙ (ระหว่าง พ.ศ. ๘๐๑-๙๐๐) หรืออาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่สมัยศิลปะแห่งราชวงศ์   คุปตะ ของประเทศอินเดียเป็นต้นลงมาจึงปรากฏหลักฐานการทำเทวรูป ดังนั้นเทวรูปจึงน่าจะเป็นประติมากรรมที่บังเกิดขึ้นภายหลังพุทธรูป

เทวรูปในลัทธิศาสนาพราหมณ์ หรือกล่าวอย่างที่เข้าใจกันทั่วไปว่า รูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ที่ได้พบเห็นและรู้จักกันมากที่สุดในประเทศไทยบัดนี้ได้แก่ ประติมากรรมที่ทำเป็นรูปพระนารายณ์ และประติมากรรมที่ทำเป็นรูปพระศิวะ

เทวรูปพระนารายณ์

อันพระผู้เป็นเจ้าทั้งคู่นี้ ประชาชนคนไทยมักแยกได้ทันทีว่า เป็นเทพเจ้านอกพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาหลักของตน ส่วนเทพเจ้าองค์อื่นๆ เช่น พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระจันทร์ และพระอาทิตย์นั้น

ผู้ที่นับถือพุทธศาสนายังไม่ยอมแยกให้เด่นชัดว่าเป็น พระพรหม สมัยราชวงศ์คุปตะ ในประเทศอินเดียเป็นภาพนูนต่ำสลักบนแผ่นศิลาประทับนั่งอย่างมหาราชลีลา คือ ห้อยพระซงค์เบื้องขวาลงจากมาลาสน์ (ที่นั่งบัว) พระหัตถ์ทั้ง ๒ ข้างขวา ถือ อักษมาลา (พวงลูกประคำ)  และทัพพี (ช้อนตักเนย) พระหัตถ์คู่ซ้ายกำทำปางวรมุทรา (ประทานพร) และถือคนที (หม้อน้ำมนต์)

ด้านขวามีภาพบุคคลอยู่ ๓ กำลังกระทำสักการะ และมีรูปห่านหรือหงส์ อันเป็นพาหนะประจำพระองค์อยู่ด้วย ทางด้านซ้าย มีภาพบุคคลทั้ง ๔ ตอนบนและตอนล่าง ๒ กำลังบูชาสักการะอีกเช่นกัน ภาพจำหลักพระพรหมนี้มีอายุราว ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว ควรเป็นแบบฉบับของพระพรหมที่ถูกต้อง

เทพเจ้าที่อยู่นอกพระพุทธศาสนาเพราะเทพเจ้าดังกล่าวมีเรื่องเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าตามคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาคือพระไตรปิฎกเป็นอาทิ ถึงกับผู้รู้บางท่านกล่าวว่า

พุทธกับพราหมณ์ยากที่จะแยกออกจากกันได้ ในกิจพิธีใดก็ตาม ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องหรือขนบประเพณีทางพระพุทธศาสนาโดยตรง ก็ยังอุตส่าห์มีเรื่องของพราหมณ์เข้ามาปะปนด้วยเสมอ
    

จะเห็นได้ง่ายๆ ที่สุดในกิจพิธีสงฆ์ซึ่งนิมนต์ท่านไปฉันภัตตาหารเพื่อสวัสดิมงคล ตามอาคารบ้านเรือน บัดนี้ เริ่มต้นต้องตั้งบาตรน้ำมนต์หรือหม้อน้ำมนต์บางทีก็เรียกว่าครอบน้ำมนต์ (ถ้าในภาชนะนั้นมีพระกริ่งอยู่ ก็เรียกครอบพระกริ่ง) แล้วมีสายสิญจน์ต่อจากองค์พระพุทธรูปลงมาหาบาตรน้ำมนต์

น้ำเครื่องอุปกรณ์สำหรับประพรมน้ำพระพุทธมนต์ก็ใช้หญ้าคา ความเป็นมาของสายสิญจน์ประการหนึ่ง หญ้าคาอีกประการหนึ่ง คติของพราหมณ์ก็ยึดถือกันว่าเป็นของพราหมณ์ และก็ว่าคติพุทธเดินตามอย่างแบบพราหมณ์

ส่วนฝ่ายพุทธเรามักจะคัดค้านว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องผูกขาดเฉพาะพราหมณ์ทางพุทธเราก็มีเรื่องเกี่ยวข้องเสมอ บางทีพราหมณ์นั่นแหละนำคตินี้จากพุทธไปเป็นของตน จนกระทั่งช้านานล่วงกาลเวลามาถึงปัจจุบันสมัยแล้ว ไม่มีใครผู้ใดผู้หนึ่งตัดสิ้นชี้ประเด็นของเรื่องให้ยุติได้ จึงต่างฝ่ายต่างก็พยายามยุติเป็นคติของตนๆ ไป

“การศึกษาใดๆ ก็ตามในขณะที่เกิดข้อขัดแย้งต่อกัน ไม่อาจตัดสินให้ตระหนักแน่ลงไปได้ทำนองดังกล่าวมานั้นย่อมเป็นผลดีต่อทางวิชาการ”

การศึกษาใดๆ ก็ตาม ในขณะที่เกิดข้อขัดแย้งต่อกัน ไม่อาจตัดสินให้ตระหนักแน่ลงไปได้ ทำนองดังกล่าวมานั้น ย่อมเป็นผลดีของทางวิชาการ ก่อให้เกิดแง่มุมและแนวทางต่างๆ อย่างกว้างขวางทำให้วิชาการนั้นๆ งอกงามไพบูลย์ยิ่งขึ้น
และเป็นสิ่งที่ยั่วยวนน่าศึกษาค้นคว้าติดตามเสมอมา เพราะเหตุดังนี้ จึงพยายามวางข้อขัดแย้งไว้ในที่นี้ เพื่อว่าท่านผู้รู้ทั้งหลายจะได้พยายามค้นคว้าหาหลักฐานต่อไป

เทวรูปพระศิวะ

รูปเคารพหรือเทวรูปที่ว่าชาวไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนรู้จักดีว่าเป็นเทวรูปในศาสนาพราหมณ์แน่ ได้แก่ พระนารายณ์ และพระศิวะนั้น ก็น่าจะอธิบายขยายความกันอีกต่อไปด้วย ขึ้นชื่อว่าพระนารายณ์แล้ว คนไทยชาวพุทธโดยมากจะเกิดภาพพจน์ในมโนคติของตนตามเรื่องรามเกียรติ์อันเป็นวรรณกรรมระดับชาติทันทีว่า “นารายณ์นั้นสี่หัตถา ทรงตรี คทา จักรสังข์”

ครั้นพบเห็นประติมากรรมใดๆ ก็ตาม ที่มีสี่กร หรือสี่หัตถาจะทรงตรี คทา จักร สังข์ประการใดหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงกัน ยุติทันทีเลยว่าเป็นพระนารายณ์ หากจะกล่าวถึงในหมู่นักเลงพระเครื่องทั้งหลายคงจะเข้าใจได้ทันทีว่า พระพิมพ์

ซึ่ง “พระพิมพ์” พระองค์นี้ มีผู้นับถืออย่างมากมายจัดเป็นนิกายหนึ่งทีเดียวเรียกว่า วิษณุนิกาย” หรือ “ไวษนพนิกาย”

(อ่านต่อตอนหน้า)


เรียบเรียงโดย : วาทิต ชาติกุล










ที่มา:http://www.partiharn.com/contents/3029









คำพระสอนคน ประจำวันพุธที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ เนชั่นทีวี ขอน้อมนำคำสอนของ "พระพุทธทาสภิกขุ" มานำเสนอดังนี้พระพุทธทาสภิกขุ"ถ้าวันนี้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องกลัวพรุ่งนี้"

ขอบพระคุณคำสอน : พระพุทธทาสภิกขุ

อนึ่ง.. พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปญฺโญ) หรือรู้จักในนาม พุทธทาสภิกขุ (๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ - ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๖) เป็นชาวอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เริ่มบวชเรียนเมื่ออายุได้ ๒๐ ปี ที่วัดบ้านเกิด






จากนั้นได้เข้ามาศึกษาพระธรรมวินัยต่อที่กรุงเทพมหานคร จนสอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยคแต่แล้วท่านพุทธทาสภิกขุ ก็พบว่าสังคมพระพุทธศาสนาแบบที่เป็นอยู่ในขณะนั้น แปดเปื้อนเบือนบิดไปมาก และไม่อาจทำให้เข้าถึงหัวใจของศาสนาพุทธได้เลย

ท่านจึงตัดสินใจหันหลังกลับมาปฏิบัติธรรมที่อำเภอไชยา ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของท่านอีกครั้งพร้อมปวารณาตนเองเป็น พุทธทาส เนื่องจากต้องการถวายตัวรับใช้พระพุทธศาสนาให้ถึงที่สุด

ผลงานเด่นของท่านพระพุทธทาส คืองานหนังสือ อาทิ หนังสือพุทธธรรม, ตามรอยพระอรหันต์, คู่มือมนุษย์ ฯลฯ และท่านเป็นพระสงฆ์ไทยรูปแรกที่บุกเบิกการใช้โสตทัศนูปกรณ์สมัยใหม่ สำหรับการเผยแพร่ธรรมะ












ที่มา:https://www.msn.com/th-th/news/national/

26/6/61









จะทำให้เกิดในตระกูลสูง ผู้ที่มีความเคารพอ่อนน้อมต่อพระรัตนตรัยจะเกิดในตระกูลสูง  ไปถึงไหนก็มีแต่คนเคารพยกย่องต้อนรับเชื้อเชิญด้วยความยินดี  และคนพม่าไม่เฉพาะพระมหาเจดีย์ชเวดากองนะ  เข้าวัดที่ไหนเขาก็ถอดรองเท้า ซึ่งน่าชื่นชมเขามากเลย  จนระดับเรียกว่าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระราชินีของอังกฤษ กษัตริย์อังกฤษที่เป็นเจ้าปกครองพม่าอยู่  มีอำนาจควบคุมหมดแล้ว  เพราะว่ายึดประเทศเขาได้ รบชนะ  จะไปเยี่ยมชเวดากองแล้วใส่รองเท้าเข้าไป พอคนพม่ารู้ข่าวเขาทำอย่างไรรู้ไหมเอ่ย  เขามานอนเรียงกันเต็มลานเจดีย์เลย บอกถ้าจะเดินนะ  เดินย่ำบนตัวเขาบนหัวใจเขายังดีกว่ายอมให้รองเท้าสกปรกมาย่ำบนลานพระเจดีย์เขา ผลคือผู้ปกครองก็จริงนะ  เห็นคนในท้องถิ่นจริงจังจริงใจขนาดนี้ตัดสินใจถอดรองเท้า






ขนาดเป็นเจ้าอาณานิคมยังต้องถอดรองเท้า  เพราะความจริงจังจริงใจ  ความเคารพอย่างยิ่งในพระรัตนตรัยของชาวพม่า แล้วเขาไม่มีข้ออ้างนะ  อย่างเช่นว่าใส่ยูนิฟอร์มชุดทหารรองเท้าบูทถอดก็ถอดยาก เขาไม่มีข้ออ้างว่าเป็นยูนิฟอร์มว่าเป็นเครื่องแบบใส่เข้าไปเลย ไม่มี  ทหารพม่าเข้าลานพระเจดีย์ต้องถอดรองเท้าหมด แม้แต่ทหารไทยทหารฝรั่งชาติไหน  ไปเข้าลานพระเจดีย์เขาเราก็ต้องยอมถอด เพราะรู้ว่าเขาเอาจริง  นั้นอยู่ที่ว่าเราเอาจริงหรือเปล่า หรือว่าจะมักง่ายเอาสะดวกเข้าว่า  ถ้ามักง่ายหละก็ต้องบอกว่าน่ากลัวนะ

เคยรู้ประวัติของพระเจ้าพิมพิสารไหมเอ่ย  เป็นพระราชาแคว้นมคธ  แล้วสุดท้ายตายเพราะว่าถูกลูกยึดราชสมบัติ แล้วกรีดฝ่าเท้าให้เป็นแผลให้พ่อเดินจงกลมไม่ได้  แล้วก็ให้อดอาหารจนอดตาย  ถามว่าพระเจ้าพิมพิสารไปทำวิบากกรรมอะไร ถึงถูกกรีดฝ่าเท้าอย่างนี้  พบว่าในอดีตใส่รองเท้าเข้าโบสถ์ ใส่รองเท้าเข้าลานพระเจดีย์  วิบากกรรมตามมาอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นอย่าไปทำนะ  น่ากลัวมากไม่คุ้มกันเลย ใส่รองเท้าย่ำเข้าลานพระเจดีย์ย่ำเข้าไปในโบสถ์เหรอ  ให้เราถอดเท้าเปล่าเดินบนถ่านไฟแดง ๆ เสียยังดีกว่ายังน่ากลัวน้อยกว่าเลย















ที่มา:https://www.winnews.tv/news/24275








ชาวบ้านลือ!! ตำนานลี้ลับ อาถรรพ์ถ้ำหลวงฯ เผยไม่มีใครกล้าเข้า แม้ตอนกลางวัน เชื่อเจ้าแม่ดอยนางนอน หรือ ตำนานเจ้าปู่พญานาค ผู้ดูแลรักษาถ้ำ

อาถรรพ์ – จากกรณีมีเด็กนักฟุตบอล และผู้ฝึกสอนหายเข้าไปเที่ยวในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ในวนอุทยานขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ต่อมานายดำรงค์ หาญภักดีนิยม หัวหน้าวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน สำนักงานพัฒนาพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 รับแจ้งว่ามีผู้ที่พากันเดินทางเข้าไปเที่ยวในถ้ำหลายคนแล้วไม่กลับออกมาอีกเลย โดยพบรถจักรยานรองเท้าบริเวณทางเข้าถ้ำ

เผยภาพเด็กทีมฟุตบอล เคยลุยเข้าถ้ำหลวง ฝึกพิเศษมาแล้ว
หน่วยซีล บุกถึงจุดที่ไม่เคยมีใครไปถึง ข่าวดีพบเบาะแสเพิ่ม เร่งหาอย่างมีความหวัง
ชุดดำน้ำ ซีล เจาะอุโมงค์ถ้ำหลวง ยังไม่พบ13ชีวิต เผยสภาพน้ำแย่-ไม่ใช่ถ้ำทางตัน
ล่าสุด วันที่ 25 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า Piyavit Srisanyong ได้เล่าเรื่องราวอาถรรพ์ของถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน ระบุได้ดังนี้ว่า
Piyavit Srisanyong
18 hrs ?

#ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน….
ถ้ำอาถรรพ์ ลึกลับ ที่เป็นข่าวขณะนี้…..

ถ้ำนี้มีความกว้างใหญ่และลึกมาก ข้อมูลจากกองอุทยานว่า….มีความยาวประมาณ 10 กิโลเมตร…..

โดยปกติถ้ำนี้ จะไม่ค่อยมีคนเข้าไปข้างใน เพราะดูลึกลับและน่ากลัวมาก ชาวบ้านแถวนี้รู้ดีถึงอาถรรพ์ และความลี้ลับที่อยู่ภายในถ้ำ จึงไม่มีใครย่างกรายเข้ามา แม้จะเป็นในเวลากลางวัน…..






ถ้ำนี้มีตำนานเล่าขานถึงความลี้ลับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตำนานของ เจ้าแม่ดอยนางนอน หรือ ตำนานเจ้าปู่พญานาค ผู้ดูแลรักษาถ้ำแห่งนี้….

การที่จะเข้าไปในถ้ำแห่งนี้ (ตามความเชื่อ) ต้องขออนุญาต จากผู้ที่ดูแลถ้ำ และเข้าไปชมด้วยความสงบ ห้ามส่งเสียงดัง และพูดจาในสิ่งที่ไม่ควร….

ถ้ำนี้จะแตกต่างจากทุกถ้ำที่ไปมา….เพราะทุกอณูของถ้ำ เหมือนมีชีวิต และเหมือนกำลังจับตามองผู้ที่เข้ามาทุกฝีก้าว….

ถ้ำนี้ไม่มีใครที่กล้าเข้ามาพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งๆที่อยู่ในเขตอุทยาน ขุนน้ำนางนอน ซึ่งต่างจากถ้ำที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง กลับได้รับการดูแลอย่างดี…..

#จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้…ตอนนี้ผ่านมา 24 ชั่วโมงแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าไปในถ้ำได้ ตอนนี้ได้ทำพิธีเบิกถ้ำ ตามพิธีกรรมโบราณ คิดว่าอีกไม่นาน จะพบผู้ประสบเหตุทุกคนนะครับ















ที่มา:https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1258624








มูลนิธิธอมสัน รอยเตอร์ส เผยผลการสำรวจในวันนี้ (26 มิ.ย.) พบว่า ประเทศที่อันตรายสุดสำหรับผู้หญิงคือ “อินเดีย” เนื่องจากต้องเผชิญความรุนแรงทางเพศ การค้ามนุษย์ การถูกบังคับใช้แรงงาน การคลุมถุงชน และแม้แต่ทาสทางเพศ

ไม่ใช่แค่นั้น การสำรวจยังพบว่า อินเดียมีวัฒนธรรมที่โหดร้ายต่อผู้หญิง อย่างเช่น การสาดน้ำกรด การขลิบอวัยวะเพศของผู้หญิง การบังคับแต่งงานตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และการทำร้ายร่างกาย






ผลสำรวจนี้เผยแพร่ออกมาในช่วงที่สังคมอินเดียกำลังให้ความสนใจกับประเด็นการข่มขืน เพราะเมื่อเดือน เม.ย. ที่่ผ่านมา ชาวอินเดียหลายพันคนได้ออกมาประท้วงให้บรรดาผู้แทนออกกฎหมายปกป้องผู้หญิงให้เข้มข้นขึ้น

แม้มีการออกกฎหมายหลายฉบับเพื่อปกป้องผู้หญิง แต่ก็ยังลดอันตรายที่ผู้หญิงต้องพบเจอไม่ได้ เพราะสำนักงานสถิติอาชญากรรมอินเดีย เผยว่า มีการแจ้งความล่วงละเมิดทางเพศประมาณ 100 ครั้งต่อ

ส่วนประเทศที่ติด 10 อันดับแรก ที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้หญิง ได้แก่

อินเดีย
อัฟกานิสถาน
ซีเรีย
โซมาเลีย
ซาอุดีอาระเบีย
ปากีสถาน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
เยเมน
ไนจีเรีย
สหรัฐ












ที่มา:https://news.tlcthai.com/world/931582.html









คลิปต่อไปนี้ทางทีมงานจะพาไปชมกับคลิป เปิด ตำนานลี้ลับ "อาถรรพ์ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน" เรื่องราวสุดขนลุก ตำนานเรื่องเล่าความเชื่อ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ทำให้คลิปนี้กลายเป็นคลิปที่มาแรงมีผู้สนเข้ามารับชมเป็นจำนวนมาก ลองรับชมพร้อมๆกันจากในคลิปนี้กันเลย











ที่มา:http://www.kanomjeeb.com/highlight/13382/

25/6/61









ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (25 มิ.ย.) เมื่อเวลา 18.00 น. สภ.โพธิ์ทอง ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนกัน บริเวณสี่แยกโพธิ์ทองนอก ถนนโพธิ์ทอง - คำหยาด หมู่ที่ 9 ตำบลคำหยาด อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย

ที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อนิสสัน รุ่นบิ๊กเอ็ม แบบแคป สีเขียว หมายเลขทะเบียน บจ 5024 อ่างทอง ที่บริเวณด้านข้างขวามีร่องรอยยุบสีหายตกอยู่บริเวณข้างทาง มีผู้ชายได้รับบาดเจ็บนั่งอยู่ที่บริเวณที่นั่งคนขับ มีบาดแผลที่บริเวณใบหน้าและศีรษะ ทราบชื่อต่อมาว่า นายประดิษฐ์ อายุ 58 ปี

ห่างกันเล็กน้อยบนศาลเพียงตาที่เสาสูงจากพื้นประมาณ 1.20 เมตร กว้างและยาวประมาณ 1 เมตร มีผู้หญิงผมยาวใส่เสื้อแขนยาว นุ่งกางเกงสีดำ นั่งร้องครวญครางอยู่บนศาลเพียงตา ทราบชื่อต่อมาว่า นางประเสริฐ อายุ 44 ปี






ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้เข้าไปสอบถามอาการ พบว่าได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย จึงได้ช่วยเหลือนำลงมาจากศาลเพียงตา พร้อมทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น แล้วนำตัวส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลโพธิ์ทอง

และห่างไปอีกประมาณ 7 เมตร พบรถยนต์คู่กรณี เป็นรถยนต์กระบะ ยี่ห้อเกีย ตอนเดียวสีขาว หมายเลขทะเบียน บย 634 นครสวรรค์ ที่บริเวณด้านหน้ารถมีร่องรอยยุบเสียหาย

จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่า นายประดิษฐ์ เจ้าของรถยนต์กระบะสีเขียว ให้การว่า ขณะที่ตนเองและนางประเสริฐได้ทำการเกี่ยวหญ้าเตรียมไปนำให้วัวที่เลี้ยงไว้ที่บ้าน หลังเกี่ยวเสร็จนางประเสริฐนั่งมาบนกองหญ้าท้ายรถยนต์กระบะ

เมื่อขับมาถึงที่เกิดเหตุได้เฉี่ยวชนกับคู่กรณีรถยนต์กระบะยี่ห้อเกีย ตอนเดียวสีขาว ที่บรรทุกโต๊ะสนุกเกอร์มา ส่งผลทำให้ได้รับบาดเจ็บส่วนนางประเสริฐได้กระเด็นขึ้นไปอยู่บนศาลเพียงตา มีแผลที่แขน ลำตัว และมีอาการจุกแน่นหน้าอก

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจที่เกิดเหตุพร้อมสอบถามคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย และรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ เพื่อหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุที่แท้จริงตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป












ที่มา:https://www.sanook.com/news/6945786/

24/6/61










23 มิถุนายน 2561 ชาวเน็ตต่างเข้าไปเม้นท์ถล่มเฟซของธนกฤตคนร้ายฆ่าแฟนสาว โดยเฉพาะที่นายธนกฤตทำเนียนโพสท์ต่อว่าฆาตกร ทั้งๆที่ตัวเองเป็นมือฆ่าแฟนสาวเอง





















ที่มา:https://board.postjung.com/1086017.html

13/6/61









เข้าใจผิดมาทั้งชีวิต!! ผู้เชี่ยวชาญเผย 14 สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เมื่อคุณดื่มกาแฟเป็นประจำ แต่ละอย่างแทบไม่น่าเชื่อ คอกาแฟ ห้ามพลาด!!

สำหรับใครที่ชอบดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวัน ไม่ควรพลาดกับหัวข้อของเราในวันนี้ “14 สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เมื่อคุณดื่มกาแฟเป็นประจำ”

1. ประโยชน์ของกาแฟช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจถึง 26% โดยเฉพาะในเพศหญิงซึ่งมีการวิจัยพบว่าคนที่ดื่มกาแฟวันละไม่เกิน 5 แก้ว มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจมากขึ้น เนื่องจากสารนิโคติน (ไม่ใช่ชนิดที่อยู่ในบุหรี่ แต่เป็นวิตามินบีรวม) ในกาแฟจะไปช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ทำให้หลอดเลือดไม่แข็งตัว และเกิดภาวะไขมันในเลือดลดลง

2. กาแฟช่วยลดโอกาสเป็นโรคเบาหวานน้อยลง 60% มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า คนที่ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้ว จะมีความเสี่ยงโรคเบาหวานต่ำกว่าคนที่ไม่ดื่ม คาดว่าเพราะกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดเดียวกับในองุ่น และยังมีสูงกว่าในบลูเบอร์รีอีกด้วย






3. กาแฟช่วยชะลอความจำเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ได้ 65% ในการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ให้คนวัยกลางคนดื่มกาแฟวันละ 5 แก้ว พบว่าลดอัตราเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ สอดคล้องกับการวิจัยในอเมริกาเหนือกล่าวว่า การดื่มกาแฟ 2 แก้วต่อวัน จะช่วยพัฒนาความจำ เพิ่มความจำระยะสั้น มีความจำดีว่าคนไม่ดื่มกาแฟ กระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น

4. กาแฟช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะและปวดไมเกรน รวมถึงอาการปวดศีรษะเพราะดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เนื่องจากกาแฟมีกาเฟอีนที่มีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ดี และมีคุณสมบัติช่วยระงับความเจ็บปวด ประโยชน์ของกาแฟข้อนี้ คนเป็นไมเกรนต้องห้ามพลาด

5. ประโยชน์ของกาแฟช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ถึง 50% จากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นพบว่าผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วต่อวัน มีแนวโน้มการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดลง และผู้ชายที่ดื่มวันละ 6 แก้วต่อวัน มีความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าคนไม่ดื่มกาแฟ ทั้งนี้ในกาแฟมีกรดอะซิติกซึ่งจะช่วยยับยั้งและทำลายเซลล์ผิดปกติ กำจัดสารพิษภายในร่างกาย จึงทำให้ป้องกันโรคมะเร็งที่มีอาการในระยะแรกได้หลายชนิด

6. ประโยชน์ของกาแฟช่วยลดโอกาสเกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดี 50% ซึ่งมีข้อมูลระบุว่าคนที่ดื่มกาแฟประมาณ 4 แก้วต่อวันหรือมากกว่า จะมีอัตราการเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีน้อยลง และยังเคยมีการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยการให้ผู้หญิงดื่มกาแฟวันละ 4 แก้ว พบว่าการเกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดีลดลง 25% โดยก่อนหน้านี้ก็มีผลการวิจัยในผู้ชายที่ดื่มกาแฟประจำ ผลปรากฏว่าอัตราการเกิดโรคลดลงเช่นเดียวกัน






7. กาแฟช่วยป้องกันและบรรเทาการเกิดโรคหอบหืด การดื่มกาแฟเป็นประจำช่วยแก้ได้เนื่องจากสารกาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์ช่วยระงับความเครียดของประสาทสัมผัสสำรอง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการทำให้เกิดอาการหอบหืด หากเมื่อใดที่ประสาทสัมผัสสำรองถูกกระตุ้น โรคหอบหืดก็จะกำเริบ คนเป็นหอบหืดรีบพิสูจน์ประโยชน์ของกาแฟข้อนี้ด่วนๆ

8. กาแฟช่วยทำให้อารมณ์แจ่มใส คลายความเครียดได้ถึง 15-20% มีผลการวิจัยที่ยืนยันว่าการดื่มกาแฟ 2-3 แก้วต่อวัน ลดความเครียดได้ 15% และถ้าดื่มมากกว่าวันละ 4 แก้ว ความเครียดจะลดลงถึง 20% เพราะปริมาณกาเฟอีนที่เหมาะสมจะสามารถทำให้หายจากอารมณ์หงุดหงิดและซึมเศร้า รู้สึกผ่อนคลายจากความกังวลได้

9. กาแฟมีประโยชน์ในการช่วยสลายไขมัน ทราบหรือเปล่าว่าการดื่มกาแฟหลังมื้ออาหารจะทำให้ไขมันในอาหารที่เรากินเข้าไปเกิดการแตกตัวและให้พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นผลมาจากสารกาเฟอีนนั่นเอง และยังมีการวิจัยหลายชิ้นที่ได้ผลว่ากาเฟอีนมีส่วนทำให้ลดน้ำหนักได้ เพราะจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเมตาบอลิซึม

10. ประโยชน์ของกาแฟทำให้ความสามารถในการเล่นกีฬาดีขึ้น เพราะกาเฟอีนสารสำคัญที่มีในกาแฟจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ 40% และยังลดอาการล้าของกล้ามเนื้อในกลุ่มนักกีฬาหรือหลังการออกกำลังกายได้ถึง 50%

11. กาแฟมีส่วนลดการเกิดโรคพาร์กินสัน 25% ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยของศูนย์การแพทย์ในนครฮอนโนลูลู ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำมีโอกาสป่วยเป็นโรคพาร์กินสันน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม

12. กาแฟช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคเกาต์ได้ 60% มีผลการวิจัยแนะนำให้คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปดื่มกาแฟเป็นประจำวันละ 3-6 แก้ว เพราะกาเฟอีนมีส่วนช่วยลดอาการอักเสบของข้อที่มีสาเหตุจากกรดยูริกเกินขนาด

13. ประโยชน์ของกาแฟช่วยชะลอความชรา ไม่ให้แก่ก่อนวัย เพราะกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เซลล์ผิวหนังแข็งแรง ป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่น สามารถช่วยฟื้นฟูผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย กระชับรูขุมขนและขับสารพิษที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

14. กาแฟทำให้ร่างกายตื่นตัวและไม่รู้สึกง่วง เป็นที่ทราบกันดีว่ากาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ดังนั้นเมื่อได้ดื่มกาแฟจึงทำให้ร่างกายที่อ่อนล้ากลับมาสดชื่น หายอ่อนเพลีย และทำให้ตาแข็ง ซึ่งมีการทดลองกับการซ้อมกีฬาพบว่านักกีฬาสามารถจะฝึกซ้อมได้นานขึ้นแต่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง เพราะความตื่นตัวนี้จะมีระยะเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น












ที่มา:https://www.share-si.com/2018/06/14.html








เจ้าแม่นาคี หลานปู่ศรีสุทโธ แห่งเกาะคำชะโนด อุดรฯ ให้หวยแม่น ด้าน นกน้อย อุไรพร ราชินีหมอลำศรัทธามาเสี่ยงเซียมซีถูกหวยติดต่อกันสองงวด ส่วนงวดนี้มาได้เลข 134...


วันที่ 13 มิถุนายน 2561 เวลา 12.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากเกาะเจ้าแม่นาคี บ้านโพนสูง หมู่ที่ 13 ต.โพนสูง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี อยู่ห่างจากตัวอำเภอบ้านดุงประมาณ 7 กิโลเมตร ตามความเชื่อของชาวบ้านเชื่อว่าเจ้าแม่นาคีเป็นหลานสาวปู่ศรีสุทโธและแม่ย่าศรีปทุมมา อยู่ห่างจากเกาะคำชะโนดประมาณ 10 กิโลเมตร หากนักท่องเที่ยวไปไหว้ปู่ศรีสุทโธและย่าศรีปทุมมาเสร็จแล้ว ก็สามารถเดินมากราบไหว้หลานสาวที่ปู่และย่ารักมาก






ในขณะที่ทางเทศบาลเมืองอำเภอบ้านดุง โดยการนำของนายโชคเสมอ คำมุงคุณ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบ้านดุง พร้อมคณะกรรมการ ได้นำปัจจัยที่ชาวบ้านที่ศรัทธามาไหว้เจ้าแม่นาคี ได้ปรับปรุงสวยงามแต่ยังไม่พร้อมเท่าใดนัก เนื่องจากการไปไหว้เกาะเจ้าแม่นาคีนั้นนักท่องเที่ยวจะต้องนั่งเรือออกไปในทะเลสาบท่ามะนาวให้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึงเกาะขึ้นไปกราบไหว้ขอพรขอโชคขอลาภกันได้ ในแต่ละวันนั้นจะมีนักท่องเที่ยวมากราบไหว้ตลอดไม่ขาดยิ่งวันใกล้หวยออกจะมีนักเสี่ยงโชคมาขอเลขเด็ดกันเป็นประจำ

สองผัวเมียที่จำหน่ายดอกไม้ไหว้เจ้าแม่นาคี เล่าว่า มีราชินีหมอลำแห่งภาคอีสานที่คนอีสานรู้จักดี คือ นกน้อย อุไรพร เจ้าของวงหมอลำเสียงอีสาน จะมาเป็นประจำ มาขอพรจากเจ้าแม่นาคี และก็โชคดีตลอด ที่ผ่านมาก็ถูกหวยสองงวดติด ถูกลอตเตอรี่เลขท้ายสองตัวติดต่อกัน สำหรับงวดนี้เป็นงวดที่ 3 ได้เลขเด็ด คือ 134 ส่วนวิธีเสี่ยงโชคของหมอลำชื่อดังนั้นพอกราบไหว้ขอพรเสร็จแล้ว ทางกรรมการเกาะนาคีก็จะมีไม้เซียมซีที่สำหรับเสี่ยงดวงไว้ หลังไหว้เสร็จแล้วก็จะมาจับ หมอลำชื่อดังงวดที่ผ่านมานั้นจับได้เลขเด็ดสองงวดติดต่อกัน งวดนี้จับได้ 134 เป็นความเชื่อแต่ละบุคคล แต่เป็นความหวังของคนชอบหวย.













ที่มา:https://www.thairath.co.th/home

12/6/61










11 มิถุนายน ของทุกปี ศรัทธาชาวล้านนารวมถึงคนลำพูนถือเป็นวันครบรอบวันเกิดครูบาเจ้าศรีวิชัย มหาสมณะเจ้า หรือที่คนล้านนาเรียกท่านว่า “ตนบุญ”

ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2421 ณ วันอังคารขึ้น 11 ค่ำปีขาล ตรงกับวันที่ 11 มิถุนายน 2421 เวลาพลบค่ำพระอาทิตย์คล้อยลงต่ำ ทันใดนั้นท้องฟ้าที่ใสสว่างกลับวิปริตมืดคลื้ม พายุพัดกระหน่ำพาเอาสายฝนเทลงมา เสียงฟ้าร้องคำราม อสุนีฟาดเปรี้ยงลงมาจนเกิดแผ่นดินไหว ทารกน้อยผู้หนึ่งได้ถือกำเนิดมาในกระท่อมเล็ก ๆ ในชนบทกันดารของหมู่บ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ทารกผู้นี้ได้รับการตั้งชื่อว่า “อินตาเฟือน” หรือ “อ้ายฟ้าร้อง” ตามนิมิตแห่งการเกิด


เมื่อเยาว์วัยท่านเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและอยู่ในโอวาทคำสั่นสอนของบิดามารดาช่วยประกอบสัมมาอาชีวะ ปกติท่านชอบเลี้ยงวัวเลี้ยงควายและรักความสงบตามธรรมชาติป่าเขา เป็นบรรยากาศที่ช่างเหมาะสมกับอุปนิสัยที่จะปลูกฝังโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เจ้าโดยแท้






ครั้นเมื่อท่านอายุได้ 18 ปี เกิดความคิดวิตกขึ้นในใจว่า ชาตินี้เกิดมามีฐานะลำบากยากจน ต้องทรมาณร่างกายด้วยการทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพทั้งบิดามารดาและตนเอง ทั้งนี้เพราะบุพกรรมแต่ในอดีตที่มิได้ให้ทานรักษาศีลภาวนา การได้บวชบำเพ็ญภาวนาในพระพุทธศาสนาน่าจะเป็นผลบุญต่อไปในภายภาคหน้า ทั้งยังถือเป็นการตอบแทนพระคุณบิดามารดา ดังนั้นท่านจึงได้ขอลาบิดามารดาไปอยู่วัดบ้านปาง ศึกษาเล่าเรียนและบวชเป็นสามเณรกับพระอาจารย์ขัติยะ หรือ ครูบาแข้งแขะ เพราะท่านเดินขากระแผลก เมื่ออายุได้ 21 ปีจึงได้อุปสมบทที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน โดยมีครูบาสม สมฺโณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “สิริวิชโย ภิกขุ” แต่ชาวบ้านจะเรียกท่านว่า “พระศรีวิชัย”


พระศรีวิชัยได้ศึกษาไสยศาสตร์เวทมนต์คาถาจากครูแข้งแขะ โดยได้ยึดมั่นว่าเป็นของดีของวิเศษที่จะนำความสุขความเจริญมาให้ ท่านยังได้สักหมึกดำที่ขาทั้งสองข้างตามความเชื่อของลูกผู้ชายชาวล้านนาว่าจะช่วยให้อยู่ยงคงกระพัน ต่อมาครูบาสม สมฺโณ ได้แนะนำให้พระศรีวิชัยไปนมัสการครูบาอุปละที่วัดดอยแต อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ครูบาอุปละได้เมตตาถ่ายทอดครองวัตรปฏิบัติวิชชาอาคมให้พระศรีวิชัยสมควรแก่ภูมิธรรมเป็นเวลา 1 พรรษา จากนั้นจึงได้กราบลาครูอุปละไปศึกษาต่อกับครูบาวัดดอยคำและกลับมาศึกษาต่อกับครูบาสม สมฺโณ ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง การได้ศึกษากับพระอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยภูมิรู้และวัตรปฏิบัติ ทำให้ท่านเกิดความเข้าใจในพุทธศาสนาที่ถูกต้อง มีความมุ่งมั่นปฏิบัติในด้านกัมมัฏฐาน โดยละเลิกความสนใจทางด้านไสยศาสตร์ ด้วยเล็งเห็นว่ามิใช่หนทางแห่งความหลุดพ้น

พระศรีวิชัยกลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านปางอีกครั้งและปลีกตัวเองไปอยู่ในเขตอรัญญาวาส บำเพ็ญสมาธิภาวนาด้วยความสงบ ฉันอาหารมื้อเดียว ละเว้นจากการฉันเนื้อสัตว์และเว้นจากของเสพติดเช่น หมาก พลู บุหรี่ เมี่ยง บางครั้งท่านไม่ฉันข้าวนานถึง 5 เดือน ฉันแต่ผักผลไม้ ทำให้ชาวบ้านตลอดจนชาวเขาหลายเผ่าที่อยู่ในแถบนั้นพากันเคารพเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่าน






พระศรีวิชัย ได้ชื่อว่าเป็นพระนักพัฒนาโดยแท้ ท่านเป็นผู้นำพัฒนาวัดบ้านปางเป็นแห่งแรก ก่อสร้างปฏิสังขรณ์กุฏิ วิหาร โบสถ์ และให้ชื่ออารามใหม่นี้ว่า “วัดจอมศะหรีทรายมูลบุญเรือง” แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงเรียกว่า “วัดบ้านปาง” นอกจากนั้นท่านยังได้ปลูกสร้างปฏิสังขรณ์วัดวาอารามและถาวรวัตถุทางศาสนาอีกหลายสิบวัดในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น วัดพระธาตุหริภุญชัยลำพูน, วัดเชียงยืน, วัดพระพุทธบาทตากผ้า, วัดจามเทวี, วัดพระสิงห์, วัดสวนดอก, วัดศรีโสดา,วัดพระแก้วดอนเต้าลำปาง เป็นต้น

ผลงานด้านการพัฒนาของท่านเป็นที่รู้จักและยังคงกล่าวขวัญถึงยุคปัจจุบันก็คือ ถนนขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ ที่สมัยนั้นถือได้ว่าเป็นการร่วมแรงร่วมใจของผู้คนจากทั่วภาคเหนือที่พร้อมใจกันมาสร้างถนนก็ว่าได้ ในสมัยก่อนการจะเดินทางขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพต้องเดินเท้าขึ้นไปด้วยความลำบาก ใช้เวลาไม่ต่ำ 4 – 5 ชั่วโมง และการที่จะสร้างถนนขึ้นไปเป็นเรื่องที่ยากเกินจะเป็นไปได้ เพราะต้องใช้ทั้งแรงงานมากมาย เวลาและเงินตรามหาศาล ทั้งสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องจักรที่ทันสมัย รัฐบาลในสมัยนั้นซึ่งมีพลเรือตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทราบเรื่องจากหลวงศรีประกาศ (ฉันท์ วิชยาภัย) จึงได้ส่งนายช่างขึ้นมาทำการสำรวจเส้นทาง ระยะทางทั้งหมด 11.530 กิโลเมตร โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2477 แล้วเสร็จในวันที่ 30 เมษายน 2478

ความมีชื่อเสียง ความสำเร็จผลในด้านการเป็นพระนักพัฒนา ดูเหมือนว่าการบำเพ็ญบารมีธรรมในชีวิตของครูบาศรีวิชัยจะก้าวไปพร้อมกันกับอุปสรรค์แสนเข็ญ ด้วยคณะสงฆ์ผู้ใหญ่ในล้านนาไม่พอใจในตัวท่าน จนถึงขนาดมีการกล่าวหาเอาผิดท่านถึง 3 ครั้ง โดยกล่าวหาว่าท่านทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์ ซ่องสุมกำลังผู้คน คิดขบถต่อบ้านเมือง และนำท่านไปจำไว้ที่ลำพูนและวัดศรีดอนไชย เชียงใหม่ จากนั้นจึงได้ส่งตัวท่านไปไต่สวนที่กรุงเทพ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตั้งกรรมการชำระคดีครูบาศรีวิชัย ผลปรากฏว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีความผิด

วันที่ 22 มีนาคม 2481 ขณะที่อายุได้ 60 ปีเศษ ครูบาศรีวิชัยได้ถึงแก่กาลมรณภาพที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มีพิธีพระราชทานเพลิงศพที่วัดจามเทวี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2489 ตามแบบประเพณีล้านนาไทย

ครูบาศรีวิชัย จึงนับเป็นแบบอย่างของพระพัฒนาที่สร้างคุณูปการต่อจังหวัดเชียงใหม่และล้านนาไทยเป็นอย่างมาก แม้วันนี้ครูบาศรีวิชัย หรือ พระศีลธรรม จะมรณภาพมานานกว่า 80 ปี ทว่าชื่อเสียงของท่านยังคงอยู่ในศรัทธาของชาวเชียงใหม่และใกล้เคียงไม่เสื่อมคลาย












ที่มา:chiangmainews

11/6/61









พระพุทธรูปเก่าแก่ อายุกว่า 1,500 ปี ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารน้อย เป็นพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ ประทับนั่งห้อยพระบาท ศิลปะแบบทวารวดี ปางประทานปฐมเทศนา สร้างขึ้นจากวัสดุหินปูนสีเขียวแก่ หรือศิลาเขียว

พระคันธารราฐ
พระประธานในพระวิหารสรรเพชญ์
[พระวิหารคันธารราฐ, พระวิหารเขียน, พระวิหารน้อย]
วัดหน้าพระเมรุราชิการาม หรือวัดหน้าพระเมรุ (พระอารามหลวง)
ต.ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา






“พระคันธารราฐ” วัดหน้าพระเมรุราชิการาม หรือวัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา พุทธลักษณะ เป็นพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ประทับนั่งห้อยพระบาท ศิลปะแบบทวารวดี ปางประทานปฐมเทศนา มีขนาดหน้าตักกว้าง 1.70 เมตร สูง 5.20 เมตร สร้างขึ้นจากวัสดุหินปูนสีเขียวแก่หรือศิลาเขียว (Bluish Limestone) พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางคว่ำอยู่บนพระชานุ (เข่า) เบื้องพระปฤษฎางค์ (เบื้องหลัง) มีพนัก และเหนือขึ้นไปหลังพระเศียรมีประภามณฑลหรือรัศมี สลักลายที่ขอบ ปัจจุบันประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ในพระวิหารสรรเพชญ์ หรือพระวิหารคันธารราฐ หรือพระวิหารเขียน หรือพระวิหารน้อย

พระวิหารสรรเพชญ์ ประชาชนเรียกชื่อว่า “พระวิหารคันธารราฐ” หรือเรียกชื่อว่า “พระวิหารเขียน” เนื่องจากมีลายเขียนภายในพระวิหาร หรือมีชื่อเรียกกันอีกว่า “พระวิหารน้อย” เนื่องจากเป็นพระวิหารขนาดเล็ก มีขนาดกว้างประมาณ 6 เมตร ยาวประมาณ 16 เมตรเท่านั้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระอุโบสถ ห่างจากพระอุโบสถประมาณ 2 เมตรเศษ หันหน้าออกไปทางทิศใต้หรือไปทางแม่น้ำลพบุรี พระยาไชยวิชิต (เผือก) ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2381 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระวิหารมีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ประดับช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ ปิดทองประดับกระจกเช่นเดียวกับพระอุโบสถ หน้าบันสลักลายดอกไม้และนก มีประตูเข้าสู่ภายในพระวิหารเฉพาะด้านหน้าประตูเดียว เป็นประตูไม้แกะสลักลายก้านขดเคล้าภาพเป็นภาพเทพนม ครุฑ นาค และนก ตอนล่างแกะลายฐานสิงห์ ตอนบนเป็นวิมานและลายเปลว (ฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนปลาย อาจเป็นสมัยพระเจ้าปราสาททอง) ซุ้มประตูเป็นลายปูนปั้นปิดทอง ตรงกลางทำเป็นรูปอาคารแบบยุโรป ล้อมด้วยลายดอกไม้มีลายเครือเถาอยู่ที่กรอบ เป็นลายแบบฝรั่งปนจีนฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 4 ผนังด้านข้างของพระวิหารมีหน้าต่างด้านละ 1 บาน ผนังด้านในมีจิตรกรรมฝาผนังเขียนภาพเล่าเรื่องชาดกโดยรอบ ปัจจุบันภาพเขียนจิตรกรรมยังคงอยู่แม้จะลบเลือนไปมากตามกาลเวลา






พระคันธารราฐ สันนิษฐานว่าเคยประดิษฐานอยู่ ณ วัดมหาธาตุ ในเกาะเมือง ข้างวัดราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยุธยา มาก่อน ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่มีมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา และเป็นวัดร้างในยุคนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาไชยวิชิต (เผือก) เป็นแม่กองบูรณปฏิสังขรณ์วัดมหาธาตุ จึงได้ขุดพบ “พระคันธารราฐ” พระพุทธรูปศิลาเขียวองค์นี้ แล้วได้มีการเคลื่อนย้ายอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในพระวิหารน้อย ที่พึ่งสร้างขึ้นใหม่นี้ ณ วัดหน้าพระเมรุราชิการาม จวบจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ พระยาไชยวิชิต (เผือก) ได้จารึกไว้ในศิลาติดตั้งไว้ที่ฝาผนังเมื่อปี พ.ศ. ที่สร้างว่า “พระคันธารราฐ” นี้ พระอุบาลีมหาเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา นำมาจากประเทศลังกา ในคราวที่ท่านเป็นสมณฑูตพร้อมด้วยพระสงฆ์สยามวงศ์นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในประเทศลังกา


แต่ทว่านักโบราณคดีมีความเห็นว่า “พระคันธารราฐ” เป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดี สร้างขึ้นในระหว่างปี พ.ศ.1000-1200 และสันนิษฐานว่าก่อนที่จะนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดมหาธาตุ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เดิมเคยประดิษฐานอยู่ ณ วัดทุ่งพระเมรุ หรือวัดพระเมรุ จ.นครปฐม เนื่องจากทางราชการขุดพบเรือนแก้วที่ชำรุด สันนิษฐานว่าเป็นเรือนแก้วของพระพุทธรูปองค์นี้ ดังนั้น ความเก่าแก่ของ “พระคันธารราฐ” จึงเก่าแก่กว่าในสมัยกรุงสุโขทัย ไล่เลี่ยกับยุคสมัยของบุโรพุทโธ (borobodur) บนเกาะชวาในประเทศอินโดนีเซีย

พระคันธารราฐ กล่าวกันว่าเดิมเป็นพระพุทธรูปศิลาเขียว แต่เนื่องจากผ่านกาลเวลามานานจึงทำให้กลายเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันดูคล้ายเป็นสีดำ แต่ถ้ามองดูในระยะใกล้ๆ แล้วจะเห็นเม็ดเล็กๆ สีเขียวเพราะทำจากหินทรายแกะสลัก เชื่อกันว่าหากบูชาสักการะแล้วจะอายุยืนมั่นคงดั่งศิลา












ที่มา:http://www.baanjompra.com/webboard/thread-4020-1-1.html








สะเทือนใจ... อุรังอุตังปรี่เข้าหารถขุดดิน-ขัดขวางสุดกำลัง ขณะกำลังตัดไม้ในป่า เป็นภาพอันน่าเศร้าของสัตว์ป่า เมื่อบ้านที่เคยร่มรื่นถูกมนุษย์บุกทำลาย





ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่านั้นเป็นหนึ่งในปัญหาที่หลายประเทศต่างต้องเผชิญ แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นสัตว์ป่าน้อยใหญ่ ที่มีอันต้องล้มตายลงหลังถิ่นอาศัยถูกทำลายไป เหตุการณ์อันเศร้าสลดนี้เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งตราบเท่าที่ยังคงมีการรุกรานพื้นที่ป่า ดังเช่นสิ่งที่เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิ International Animal Rescue (I.A.R.) นำมาเผยให้เราได้เห็นกันเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561


โดยรายงานจากเว็บไซต์เดอะซัน เผยว่า เหตุการณ์ที่ถูกนำมาเปิดเผยนั้น คือภาพของอุรังอุตังที่กำลังพยายามเผชิญหน้ากับรถขุดดิน เพื่อต่อสู้กับศัตรูที่ทำลายบ้านในป่าของมัน เจ้าอุรังอุตังตัวนี้พยายามขัดขวางเพื่อไม่ให้เครื่องจักรโค่นไม้ลงง่าย ๆ แม้ว่าสุดท้ายมันจะถูกปัดจนตกจากต้นไม้ แต่มันก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังคงพยายามปีนขึ้นไปบนรถขุดดินนั้นอีกครั้ง ท่ามกลางความตกใจของคนงานที่อยู่ตรงนั้น


 เจ้าหน้าที่จาก I.A.R. บันทึกภาพนี้ได้จากป่าซูไงปูตรี บนเกาะเบอร์เนียว ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี 2556 แต่เพิ่งถูกนำมาเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมระบุว่าหลังจากได้เห็นภาพชวนสลดนี้แล้ว พวกเขาก็ได้เข้าช่วยเหลือนำมันออกมาจากพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย น่าเศร้าที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอินโดนีเซีย การตัดไม้ทำลายป่าทำให้จำนวนประชากรอุรังอุตังค่อย ๆ ลดลง เนื่องจากถิ่นที่อยู่ของมันถูกทำลาย สัตว์ป่าเหล่านี้จึงเริ่มอดตายตามกันไป













ที่มา:https://pet.kapook.com/view194697.html









( 11 มิ.ย. 2561 ) รายงานข่าวแจ้งว่า ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการจัดพิธีทำบุญมุทิตา คล้ายวันเกิด ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญล้านนาไทย ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ 140 และเข้าสู่ปีที่ 141 แห่งการรำลึกถึงวีรกรรมของรูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ได้สร้างคุณประโยชน์ ต่อเมืองเชียงใหม่

โดยมี นายวีระพันธ์ ดีอ่อน นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ เป็นประธานฝ่ายฆารวาส นำคณะศรัทธาสาธุชน และคณะเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธีที่จัดขึ้นอย่างเนืองแน่น แม้ว่าในวันนี้ระหว่างการจัดพิธีจะมีฝนตกลงมาอย่างโปรยปราย โดยผู้เข้าร่วมพิธีต่างพร้อมใจกันนุ่งขาวห่มข่าว และแต่งกายด้วยชุดสุภาพ นำข้าวสารและอาหารแห้ง มาร่วมในการประกอบพิธีทำบุญตักบาตร ที่ได้มีการตั้งจุดใส่บาตรไว้โดยรอบของอนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย





จากนั้นในเวลา 06.29 น. จึงได้เริ่มพิธีการทำบุญตักบาตร พระสงฆ์จำนวน 219 รูป และประกอบพิธีทางศาสนา และการมอบวัตถุมงคลจำนวน 219 ชุด แก่ศรัทธาประชาชนผู้เข้าร่วมงาน

สำหรับครูบาศรีวิชัย หรือ พระสีวิไชย พระมหาเถระซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สร้างถนนทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2477 ได้รับการขนานนามว่า ต้นบุญแห่งล้านนา โดยครูบาศรีวิชัย เดิมชื่อ "เฟือน" หรือ "อินท์เฟือน" บ้างก็ว่า "อ้ายฟ้าร้อง"


เนื่องจากในขณะที่ท่านเกิด มีปรากฏฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ส่วนอินท์เฟือนนั้น หมายถึง การเกิดกัมปนาทหวั่นไหวถึงสวรรค์หรือเมืองของพระอินทร์ ท่านเกิดในปีขาล เดือน 9 เหนือ (เดือน 7 ของภาคกลาง) ขึ้น 11 ค่ำ จ.ศ. 1240 เวลาพลบค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ที่บ้านปาง ตำบลแม่ตืน (ปัจจุบันคือตำบลศรีวิชัย) อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน


ผลงานที่เด่นมากของครูบาศรีวิชัยก็คือ การสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งครูบาศรีวิชัยได้รับคำเรียกร้องจากศรัทธาประชาชน ให้ช่วยดำริและจัดการเรื่องนี้ จึงเริ่มลงมือสร้างเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 เวลา 10.00 น. ณ เชิงดอยสุเทพด้านห้วยแก้ว


โดยมี พลตรี เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เป็นผู้ขุดจอบเป็นปฐมฤกษ์ การสร้างถนนสายนี้ใช้แรงงานเป็นจำนวนมากวันหนึ่งๆ จะมีผู้คนช่วยทำงานประมาณวันละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ถ้าคิดมูลค่าแรงงานเป็นเงินก็คงมากมายมหาศาลทีเดียว การสร้างทางสายนี้ใช้เวลา 5 เดือน กับ 22 วัน จึงแล้วเสร็จ และเปิดให้รถขึ้นลงได้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2478














ที่มา:https://www.sanook.com/news/6771134/

9/6/61









นักร้องลูกทุ่งร่วมเปลี่ยนเสื้อ แต่งหน้า ทำผม ให้หุ่นพุ่มพวง ดวงจันทร์ รับวันครบรอบการจากไปของราชินีลูกทุ่งปีที่ 26 ฮือฮาแฟนเพลงรอนับจำนวนก้านธูปกับเลขเสี่ยงเซียมซี ก่อนนำไปซื้อหวยจนเลขดังเกลี้ยงแผง
เปลี่ยนเสื้อผ้าให้หุ่นพุ่มพวง






เป็นประจำทุกปีที่แฟนเพลงของ ราชินีลูกทุ่ง ‘พุ่มพวง ดวงจันทร์’ จะจัดงานรำลึกถึงการจากไป โดยในปีนี้ครบรอบ 26 ปีแล้ว โดยเมื่อเร็วๆนี้ ที่บริเวณศาลากลางน้ำ ศาลาหุ่นขี้ผึ้ง หุ่นที่ 1 ของราชินีนักร้องลูกทุ่งพุ่มพวง ดวงจันทร์ วัดทับกระดาน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี น.ส.สลักจิต ดวงจันทร์ น้องสาว ของพุ่มพวง ดวงจันทร์ และน.ส.เปาวลี พรพิมล ศิลปินสาวลูกทุ่งค่ายแกรมมี่โกลด์ น้องเล้ง ศึกวันดวลไมค์ ศิลปินค่ายแกรมมี่โกลด์ พร้อมด้วยแฟนเพลง พุ่มพวง

ศิลปินลูกทุ่งที่มาร่วมบวงสรวง

มาร่วมกันเปลี่ยนชุด แต่งหน้า ที่หุ่นขี้ผึ้ง พุ่มพวง หุ่นที่ 1 โดยมีช่างแต่งหน้า ทำผม ในนามทีมช่างอุษามณี ร่วมกันแต่งหน้า ทำผม และเปลี่ยนชุดแต่งกายเป็นชุดส่าหรีสีแดงสด ปักดิ้นทอง สวมเครื่องประดับเพชร ต่างหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ อย่างสวยงาม และยังร่วมกันทำความสะอาดบริเวณศาลา จัดดอกกุหลาบสีแดง ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยแฟนเพลงที่มารอชมและมาร่วมรำลึกถึงราชินีนักร้อง

สลักจิตร ดวงจันทร์ และเพื่อนนักร้อง

น.ส.สลักจิต ดวงจันทร์ กล่าวว่า เดินทางมาร่วมเปลี่ยนชุดและแต่งหน้า ให้พี่ผึ้งพุ่มพวงเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา โดยมีความตั้งใจ และจิตที่รำลึกถึงพี่ผึ้งตลอดเวลา ในวันนี้จึงมาร่วมรำลึกถึงพี่ผึ้งร่วมกับแฟนเพลงโดยงานครบรอบ 26 ปี กับการจากไป จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 11-17 มิ.ย. ณ วัดทับกระดาน โดยมีศิลปินลูกทุ่งมาร่วมร้องเพลงในงานกว่าร้อยชีวิต และเชิญชวนแฟนเพลงพี่ผึ้งมาร่วมกันทำบุญ และตนขอเป็นตัวแทนของครอบครัวรู้สึกดีใจ แทนพี่ผึ้งที่แฟนเพลงยังคงรักและชื่นชมราชินีนักร้องพุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่ยังคงอยู่ในใจทุกคนเสมอมา

หุ่นพุ่มพวง

ด้านเปาวลี พรพิมล กล่าวว่า มาร่วมเปลี่ยนชุดให้กับแม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ และมาทำความสะอาดศาลากลางน้ำ ที่หุ่นขี้ผึ้งของแม่ผึ้ง เหมือนทุกปีที่เคยทำมา ตนนั้นยึดแบบอย่างของแม่ผึ้ง พุ่มพวงมาโดยตลอด ทั้งเรื่องความอดทนและการเป็นนักร้องลูกทุ่งที่ดี แม่ผึ้งพุ่มพวงเปรียบเสมือนคุณครู ที่อยู่ในดวงใจของเปาวลีคนนี้ตลอดไป ซึ่งเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ตนเชื่อว่าความดีงามและบทเพลงของแม่ผึ้งพุ่มพวง ยังคงอยู่ในความทรงจำของแฟนเพลงตลอดไป





สำหรับตนนั้นจะเดินทางมาร่วมการแสดงคอนเสิร์ตในคืนแรก ของงานครบรอบ 26 ปีของการจากไปของแม่ผึ้ง พุ่มพวง ร่วมกับศิลปินท่านอื่นๆ ที่วัดทับกระดานแห่งนี้ และจะขับร้องเพลงของแม่ผึ้งพุ่มพวง ซึ่งเตรียมไว้หลายเพลง ฝากแฟนเพลงมาร่วมชมคอนเสิร์ตและมาร่วมงานครบรอบ 26 ปี ที่วัดทับกระดานแห่งนี้ด้วย

ด้านน้องเล้ง ศึกวันดวลเพลง ศิลปินค่ายแกรมมี่โกลด์ กล่าวว่า ตนนั้นก็ยึดแบบการเป็นนักร้องลูกทุ่งมาจากแม่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ตั้งแต่เริ่มฝึกร้องเพลงลุกทุ่ง ทั้งด้านเสียงร้อง เทคนิค และความต่อสู้อดทน อีกทั้งการปฏิบัติตัวในการเป็นนักร้องลูกทุ่งที่ดี ซึ่งตนก็จะมาร่วมงานทุกปี และมาช่วยทำความสะอาดที่ศาลาแห่งนี้ ถึงแม้แม่ผึ้งพุ่มพวง ดวงจันทร์จะจากไปถึง 26 ปีแล้ว แต่ตนเชื่อว่าแม่ผึ้งพุ่มพวงยังอยู่ในดวงใจของแฟนเพลงทุกคน ที่ยังคงรักและระลึกนึกตลอดเวลา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศช่วงท้ายหลังจากที่ทุกคนหลังร่วมกันทำความสะอาดศาลากลางน้ำที่หุ่นแม่ผึ้งตั้งอยู่นั้น ทั้งทำความสะอาดโต๊ะ บริเวณโดยรอบ ดอกกุหลายพลาสติกสีแดง โดยคุณสลักจิต ดวงจันทร์ น้องสาว ก็ทำความสะอาดกระถางธูปและนับจำนวนก้านธูป ท่ามกลางแฟนๆ ที่รอลุ้น โดยนับจำนวนได้ 134 ก้าน และที่บริเวณหลังเสื้อที่เป็นเหงื่อ บรรดาช่างภาพผู้สื่อข่าวเห็นว่าเป็นรูปหัวใจ เลยพากันขอถ่ายรูป ซึ่งแฟนเพลงต่างพากันฮือฮากันยกใหญ่ ส่วนน้องเปาวลีก็นำดอกกุหลาบสีแดงมาไหว้กับคุณแม่ และเสี่ยงเซียมซีได้เลข 285 ซึ่งเลข 134 และ 285 ขณะนี้ แผงล็อตเตอรี่ที่วัดทับกระดานก็เกลี้ยงแผง บรรดาคอหวยเสี่ยงโชคต่างกันแห่ซื้อกันจนหมด

สำหรับงานครบรอบ 26 ปีการจากไปจากราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวงดวงจันทร์จะเริ่มจัดขึ้นในวันที่ 11-17 มิ.ย. ณ วัดทับกระทาน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี










ที่มา:https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_1188683

8/6/61









บุกถึงตำหนัก! อ้างร่างทรงร.5-เสด็จเตี่ย หนุ่มโต้คิดกันไปเอง แค่ลูกศิษย์จัดให้ใส่วันไหว้ครู
ทหาร-ตำรวจบุกถึงตำหนัก หนุ่มรูปว่อนเน็ตอ้างร่างทรง รัชกาลที่ 5-เสด็จเตี่ย เจ้าตัวอ้างแค่มีอาการรับทำบายศรี ทำขวัญนาค ตั้งศาลพระภูมิ ส่วนชุดที่ใส่เป็นภาพเก่าสมัย 3-4 ปีที่แล้ว หลังลูกศิษย์มาจัดงานในพิธีไหว้ครูให้ ใส่แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวแล้วไม่เคยหยิบออกมาใส่อีกเลย เจ้าหน้าที่สั่งหยุดทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทันที หากเจอยังดื้อโดนหนัก





จากกรณีโลกโซเชี่ยลแห่แชร์พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของชายที่แต่งกายคล้ายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อีกทั้งยังอ้างตนเป็นร่างทรง รัชกาลที่ 5 และร่างทรง‘เสด็จเตี่ย’ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ โดยระบุว่าบ้านของตัวเองเป็นพระตำหนักประทับทรงของทั้ง 2 พระองค์ ที่เรือนหมอพร ต.ท่าไข่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา


ความคืบหน้าเรื่องนี้เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. พล.ต.วรยุทธ แก้ววิบูลย์พันธุ์ ผบ.กองพลทหารราบที่ 11 พร้อมด้วย พ.อ.ธิติพันธ์ ฐานะจาโร รอง ผบ. สั่งการให้ ร.อ.อนุกูล วงศ์แม่น้อย นำกำลังทหารชุดรักษาความสงบเรียบร้อยกองพลทหารราบที่ 11 ประสานตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 43/7 หมู่ 13 ต.ท่าไข่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ของนายคเชนทร์ เล็กชอุ่ม อายุ 39 ปีที่อ้างตัวเป็นร่างทรงรัชกาลที่ 5 และร่างทรงเสด็จเตี่ย

โดยพบนายคเชนทร์ อยู่ภายในบ้านและได้ชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ว่า ไม่เคยแอบอ้างว่าเป็นร่างทรงของใคร ส่วนภาพที่ปรากฏบนสื่อนั้นเป็นภาพเก่าสมัย 3-4 ปีที่แล้ว ที่ลูกศิษย์มาจัดงานในพิธีไหว้ครูให้ โดยเก้าอี้บันลังที่เห็นตามภาพนั้นเช่ามาตั้งในช่วงที่มีการจัดงานพิธีไหว้ครู ส่วนชุดที่สวมใส่ก็ป็นการใส่แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวแล้วไม่เคยหยิบออกมาใส่อีกเลย

“แท้จริงแล้วผมมีอาชีพทำบายศรี ทำขวัญนาค และตั้งศาลพระภูมิ หรืองานบวงทรวงต่างๆ ที่สร้างรายได้หาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งมิได้เกิดจากอาชีพทรงเจ้าหรือร่างทรงที่เที่ยวไปหลอกลวงใครๆ แต่เกิดจากความเข้าใจผิดและหลงเชื่อของบุคคลคนนั้น”

เจ้าหน้าที่จึงว่ากล่าวตักเตือน ให้ยุติการกระทำที่เกี่ยวข้องกับร่างทรงและการแต่งกายเรียนแบบหรือให้มีลักษณะคล้ายกับพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5 ทั้งในบ้านและนอกบ้าน แต่ให้ทำอาชีพรับจ้างทำบายศรี ทำขวัญนาค และงานพิธีบวงทรวงต่างๆได้ตามปกติ หากยังพบว่ามีการแต่งกายเรียบแบบ หรือมีการแอบอ้างและลักลอบเปิดให้เป็นร่างทรงอีก จะจับกุมดำเนินการตามกฎหมายทันที














ที่มา:https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1185928

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget