26/9/61









มื่อ 2000 ปีที่ผ่านมาขงจื้อได้กล่าวไว้ เกี่ยวกับคน 4 ประเภทดังนี้

1)คนฉลาดและขยัน ควรส่งเสริมให้เป็นใหญ่

2)คนฉลาดและขี้เกียจ ควรเลี้ยงไว้เป็นที่ปรึกษา

3)คนโง่และขี้เกียจ ยังพอบังคับให้ทำงานได้

4)คนโง่และขยัน ต้องเอาไปตัดหัวทิ้ง เพราะจะทำให้งานเสีย

ตัวอย่างเรื่องราวของคนที่โง่เขลาที่เราไม่ควรคบเป็นมิตรเพราะรังแต่จะนำความเดือดร้อนมาให้เพราะการกระทำที่โง่เชลาของเขานั้นเอง





เรื่อง มิตรที่โง่เขลา

เรื่องที่ ๑

ในอดีต ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี  ครั้งนั้นที่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง ในแคว้นกาสี มีพวกช่างไม้อาศัยอยู่มากด้วยกัน.

ช่างไม้หัวล้านคนหนึ่ง ในหมู่ช่างไม้เหล่านั้น กำลังตากไม้ ขณะนั้นมียุงตัวหนึ่ง บินมาจับที่ศีรษะ ซึ่งคล้ายกับกระโหลกทองแดงคว่ำ แล้วกัดศีรษะด้วยจะงอยปาก เหมือนกับทิ่มแทงด้วยหอก. ช่างไม้จึงบอกลูกของตน ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ว่าไอ้หนู ยุงมันกัดศีรษะพ่อ เจ็บเหมือนถูกแทงด้วยหอก จงฆ่ามันเสีย.

ลูกพูดว่า พ่อจงอยู่นิ่ง ๆ ฉันจะฆ่ามัน ด้วยการตบครั้งเดียวเท่านั้น.

ครั้งนั้น พ่อค้าคนหนึ่ง กำลังเที่ยวแสวงหาสินค้าของตนอยู่ ลุถึงบ้านนั้น นั่งพักอยู่ในโรงของช่างไม้นั้นเป็น เวลาเดียวกันกับที่ช่างไม้นั้น บอกลูกว่า ไอ้หนู ไล่ยุงนี้ที

ลูกขานรับว่า จ๊ะพ่อ ฉันจะไล่มัน พูดพลางก็เงื้อขวานเล่มใหญ่คมกริบ ยืนอยู่ข้างหลังพ่อ ฟันลงมาเต็มที่ ด้วยคิดว่าจักฆ่ายุง เลยผ่าสมองของบิดาเสียสองซีก.

ช่างไม้ถึงความตายในที่นั้นเอง.

พ่อค้านั้นเห็นการกระทำของลูกช่างไม้แล้ว ได้คิดว่าถึงมีศัตรูที่เป็นบัณฑิตก็ยังดีกว่า เพราะเขายังเกรงอาญาแผ่นดิน ไม่ถึงกับฆ่ามนุษย์ได้ แต่มีมิตรโง่เขลาเช่นนี้ จะดีอะไร





เรื่องที่ ๒

เศรษฐีคนหนึ่งมีทาสี ชื่อว่าโรหิณี.

วันหนึ่ง มารดาของนางทาสีซึ่งเป็นหญิงแก่ มานอนอยู่ในโรงกระเดื่อง.

ฝูงแมลงวันรุมกันตอมมารดาของนางโรหิณีนั้นกัดเจ็บเหมือนกับแทงด้วยเข็ม นางจึงบอกกับลูกสาวว่า แม่หนูแมลงวันรุมกัดแม่ เจ้าจงไล่มันไป

นางรับคำว่า จ๊ะแม่ ฉันจะไล่มัน เงื้อสาก คิดในใจว่า เราจักตีแมลงวันที่รุมตอมตัวของแม่ให้ตาย ให้ถึงความพินาศ แล้วก็เหวี่ยงสากตำข้าว ถูกมารดา ตายคาที่.

ครั้นเห็นมารดาตาย ก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า แม่ของเราตายเสียแล้ว ๆ

เศรษฐีฟังเรื่องนั้นแล้ว ดำริว่า ถึงแม้จะเป็นศัตรูก็ขอให้เป็นบัณฑิตเถิดประเสริฐแน่ แล้วกล่าวเป็นคาถาประพันธ์ว่า

            ศัตรูเป็นคนมีปัญญา ดีกว่าคนผู้

      อนุเคราะห์ แต่เป็นคนโง่ ไม่ประเสริฐเลย จงดู

      นางโรหิณีผู้โง่เขลา ฆ่าแม่ตายแล้ว ร้องไห้อยู่เถิด

จบเรื่อง มิตรโง่เขลา

Cr.ขุนพลไร้เงา











ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.winnews.tv/news/24950








วันที่ 26 ก.ย. เอเอฟพีรายงานว่า นายริค สแตนตัน และ นายจอห์น โวลันเธน 2 นักดำน้ำชาวอังกฤษ ผู้พบกลุ่มนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ช จากทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี 13 ชีวิต ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง วนอุทยานขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อเดือนมิ.ย. 2561 ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ในภารกิจที่ทั่วโลกให้ความสนใจ โดยนักดำน้ำทั้ง 2 คน เปิดเผยว่า ก่อนที่พวกเขาจะพบกับ 13 หมููป่า ไม่กี่วัน พวกเขายังได้พบกับ ผู้ใหญ่คนไทยอีก 4 คน ที่ไปติดอยู่ในถ้ำหลวงเพราะต้องการเข้าไปช่วยเด็กก่อนหน้านั้นด้วย






รายงานระบุว่า นายริค สแตนตัน และ นายจอห์น โวลันเธน ได้ไปร่วมงาน “ฮิดเดนเอิร์ธ” ซึ่งเป็นอีเวนท์เกี่ยวกับถ้ำ ในเขตซัมเมอร์เซต ประเทศอังกฤษ ในงานนั้น นักดำน้ำทั้ง 2 คน ได้เผยว่า ระหว่างภารกิจค้นหาทีมหมูป่า ในวันที่ 28 มิ.ย. พวกเขาได้พบกับ ผู้ใหญ่คนไทย 4 คน ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง เป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมง โดยทั้ง 4 คน อยู่ในสภาพสิ้นหวัง ระดับน้ำโคลนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ในตอนนั้น ทั้งนายสแตตัน และนายโวลันเธน มีอุปกรณ์ช่วยหายใจเพียงแค่ 2 ชุด ของตนเองเท่านั้น

กดำน้ำชาวอังกฤษทั้ง 2 คน จึงตัดสินใจย้อนกลับไปยังบริเวณถ้ำส่วนที่ยังแห้งอยู่ โดย 1 ใน 2 คน ถอดอุปกรณ์ดำน้ำของตนเองออกมา ให้อีกคนหนึ่งนไปช่วยคนไทยที่ติดอยู่ในถ้ำออกมาทีละคน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงที่นักดำน้ำที่รออยู่บริเวณที่แห้งและไม่มีอุปกรณ์ดำน้ำอาจจมน้ำเสียชีวิต
หากระดับน้ำในถ้ำเพิ่มสูงขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่อย่างไรก็ตาม นักดำน้ำทั้งสองสามารถช่วยชีวิต 4 คนไทยได้สำเร็จ แม้จะมีความผิดพลาดช่วงสั้นๆ เกี่ยวกับอุปกรณ์ช่วยหายใจก็ตาม แต่ในภายหลัง ความผิดพลาดนี้ ได้ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการช่วยเหลือ 13 หมูป่า ที่ไม่มีประสบการณ์ในการดำน้ำมาก่อน ด้วยเกรงว่าเด็กๆ อาจเกิดความตื่นกลัว

ทั้งนี้ เรื่องการช่วยเหลือ 4 คนไทย ออกมาจากถ้ำนี้ ไม่ได้รับการเปิดเผยต่อกองทัพสื่อมวลชนที่ปักหลักรอทำข่าวอยู่บริเวณหน้าถ้ำหลวงในตอนนั้น

นายเลส วิลเลียม ประธานสมาคมนักสำรวจถ้ำบริติช ระบุว่า “มันเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญของเรื่องราวทั้งหมด และมันน่าทึ่งอย่างยิ่งที่เรื่องนี้ไม่เคยได้รับการเปิดเผยแก่สื่อมวลชนมาก่อน”













ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1618453

25/9/61









ถือเป็นเรื่องเลื่องลือของวัดปรมัยยิกาวาสเมื่อเทวดาที่อยู่หลังพระประธานในพระอุโบสถวัดปรมัยยิกาวาสหนีออกไปเที่ยวนอกโบสถ์จนชาวบ้านหวาดผวาไปทั่วบ้างก็ว่าท่านจำแลงแปลงกายเป็นชายแก่นุ่งขาวห่มขาวกวาดขยะรอบลานโบสถ์





ในเวลาเช้ามืดบ้างเที่ยวเดินเล่นตามป่าช้าบ้างโกลาหลอลหม่านไปทั่วร้อนถึงหลวงพ่อละโว้ต้องทำการร่ายมนต์สะกดโดยการตอกตะปูที่ขาทั้งสองข้างสะกดไว้ไม่ให้ไปเที่ยวเล่นนอกโบสถ์อีก

แต่เพียงไม่นานก็เกิดเรื่องอีกเมื่อช่วงบรรพชาสามเณรฤดูร้อนด้วยความที่เณรมีจำนวนมากก็ต้องซุกซนกันเป็นธรรมดาแม้แต่ในช่วงทำวัตรเย็นก็ยังเอ็ดตะโรไม่เลิกจนท่านเทวดาคงนึกโกรธในความไม่สำรวมของเหล่าเณรน้อยท่านจึงเริ่มสำแดงเดชโดยการยักคิ้วหลิ่วตาให้เณรเหล่านั้นในบัดดลเหล่าเณรน้อยก็วิ่งเตลิดออกจากโบสถ์แทบไม่ทันและหลังจากนั้นพระเณรในวัดก็มักจะพบเห็นรูปปั้นเทวดาองค์นี้มักจะกระดุกกระดิกตัวอยู่ตลอดจนท่านพระครูต้องมาร่ายมนต์สะกดอีกคำรบหนึ่ง














ขอบพระคุณแหล่งที่มา: http://www.topicza.com

21/9/61









งงอีก ! การบ้านคณิตศาสตร์ ป.3 เริ่มเกริ่นถึงเรื่องกุ้ง แต่คำถามกลับถามถึงเงาะ โซเชียลถาม ต้องการสื่ออะไร

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2561 เฟซบุ๊ก ห้องดับจิต มีการโพสต์การบ้านวิชาคณิตศาสตร์ชั้น ป.3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งโจทย์คือการเกริ่นเรื่องการซื้อกุ้ง แต่คำถามกลับกลายเป็นถามถึงเงาะ

ด้านผู้ที่ได้อ่านเรื่องดังกล่าว ต่างแชร์ออกไปจำนวนมาก และงงว่า โจทย์ข้อนี้ต้องการสื่อถึงอะไร














ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://hilight.kapook.com/view/178026








ตัวตะเข็บนับหมื่นตัว บุกเข้าบ้าน เล่นเอาชาวบ้านผวา เนื่องจากกลัวได้รับอันตรายกับเด็ก จึงต้องขอความช่วยเหลือ

เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายได้รับแจ้งจากนายธนัช เมธาปัณณฑัต ว่าพบตัวตะเข็บเป็นจำนวนมากนับหมื่น อยู่บริเวณที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น หมู่ที่ 2 ตำบลหนองชาก อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี หวั่นกลัวว่าคนในบ้านจะได้รับอันตราย จึงได้เดินทางเข้าตรวจสอบ





เมื่อมาถึงตัวตะเข็บ ได้อยู่ทั่วไปหมด ได้ช่วยทำการใช้ไม้กวาด กวาดเอาไปทิ้ง และนำน้ำฉีด แต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากสอบถามนาย ธนัช เจ้าของร้านขายกาแฟ เป็นอย่างนี้มา 4 วัน แล้วที่ต้องเผชิญกับตัวตะเข็บที่บุกเข้ามาภายในบ้าน โดยตนเองก็ได้แต่ใช้ไม้กวาด เอาน้ำฉีด เพื่อไล่ตัวตะเข็บ แต่ก็ได้ผลเพียงระยะสั้นๆ

แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกเจ้าตัวตะเข็บ บุกเข้ามาและเยอะกว่าเดิม ตอนนี้ต้องประสบปัญหา ลูกค้าไม่กล้าเข้าร้าน ขณะเดียวกัน ผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ได้แจ้งไปยังผู้ดูแลโครงการ ก็ได้รับคำตอบ ว่าจะเร่งดำเนินการให้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการอย่างใด จำนวนของตะเข็บมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่มีการเก็บเงินสวัสดิ์การโครงการ จึงขอความเห็นใจมาแก้ไขโดยด่วน ก่อนที่จะมีเด็กเล็กได้รับอันตรายจากตะเข็บ













ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://news.mthai.com/general-news/673477.html









นักเรียน ม.2 น้อยใจพ่อแม่-มีปัญหาที่โรงเรียน โทรบอก 191 จะกระโดดสะพานลอย ตำรวจนั่งเกลี้ยกล่อมจนเปลี่ยนใจ

(20 ก.ย. 61) เมื่อเวลา 17.30 น. ร.ต.อ.ณัฐวุฒิ ณ เชียงใหม่ รองสารวัตรปราบปรามสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่า มีเด็กนักเรียนโทรศัพท์มาบอกว่าจะกระโดดสะพานลอยคนเดินข้าม ถนนสุขุมวิท ช่วงแยกเฉลิมไทย เขตเทศบาลเมืองชลบุรี ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จึงนำกำลังรุดไปที่เกิดเหตุ





พบ ด.ญ.สวย (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนดัง นั่งอยู่กลางสะพานท่ามกลางไทยมุงด้านล่างที่ทราบข่าว ทาง ร.ต.อ.ณัฐวุฒิ ณ เชียงใหม่ ได้เดินไปหาและนั่งลงข้างๆ พูดจาหว่านล้อมเกลี้ยกล่อมให้รู้สึกผิดชอบชั่วดี ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ด.ญ.สวย จึงยอมเดินลงจากสะพานและนำตัวไปพบครูประจำชั้น

ร.ต.อ.ณัฐวุฒิ เปิดเผยว่า จากการสอบถามเบื้องต้นทราบว่า ด.ญ.สวย มีโรคซึมเศร้าและเครียดเรื่องที่พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อย วันนี้ก็เพิ่งจะทะเลาะกับเพื่อนร่วมชั้น แถมถูกคุณครูดุเอาอีกจึงได้โทรศัพท์ไปที่ศูนย์วิทยุ 191 ว่าจะฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดสะพานลอย หลังจากคุยกันแล้ว ด.ญ.สวย ได้พูดว่าอยากอยู่กับครูที่ตนเองรักคือ ครูเพลง จึงได้นำตัวไปพบกับครูเพลง และได้ประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดชลบุรี ให้มาดูแลฟื้นฟูสภาพจิตใจให้เป็นปกติ เพื่อจะได้นำคืนสู่ครอบครัวต่อไป














ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7513510/

18/9/61








รู้หรือยัง!? ปิดทองพระ ช่วยเรียกโชคลาภเงินทอง ปิดตรงไหนมงคลอย่างไร ตำแหน่งไหนถึงดี

เวลาคุณไปทำบุญตามวัดต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีการกราบไหว้พระ พร้อมทั้งการปิดทองที่พระ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า เวลาคุณ ปิดทองพระ ส่วนไหน ช่วยเรียกโชคลาภเงินทอง ปิดตรงไหนมงคลอย่างไร ตำแหน่งไหนถึงดี ส่วนอานิสงส์ผลบุญที่ให้เห็นในชาตินี้ ชาวพุทธมีคติความเชื่อว่ามาตั้งแต่โบราณกาลมาถึงปัจจุบันคือ…

ปิดที่พระพักตร์ มีคติความเชื่อว่าทำให้หน้าที่การงานชีวิตเจริญรุ่งเรือง

ปิดบริเวณพระอุทร(ท้อง) มีคติความเชื่อว่าจะอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง






ปิดที่พระนาภี (สะดือ) มีคติความเชื่อว่า ตลอดทั้งชีวิตจะไม่รู้จักคำว่าอด สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สิน

ปิดที่พระเศียร (หัว) มีคติความเชื่อว่า จะทำให้สติปัญญาความจำเป็นเลิศ สามารถแก้ไขปัญญาอุปสรรคของชีวิตได้ตลอด

ปิดที่พระอุระ (หน้าอก) มีคติความเชื่อว่า ทำให้มีความสง่าราศีเป็นที่ถูกใจของคนทั่วๆ ไป

ปิดที่ระหัตถ์ (มือ) ทำให้เป็นคนที่มีอำนาจบารมี

ปิดที่พระบาท(เท้า) มีคติความเชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยที่พักอาศัยและยวดยานพาหนะ

การไหว้พระปิดทองนั้น เป็นคติธรรมมุ่งหมายถึงการได้บูรณะต่อองค์พระพุทธปฏิมา เพื่อผลแห่งอานิสงส์ที่จะให้ผลโดยทันที ผู้ที่เกิดเคราะห์กรรมหรือวิบากกรรม อุปสรรค ความมัวหมองในชะตาชีวิต นอกจากนี้แล้ว การปิดทองหลังพระนั้น มีคติความเชื่อว่าถ้าจะให้การปิดทองทั้งหมดสมบูรณ์ต้องปิดด้านหลังด้วย เช่น กรณีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ แม้การปิดทองบริเวณฐานรองขององค์พระทำให้หน้าที่การงานมั่นคงเจริญก้าวหน้า





คำอธิษฐานเวลาปิดทองพระ
เวลาที่ท่านๆ ไปทำบุญที่วัดวาอารามตามสถานที่ต่างๆ ตามวัดหรือสถานที่นั้นๆ ก็จะมีป้ายบทสวดมนต์ หรือคาถาขอพรติดไว้ให้เราได้ท่องตามกันอยู่แล้ว

แต่ถ้ามี การปิดทององค์พระพุทธรูป ซึ่งในขั้นตอนนี้ท่านๆ ทั้งหลายคงไม่เคยทราบว่าจริงๆ แล้วมีคำอธิษฐานสำหรับการปิดทองที่องค์พระพุทธรูปด้วย โดยคำอธิษฐานนี้สามารถท่องในขณะที่ท่านกำลังทำการปิดทองลงบนที่องค์พระพุทธรุปได้เลย ดังต่อไปนี้

“ด้วยอานิสงส์แห่งการปิดทองนี้ ขอให้ข้าพเจ้าเติมเต็มสิ่งดีๆที่ยังไม่เต็มอยู่ให้บริบูรณ์”

แต่ถ้าเกิดไปพบพระพุทธรูปที่มีคนปิดทองเต็มองค์ ชนิดแน่นแล้ว ก็ปิดทองลงไปทับทองของคนอื่นนั่นแหละ แล้วอธิษฐานว่า

“การใดที่เป็นสิ่งดีงาม ที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ก็ขอให้ข้าพเจ้าทำให้สมบูรณ์ยิ่งๆขึ้นไปอีกเถิด”

กล่าวแบบรวบยอด ถ้าขาด ก็ทำให้เต็ม ถ้าเต็มอยู่แล้ว อย่างน้อยรักษาไว้ หรือทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีก












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/13286










1. อภิชฌาวิสมโลภะ

เห็นใครโพสภาพบ้านหลังใหญ่ๆ รถหรูๆ อาหารดีๆ ภาพการพักผ่อนในโรงแรมสวยๆ ภาพชีวิตหรูหรา ก็เกิดความรู้สึกอยากได้เหมือนอย่างเขา เกิดความไม่พอใจชีวิตของตนเอง เกิดความโลภ เกิดความทุกข์ หดหูใจว่าทำไมหนอ ชีวิตคนอื่นจึงดีกว่าชีวิตของตนเอง นานวันเข้าก็พัฒนาไปสู่ความโลภ อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัว รู้สึกอยากจะโพส อยากจะอวดเหมือนอย่างเขาบ้าง

2. พยาบาท
เปิดเฟสส่องดู เห็นคนที่ตนเกลียดมีความสุข ก็คิดหมั่นไส้อยู่ในที แต่เมื่อเปิดดูแล้ว เห็นคนที่ตนเกลียดมีความทุกข์ หรือมีปัญหาก็รู้สึกยินดีพอใจ

3. โกธะ
ใครโพสสิ่งใดไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับความคิดของตัว ก็นึกโกรธ จับโยงความคิดผู้อื่นมาปะทะกับความคิดของตนเอง จนกลายเป็นความทุกข์ใจ





4. อุปนาหะ
เมื่อโกรธ เพราะคิดเห็นต่างกัน ก็ผูกใจเกลียนคนๆ นั้น โดยไร้เหตุผล
5. มักขะ
เห็นใครทำความดีก็นึกหมั่นไส้เขา เห็นคำสอนปราชญ์ คำสอนพระ คำสอนศาสดา คำสอนผู้รู้ใดๆ ที่ไม่เข้ากับความคิดของตน ก็นึกดูแคลน พยามใช้ความคิดของตนหักล้าง ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เขานำเสนอนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์

6. ปลาสะ
ไม่เคยชื่นชมใคร เห็นใครโพสอะไรก็ไม่พอใจไปหมด ฟาดงวงฟาดงาไปหมด เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด

7. อิสสา
จิตเกิดความอิจฉาจนทนไม่ได้ ต้องพิมพ์ ต้องแสดงออกด้วยการเสียดสีประชดประชัน โพส เม้น วิจารณ์ด้วยความไม่สุภาพ ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ใดๆ

8. มัจฉริยะ
เมื่อโพสสิ่งใดไปแล้ว หรือแสดงสิ่งใดไปแล้ว วันหนึ่งมีผู้อื่นนำความคิด หรือบทความของตนไปดัดแปลง ไม่ให้เครดิต ก็นึกเสียดาย เกิดความทุกข์ นึกหวงความรู้ของตนขึ้นมา ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าโลกโซเชียลนั้นเป็นโลกที่ควบคุมได้ยาก

9. มายา
ยึดติดอยู่กับโลกมายา ฝังตัวอยู่หน้าคอม ไปไหนมาไหน เปิดดูโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา ยึดติดกับยอดไลค์ ยอดเม้น ยอดแชร์ หลงอยู่ในมายาของโลกโซเชียล
ไม่สามารถหยุดติดต่อกับโลกโซเชียลได้นานๆ
พึ่งพาโลกโซเชียลสร้างความสุขแบบปลอมๆ ให้กับตนเอง

10. สาเถยยะ
โพสสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง สร้างภาพว่าตนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเองไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย นำไปสู่การยึดติดกับภาพลักษณ์ที่ตนสร้างขึ้น ต้องฉลาดอยู่ตลอดเวลา ต้องแสนดีอยู่ตลอดเวลา ต้องสวยต้องหล่ออยู่ตลอดเวลา ภาพลักษณ์ต้องดูดีอยู่ตลอดเวลา ที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็นำมาซึ่งความทุกข์ในชีวิตจริงของตนเอง





11. ถัมภะ
เมื่อมีใครแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง รีบโต้เถียงในทันที จ้องแต่จะเถียง โดยไม่ได้นำความคิดนั้นมาตรึกตรองจนเกิดปัญญา โพสระบายความในใจอย่างไร้เหตุผล ไหลไปตามอารมณ์ของตนเป็นใหญ่ บ่นตลอดเวลา ระบายอารมณ์อยู่ตลอดเวลา

12. สารัมภะ
คอยแต่จะเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น แข่งดีแข่งเด่นกับเขา เขามีคนกดไลค์กี่คนแล้ว เรามีกี่คนแล้ว เขามีเพื่อนกี่คนแล้ว มีคนเม้น คนแชร์กี่คนแล้ว ทำไมของเขามีเยอะ ทำไมของเราจึงมีเท่านี้ ตั้งหน้าตั้งตาเอาชนะกันในเรื่องไร้สาระ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ

13. มานะ
เมื่อมีคนกดไลค์มากๆ มีคนชื่นชมมากๆ ก็หลงว่าตนเก่ง ตนดีกว่าเขา ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกคนย่อมมีทั้งด้านดีและไม่ดี มีสิ่งที่เชี่ยวชาญและสิ่งที่โง่เขลา มีสิ่งที่พิเศษ และสิ่งที่ธรรมดา เมื่อหลงตนมากเข้า อัตตาตัวตนก็ขยายตัวใหญ่ขึ้น เกิดเป็นมานะทิฐิว่า ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ ข้าคือคนสำคัญ

14. อติมานะ
เมื่อคิดว่าตนดีกว่าใคร ก็เริ่มดูถูกผู้อื่น เริ่มพูด เริ่มเม้น เริ่มแสดงความคิดเห็นประชดประชันว่าตนดีกว่าเขา
15. มทะ
หลงยึดติดอยู่กับยอดไลค์ ยอดเม้น คำชื่นชมในโลกโซเชียล เปิดอ่านคำชมทั้งวัน ปล่อยให้ใจฟูไปกับคำชมทั้งวัน คุยแต่ว่าวันนี้มีใครมาชมบ้าง พัฒนาไปสู่ความมัวเมาต่อคำสรรเสริญเยินยอ

16. ปมาทะ
ใช้เวลาอยู่ในโลกโซเชียลนานเกินไป จนไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในชีวิตจริง ละเลยการงาน ครอบครัว สุขภาพ หมดเวลาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจอโทรศัพท์ ทำให้ชีวิตจริงตกต่ำลงเรื่อยๆ
ข้อคิด!!!
การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นมีประโยชน์ก็จริง แต่หากเราหลงอยู่กับมันมากเกินไป หรือยึดติดกับมันมากเกินไป สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็อาจกลับมาสร้างความทุกข์ให้เราได้ในภายหลัง

ทุกวันนี้มีคนจำนวนมากที่ตกเป็นทาสของโลกโซเชียล ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคนที่มีการศึกษา คนไร้การศึกษา
ทั้งคนเก่ง และคนไม่เก่ง ทั้งคนธรรมดาและคนดังต่างๆ ตราบที่เราไม่ได้ใช้มันอย่างมีสติ มันย่อมกลืนกินชีวิตของเราไปสู่โลกเสมือนจริงมากขึ้นเรื่อยๆ คนทุกวันนี้ไม่มองหน้ากันแล้ว เพราะเรามองหน้าจอกันตลอดเวลา ในหนึ่งปี เราแทบนับครั้งได้ว่ามองท้องฟ้ากี่ครั้ง แม่อยู่กับลูก นั่งมองจอ ลูกอยู่กับแม่ ก็นั่งมองจอ อ่านคำชมบนจอเสร็จ มานั่งเถียงกับคนครอบครัวต่อ ทุกวันนี้โลกเป็นอย่างนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว

ป.ล. กิเลสทั้ง 16 ข้อนี้

นำมาจากหลักธรรมอุปกิเลส 16 ของพระพุทธเจ้า แสดงให้เห็นว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาล เป็นสัจจะ เป็นของจริงที่นำมาสอนใจตน และสอดส่องความเป็นไปของสังคมได้ทุกยุคทุกสมัย
ในบทความนี้ แม้ไม่ได้ถอดมาเหมือนซะทีเดียว แต่นำมาดัดแปลงโดยให้ความหมายเดิมยังอยู่ และเสริมเนื้อหาให้เข้ากับสิ่งที่เห็นๆ กันอยู่ในโลกโซเชียล กิเลสทั้ง 16 ตัวนี้ เมื่อเกิดกับใครแล้ว พระพุทธเจ้าท่านเตือนไว้ว่า จะนำไปสู่ความขุ่นมัวในเบื้องต้น หากไม่พยายามสะสาง จะนำไปสู่ความชั่วช้าในรูปแบบอื่นๆ ถ้าเราไม่หลอกตัวเองจนเกินไปนัก เห็นได้ว่า ทุกวันนี้กิเลสทั้ง 16 ตัวนี้ ได้ยึดพื้นที่ทั้งหมดในโลกโซเชียลไปเรียบร้อยแล้ว!!!












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: พศินอินทรวงค์ / https://www.rugyim.com/8913

15/9/61










ตำรวจอินเดียจับกุม 2 โจรแสบ หลังย่องขโมยปิ่นโตทองคำฝังเพชร จากพิพิธภัณฑ์สมบัติอดีตกษัตริย์ เผยก่อนถูกจับได้ ใช้ชีวิตในโรงแรมหรู แถมกินข้าวจากปิ่นโตที่ขโมยมา

           เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2561 สำนักข่าวบีบีซี  รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจอินเดียจับกุมชายคนร้าย 2 คน หลังจากแอบขโมยทรัพย์สินมีค่าไปจากพิพิธภัณฑ์นีซาม ในเมืองไฮเดอราบาด รัฐอานธรประเทศ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย โดยสิ่งที่คนคนร้ายขโมยไปนั้น ประกอบไปด้วย ภาชนะทำจากทองคำและทับทิม น้ำหนักรวมกันประมาณ 3 กิโลกรัม โดยชิ้นที่สำคัญที่สุดคือ ปิ่นโตทองคำฝังเพชร ที่เป็นสมบัติส่วนพระองค์ของกษัตริย์ในอดีต






           เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และการระบุตัวตนคนร้ายเป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากกล้องวงจรปิดทั้ง 32 ตัว ถูกปิดขณะเกิดเหตุ แต่อย่างไรก็ตาม โชคดีที่กล้องวงจรปิดในพื้นที่ใกล้เคียงกับพระราชวังนีซาม สามารถบันทึกภาพผู้ต้องสงสัย 2 คน ขณะขี่รถจักรยานยนต์ออกไปจากบริเวณดังกล่าว

           หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ติดตามสืบจนพบรถจักรยานยนต์คันนี้ในที่สุด และมันก็นำไปสู่การระบุตัวตนคนร้ายแสบ ซึ่งภายในเมืองไฮเดอราบาด ได้มีการประกาศจับอย่างเข้มข้นมาก เพราะทรัพย์สินที่หายไป นอกจากจะมีราคาสูงแล้ว ยังมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อีกด้วย

           ชุดภาชนะล้ำค่าเหล่านี้เคยเป็นสมบัติของ เมียร์ โอลี ข่าน นีซาม หรือ เจ้าผู้ครองนครไฮเดอราบาด พระองค์สุดท้าย ผู้เคยได้รับสมญานามว่าเป็นบุคคลผู้มั่งคั่งที่สุดในโลก พระองค์สวรรคตในปี 2510 ขณะทรงมีพระชนมายุ 80 พรรษา พระราชวังเดิมของพระองค์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นพิธิภัณฑ์ ในปี 2543 โดยข้าวของเครื่องใช้ สมบัติต่าง ๆ ได้ถูกเก็บรักษาเอาไว้ และจัดแสดงที่นั่น รวมทั้งภาชนะทองคำที่สมาชิกราชวงศ์เคยใช้เสวยพระกระยาหาร และเพชรขนาดเท่าไข่มูลค่ามหาศาล






           สำหรับหัวขโมยทั้งสองนั้น หลังจากที่แอบกวาดทรัพย์สินมีค่าออกไปได้แล้ว พวกเขาก็เดินทางหลบหนีไปยังเมืองมุมไบ เมืองใหญ่ของรัฐมหาราษฏระ ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลทางตะวันตกของอินเดีย ห่างจากไฮเดอราบาดไปประมาณ 700 กิโลเมตร พวกเข้าพักที่โรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง และใช้ชีวิตกันอย่างหรูหราราวกับราชา รวมทั้งกินอาหารจากภาชนะทองคำที่ขโมยมาด้วย สองคู่หูโจรพยายามนำทรัพย์สินเหล่านี้ออกไปขาย แต่ไม่มีใครซื้อ จึงตัดสินใจย้อนกลับมาที่ไฮเดอราบาด และถูกจับกุมอย่างรวดเร็ว

           เจ้าหน้าที่สามารถยึดทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปได้ ซึ่งประกอบไปด้วย ชุดถ้วยชา ชุดจานชามและช้อน รวมทั้ง ปิ่นโตทองคำฝังเพชร ซึ่งเป็นชิ้นที่สำคัญที่สุด โดยทั้งหมดนี้มีมูลค่ารวมกันประมาณ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 227 ล้านบาท ทั้งนี้ทรัพย์สินทั้งหมด เมื่อได้รับการตรวจสอบ ก็จะถูกนำกลับคืนพิพิธภัณฑ์ตามเดิม












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://hilight.kapook.com/view/177829

14/9/61









เคยงงไหมว่า เวลาเราจุดธูป บูชาพระ บูชาเทพ ไหว้เจ้า บูชาโน่น นี่ นั่น กระทั่งไหว้สัมภเวสีธรรมดา ไหว้ศาลตายายยังสับสนไหมว่าเราต้องใช้ธูปกี่ดอกกัน เพื่อความเป็นมงคลให้กับชีวิต ไทยรัฐออนไลน์พาไปหาคำตอบมาให้...

ธูป 1 ดอก : เป็นเรื่องของการเน้นหรือเจาะจง ในเรื่องที่เกี่ยวกับผีบ้านผีเรือน วิญญาณภาคพื้น เช่น การจุดไหว้เจ้าที่ หรือผีบ้านผีเรือน






ธูป 2 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณ และการปักธูปบนอาหาร

ธูป 3 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ธูป 4 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธาตุ ใช้ในการสวดเสริมดวงชะตา

ธูป 5 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดา คุณมารดา และครูบาอาจารย์

ธูป 6 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธาตุกำลังไฟ (คนที่เกิดวันอาทิตย์) ใช้ในการสวดเสริมดวงชะตา





ธูป 7 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ (ศาลเจ้าพ่อ เจ้าแม่) ครูบาอาจารย์ที่เสียชีวิตแล้ว

ธูป 8 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องการเสริมดวง (คนที่เกิดวันอังคาร)

ธูป 9 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสักการบูชาเทพ เจ้าป่า เจ้าเขา หรือ รุกขเทวดาศาลพระภูมิ ศาลเทพ

ธูป 10 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธาตุ ใช้ในการเสริมดวงชะตา (คนที่เกิดวันเสาร์)

ธูป 11 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบูชาเทวดาชั้นสูง

ธูป 12 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบูชาพระราหู ใช้ในการสวดเสริมดวง (คนที่เกิดวันพุธกลางคืน)

ธูป 13 ดอก : ไม่นิยมจุด

ธูป 14 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบูชาคุณพระสงฆ์ เช่น การจุดบูชาสักการะรูปปั้นพระสงฆ์

ธูป 15 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับธาตุ ใช้ในการสวดเสริมดวงชะตา (คนที่เกิดวันจันทร์)

ธูป 16 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบูชาเทพชั้นสูง เช่น บูชาพรหม ฯลฯ (ใช้จุดกลางแจ้ง จุดธูปเทพเทวดา ทั้งสิบหกชั้นฟ้าด้วย)

ธูป 17 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับธาตุ ใช้ในการเสริมดวงชะตา (คนที่เกิดวันพุธ)

ธูป 18 ดอก : ไม่นิยมจุด

ธูป 19 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการจุดบูชาครู และใช้ในการเสริมดวงชะตา (คนที่เกิดวันพฤหัสบดี)

ธูป 20 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสวดเสริมดวงชะตา

ธูป 21 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบูชาพระแม่ธรณี (ใช้ในพิธีเบิกพระแม่ธรณี) และการสวดเสริมดวงชะตา (คนที่เกิดวันศุกร์)

ธูป 32 ดอก : ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ (การไหว้ 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 1 โลกมนุษย์)

ธูป 38 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบูชาพระธรรม

ธูป 39 ดอก : เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบูชาพระแม่โพสพ

ธูป 56 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคุณพระพุทธเจ้า

ธูป 108 ดอก : เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการประกอบพิธีกรรมสวดเสริมดวงชะตา และบูชาสิ่งสูงสุดทั่วโลกทุกชั้นฟ้า

ขณะที่รองศาสตราจารย์ ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการ นักโบราณคดีชื่อดัง กล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์สั้นๆ ว่าจำนวนของธูปนั้นเป็นตำนานความเชื่อเป็นประเพณีที่มีมานาน โดยส่วนใหญ่คนไทยจะนิยมจุดธูปเลขคี่ ส่วนคนจีนมักจะจุดเลขคู่ส่วนใหญ่

'คนไทยนิยมเลขคี่เพราะเลขคี่เพราะมีความเป็นมงคล จำนวนดอก 1 - 3 - 5 - 7 - 9 แต่จะจำนวนลดหลั่นตามสถานภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ ส่วน 108 ดอก ซึ่งน่าจะมากที่สุดมันเป็นมงคล เป็นเลขมงคลซึ่งเป็นตอนหลังที่มีการเพิ่มจำนวนขึ้นมา ซึ่งกี่ดอกๆ ก็ขึ้นอยู่กับตำนานท้องถิ่น เวลาคนจะสร้างอะไรก็ต้องสร้างตำนานขึ้นมาเพื่อสร้างให้เหตุผลว่าทำไมแค่นั้นเอง' นักประวัติศาสตร์ชื่อดังกล่าวสรุป

ขอบคุณข้อมูล หนังสือ คัมภีร์ พิธีกรรมแบบโบราณของไทย











ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.thairath.co.th/content/484664

12/9/61









หลังจากที่ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี ได้มรณภาพลงเมื่อวันเสาร์แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ ตอนเที่ยงคืนเช้าวันรุ่งขึ้น นายอาญาราช ศิษย์ก้นกุฏิ ของเจ้าประคุณสมเด็จ เข้าไปเก็บกวาดในกุฏิของท่าน ขณะทำความสะอาดกุฏิ นายอาญาราชได้พบเศษกระดาษชิ้นหนึ่งซุกอยู่ใต้เสื่อเป็นลายมือของเจ้าประคุณสมเด็จ เขียนสั้นๆ โดยสังเขป เป็นคำทำนายชะตาเมืองมีความว่า





" มหากาฬ พาลยักษ์ รักมิตร สนิทธรรม จำแขนขาด ราษฎร์โจร ชนร้องทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาววิไล "

เมื่อคำทำนายของสมเด็จ (โต) วัดระฆังทั้ง ๑๐ ยุค ตรงกับพุทธทำนายอย่างเหลือเชื่อ!! นำพาซึ่งการถอดรหัสคำทำนายของ "สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี)" พระอริยะสงฆ์ที่ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ ให้ความเคารพนับถือและศรัทธาเป็นอย่างสูง ซึ่งคำทำนายของท่านนั้นได้มีการนำมาตีความว่าเป็นการทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองล่วงหน้าใน ๑๐ ยุคของไทย

พระองค์ท่านทรงใช้หลักวิชาใดเป็นเครื่องพยากรณ์ก็คือ คำพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะบังเกิดขึ้น โดยแบ่งออกเป็นยุคๆ ทั้งหมด ๑๐ ยุค ให้เห็นว่าบ้านเมืองแต่ละยุคแต่ละสมัยจะเป็นอย่างไร โดยเชื่อกันว่านี่คือคำทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองที่แม่นยำ และสร้างความประหลาดใจให้แก่คนรุ่นหลังสืบมา สาระสำคัญของเหตุการณ์ต่างๆ ในแต่ละรัชสมัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ปรากฏเป็นบทพิสูจน์ของคำทำนายเป็นอย่างดี






คำทำนายของสมเด็จ พุทฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

ยุค ๑ มหากาฬ
ยุค ๒ พาลยักษ์
ยุค ๓ รักมิตร (รักบัณฑิต)
ยุค ๔ สนิทธรรม
ยุค ๕ จำแขนขาด
ยุค ๖ ราษฎรโจร
ยุค ๗ ชนร้องทุกข์
ยุค ๘ ยุคทมิฬ
ยุค ๙ ถิ่นกา (ตา) ขาว
ยุค ๑๐ ชาวศิวิไลซ์

ส่วนคำอธิบายขยายความคำทำนายที่ปรากฏในหนังสือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ซึ่งเป็นของ มหาอำมาตย์ตรี ทิพโกษา นั้นมีข้อความโดยย่อเฉพาะประเด็นที่เห็นว่าสอดคล้องกับชื่อของยุคดังนี้

๑. รัชกาลที่ ๑ ได้ทรงปราบดาภิเษก ในการนี้ได้สำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และมีพระบรมราชโองการปราบพวกไม่เห็นด้วย มีการสังหารล้างโคตรถึง ๘๒ ครอบครัว จึงเรียกยุคมหากาฬ

๒. ในปี พ.ศ. 2363 ได้เกิดโรคระบาดมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก รัชกาลที่ ๒ ได้ทรงรับสั่งให้ทำพิธียิงปืนใหญ่รอบกำแพงพระบรมมหาราชวัง และให้อัญเชิญพระแก้วมรกตเป็นการขับไล่ และปลอบขวัญพลเมือง ในที่สุดโรคร้ายสงบในทำนองเดียวกับการสวดภาณยักษ์ขับไล่ภูตผี

๓. มีการเริ่มต้นเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ อันได้แก่อังกฤษ และอเมริกา เป็นต้น

๔. สนับสนุนการเผยแพร่จริยธรรม ตลอดจนการพระศาสนาต่างๆ พระองค์เองก็ทรงฉลองพระองค์ชุดขาวถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ฟังธรรมทุกวันพระ

๕. เสียดินแดนให้แก่นักล่าอาณานิคมบางส่วนเพื่อแลกกับส่วนใหญ่ให้คงอยู่ ซึ่งเป็น "ยุคล่าอาณานิคม"

๖. มีการฟุ้งเฟ้อเลียนแบบตะวันตก เป็นยุคเริ่มต้นแห่งภัยพิบัติด้านเศรษฐกิจ ทำลายแผ่นดินทางอ้อม

๗. พลเมืองประสบกับภาวะข้าวยากหมากแพง ผู้คนอดอยากแร้นแค้น ด้วยสภาวะเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑

๘. มีการลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๘ ถึงแก่สวรรคต จัดเป็นยุคที่มีการแย่งชิงอำนาจ มีการปฏิวัติ รัฐประหาร

๙. มีชาวตะวันตกเข้ามามาก จึงน่าจะเป็นที่มาของคำว่า ถิ่นตาขาว การเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก "อะเมซิ่งไทยแลนด์"

๑๐. ประชาชนจะอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งเป็นยุคที่ยังมาไม่ถึง



ขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)











ขอบพระคุณแหล่งที่มา: http://www.partiharn.com/contents/10128

11/9/61








เป็นอีก 1 ข่าวการสูญเสียของวงการบันเทิง ที่สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับคนในวงการไม่น้อย กับการจากไปของอดีตพระเอกชื่อดัง โอ วรุฒ วรธรรม ที่ได้จากไปอย่างสงบ หลังจากที่เข้ารับการรักษาตัวตั้งแต่คืนวันที่ 9 ก.ย. 61 ที่ผ่านมา จนกระทั่งล่าสุดเสียชีวิตลงแล้ว

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์เลยได้รวบรวมประวัติของอดีตพระเอกผู้โด่งดังเพื่อเป็นการแสดงความอาลัยต่อ โอ วรุฒ เป็นครั้งสุดท้าย





โอ วรุฒ วรธรรม เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2512 เป็นนักแสดงชายชาวไทยที่มีชื่อเสียงในยุค 90 เป็นบุตรชายของนักแสดงอาวุโส แรม วรธรรม และเป็นหลานตา ร้อยโทหม่อมหลวงพร้อม กุญชร (พี่ชายพลโทหม่อมหลวงขาบ กุญชร)

โอจบการศึกษาจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนแล้วไปเรียนต่อที่อังกฤษ เพื่อเรียนด้านการบิน เข้าสู่วงการโดยการชักชวนของคุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ โดยเรื่องแรกที่แจ้งเกิดคือ ภาพยนตร์เรื่อง คู่กรรม ที่แสดงคู่กับจินตหรา สุขพัฒน์ ตามด้วยเขาชื่อกานต์, โก๊ะจ๋าป่านะโก๊ะ ฯลฯ ก่อนเข้าสู่จอแก้ว โดยเล่น ละครโทรทัศน์เรื่อง ละอองดาว, พี่เลี้ยง, ในฝัน และอีกมากมายหลายเรื่อง

นอกจากนี้ โอ วรุฒ ยังเป็นพิธีกรทางโทรทัศน์หลายรายการ อาทิ กรุสมบัติ, ลุ้นแล้วรวย, เกมนักชิม, สะบัดช่อ, ดาราพาตะลุย, โอโน่โชว์ เป็นต้น





ในอดีต โอ วรุฒ เคยได้รับฉายาว่า เจ้าชายสายเสมอ เนื่องจากกิตติศัพท์ที่รับรู้กันดีว่า พระเอกหนุ่มมักมาสายในงานแสดงหรืองานพิธีต่างๆ และเคยสร้างวีรกรรมแสบๆ กับพระเอกรุ่นเดียวกันอย่าง แซม ยุรนันท์ และ ฮันนี่ ภัสสร ด้วยการพังโรงแรมแห่งหนึ่งจนทางโรงแรมได้ปิดป้ายห้ามเข้าโรงแรม


ชีวิตครอบครัว โอ วรุฒ เคยแต่งงานกับ เก๋ เจษฏาวัลย์ จันทร์แตง ซึ่งทั้งคู่เคยพบรักกันเมื่อครั้งที่โอป่วย และทั้งคู่มีอายุห่างกันถึง 17 ปี แต่ทั้งคู่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และมีลูกชาย 1 คน ชื่อน้องแอร์บัส อาณาจักร วรธรรม ปัจจุบันโอได้แยกกันอยู่กับเก๋มานานหลายสิบปี และต่อมาโอก็ได้ออกมาเปิดเผยว่ามีลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาคนแรกอีกหนึ่งคนอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ ชื่อเอ้ก

หลังจากงานแสดงเริ่มน้อยลง เนื่องจากโอมีอาการติดสุราเรื้อรัง และต้องได้รับการบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้โอต้องอำลาวงการบันเทิงถาวร ซึ่งในช่วงที่พักงานไปบำบัดรักษาอาการติดสุรา โอ วรุฒ เผยว่าเคยป่วยอาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นโรคเบาหวาน และเคยมีอาการวูบมาแล้วหลายครั้งโดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าตนเองป่วยเป็นโรคดังกล่าว

และในช่วง 2558 โอ ได้เข้าพิธีบวชทดแทนคุณพ่อแม่ที่ จ.เชียงใหม่ แต่หลังจากสึกออกมา โอก็ได้รับโอกาสได้กลับมาเล่นละครรับเชิญบ้างทำให้มีรายได้เลี้ยงดูตัวเอง

ก่อนจะล้มป่วยโอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการลงทุนทำอาชีพเสริม ทำธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ชื่อ บ้านวรุฒ ที่บ้านของตัวเองเพื่อบริการลูกค้าด้วยตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับ คนสนิท และเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียง ที่แวะเวียนมาให้กำลังใจการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในวัย 47 ปี หลังเลิกดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาดมาครึ่งปีเนื่องจากมือจะสั่น อันเกิดจากโรคพิษสุราเรื้อรัง จากการติดเหล้านานกว่า 30 ปี

หลังจากกลับมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่บ้านเกิดกับคุณพ่อได้ไม่นาน โอ วรุฒ ก็เกิดอาการวูบจนต้องถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และแพทย์สามารถยื้อชีวิตกลับมาได้ แต่อาการโคม่า จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2561 โอ วรุฒ ได้จากไปอย่างสงบ รวมอายุ 49 ปี

ซึ่งการจากไปของอดีตพระเอกชื่อดังคนนี้ก็ได้สร้างความเศร้าเสียใจให้กับเพื่อนพี่น้องในวงการ รวมถึงแฟนละครของอดีตพระเอกคนนี้ ที่ก่อนหน้านี้ยังมีความหวังที่จะได้เห็นโอกลับมาเล่นละครให้ได้ดูอีกครั้งหนึ่ง













ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.thairath.co.th/content/1372941




การทำบุญ ให้ถูกหลักพระพุทธศาสนานั้นไม่ใช่เรื่องยากและทำแล้วยังได้บุญมหาศาลโดยผู้ที่จะทำบุญควรจะเน้นไปทำบุญตามวัดต่างจังหวัดเพราะพระสงฆ์ตามต่างจังหวัดนั้นจะขาดแคลนของอุปโภค บริโภคมากกว่าพระที่จำวัดในเมือง โดยผู้ที่ต้องการทำบุญควรจะนำของใช้จำเป็น 5 อย่างไปถวายท่าน ประกอบไปด้วย

1.ไฟฉายอย่างดี พร้อมถ่านสำรองเพราะช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงหน้าฝนท่านจะได้ใช้ไฟฉายสำรวจสภาพวัด สัตว์ร้าย เดินทางไกลหรือแม้กระทั่งภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
      
2.ผ้าอาบน้ำฝน รูปละสองผืน และต้องเป็นผ้าฝ้ายขนาดใหญ่ที่สามารถใช้สงฆ์น้ำได้ และเป็นผ้าเช็ดตัวได้ซึ่งปัจจุบันพระสงฆ์ส่วนใหญ่จะใช้ผ้าขนหนูแทนแต่ตามความจริงแล้วการใช้ผ้าขนหนูนั้นไม่ถุกพระวินัยของสงฆ์
      
3.เทียนบูชาพระ ขนาด 8 นิ้ว พร้อมไฟแช็คแทนการใช้เทียนพรรษาซึ่งมีขนาดใหญ่ เพื่อท่านจะใช้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์

4.ยาแก้แพ้อากาศอย่างดีพร้อมยาลดไข้ เพราะช่วงนี้พระสงฆ์จะเกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายเพราะเป็นช่วงหน้าฝน
      
5.อาหารแห้งและอาหารสำเร็จรูปเพราะหน้าฝนบางครั้งฝนตกหนักท่านอาจจะไปออกบิณฑบาตรไม่ได้ก็สามารถใช้ลูกศิษย์นำอาหารแห้งมาปรุงฉันได้ทันที












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: http://www.partiharn.com/contents/9971








เมื่อครั้งที่หลวง พ่อคูณจาริกธุดงค์ ครั้งหนึ่งท่านออกธุดงค์ไปฝั่งลาว โดยออกจากวัดถนนหักใหญ่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา มุ่งหน้าสู่จังหวัดหนองคาย โดยท่านได้ยึดเอาแนวชายดงชายเขาอันเปล่าเปลี่ยวเป็นเส้นทาง โคจร จะหยุดปักกลดบำเพ็ญสมณธรรม และถือเอาทำเลชัยภูมิซึ่งห่างไกลชุมชนหมู่บ้านพอสมควร

 ท่านเดินเท้าไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงจังหวัดหนองคาย จากนั้นก็อาศัยเรือข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นยังฝั่งลาว

พรรษาแรก...ในแผ่นดินลาว ท่านปวารณาจำพรรษาอยู่ที่ภูควาย โดยอาศัยถ้ำแห่งหนึ่งเป็นที่พักบำเพ็ญเพียรตลอดพรรษา โดยมีชาวบ้านป่าเชิงเขาอุปัฎฐากเรื่องอาหารขบฉัน

เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านจึง ลงจากภูควาย จาริกธุดงค์ต่อไปโดยมุ่งหน้าไปทางทุ่งไหหิน และได้หยุดยั้งปักกลดที่ทุ่งไหหิน





ตลอดอาณาบริเวณของทุ่งไหหินเป็นที่ราบกว้างไกลสุดสายตา คล้ายกับว่าเป็นทำเลที่ตั้งเมืองเก่าโบราณซึ่งได้ล่มสลายสูญหายไปหมดสิ้น ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่ซากปรักหักพัง

ทุ่งไหหินมีอดีตซับซ้อนทับถมกันอยู่จนยากจะแยกแยะออกมาได้ว่าเป็นยุคใดสมัยใด แต่ที่แน่นอนก็คือ ณ ที่แห่งนี้ เป็นที่สถิตย์ของดวงวิญญาณสัมภเวสีไม่มีที่จะไป นับไม่ถ้วน ได้แต่เร่ร่อนวนเวียนอยู่ด้วยบุรพกรรมของตัวเองอย่างน่าเวทนา ท่านทำได้ก็แต่เพียงสำรวมจิตเข้าสู่กุศลแล้วแผ่เมตตาออกไปไม่มีประมาณ เพื่อชี้ทางสู่สุคติแก่วิญญาณทรมานทั้งหลายเหล่านั้น






ท่านหยุดยั้งอยู่ที่ทุ่งไหหินเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพราะเห็นว่าไม่ค่อยสัปปายะสมควรแก่การบำเพ็ญสมณธรรม ประกอบกับมีผู้คนจำนวนน้อยนิดที่อยู่อาศัยในเขตชายทุ่งไหหินและยังไม่นับถือพุทธศาสนา แต่กลับเลื่อมใสบูชาลัทธิผีบรรพบุรุษ มีเจ้าป่าเจ้าเขา ท่านจึงออกธุดงค์รอนแรมต่อไปโดยบ่ายหน้าสู่ทิศที่ตั้งของนครเวียงจันทน์ ในพรรษานั้น หลวงพ่อคูณจำพรรษาอยู่ที่วัดหนึ่งในนครเวียงจันทน์

หลังออกพรรษาแล้ว… ท่านธุดงค์ไปเรื่อยๆ หากพบหมู่บ้านก็พอได้อาศัยโคจรบิณฑบาต หากไม่พบพานชุมชนคนอาศัยก็เท่ากับอดอาหารงดฉันไปโดยปริยาย

จากเวียงจันทน์ หลวงพ่อคูณจาริกไปจนถึงเมืองหลวงพระบางและจำพรรษาที่หลวงพระบางอีกหนึ่งพรรษา ครั้นออกพรรษาแล้วก็ออกธุดงค์จากทางเหนือล่องลงมาทางใต้ของประเทศ กระทั่งเข้าเขตเมืองผาเลนและสถานที่แห่งนี้ นี่เอง.

ห่างจาก เมืองผาเลนไปไม่ไกลนัก เมื่อท่านจาริกผ่านเชิงเขาขนาดย่อมก็พบถ้ำแห่งหนึ่งดูร่มรื่นสงัด เงียบเป็นที่น่าพอใจ ไม่ไกลจากถ้ำมีธารน้ำไหลใสสะอาด พออาศัยใช้เป็นน้ำสรง น้ำดื่มได้สะดวก และที่ตีนเขามีหมู่บ้านหลายหลังคาเรือน และชาวบ้านก็มีความเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อ ชาวบ้านเห็นท่านมาปักกลดบำเพ็ญธรรมอยู่ที่นี้ จึงพากันปีนเขาขึ้นมานมัสการถึงในถ้ำ แล้วนิมนต์ให้ท่านอยู่ที่ถ้ำนี้นานๆ เพื่อที่จะได้มีโอกาสทำบุญใส่บาตรสร้างกุศลกันบ้าง เพราะไม่มีพระสงฆ์ผ่านมานานแล้ว ท่านก็รับนิมนต์ ทำให้ชาวบ้านพากันปีติยินดีกันทั่วหน้า และกล่าวย้ำแก่ท่านว่าอย่าได้วิตกกังวลเรื่องภัตตาหาร พวกเขาจะเตรียมอาหารไว้ใส่บาตรทุกๆ เช้ามิให้ขาด

คืนนั้น…หลวงพ่อคูณเข้าไปอาศัยถ้ำใหญ่แห่งนั้นเป็นที่บำเพ็ญเพียรด้วยความ รู้สึกปลอดโปร่งเป็นที่น่าพอใจ มีกระแสลมไหลผ่านวนเวียนตลอดเวลา

ท่านเตรียมตัวออกบิณฑบาต แต่อากาศขณะนั้นยังขมุกขมัวมืดมัวไปทั่ว ภูมิอากาศบนภูเขาก็มีหมอกลงจัดทำให้มองออกไปไกลๆ ไม่ได้เลย ท่านสะพายบาตรออกจากบริเวณหน้าถ้ำเดินลงมาตามทางเล็กๆ ที่คดเคี้ยวและลาดชัน

จนมาถึงทางแยกลงทางที่ทอดลงไปยังหมู่บ้านเชิงเขา จึงตัดสินใจไปทางซ้าย เส้นทางสายนี้อ้อมภูเขาลาดลงไปไม่ชันนัก แต่ทางเดินออกจะรกเรื้อด้วยหญ้าและวัชพืชคลุมหน้าดินค่อนข้างหนา เดิน ตามทางไปสักครู่ฟ้าเริ่มสว่างและหมอกก็จางลง ท่านเพิ่งสังเกตว่าทางที่เดินผ่านไปนั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนไปบรรจบที่ราบกว้าง มีเงาตะคุ่มของกองอิฐเก่าๆ ซึ่งทะลายลงมาระเกะระกะ และมีซากกำแพงปรักหักพังเป็นส่วนๆ อยู่ในบริเวณนั้น

ท่านรู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่เห็นภูมิประเทศออกจะประหลาดอยู่ เพราะจำได้ว่าตอนที่เดินผ่านหมู่บ้านก่อนจะขึ้นภูเขามาถึงถ้ำไม่เคยเห็นกองอิฐกองหินหรือซากกำแพงแม้แต่น้อย แต่ทำไมเช้าวันนี้จึงได้มีสภาพแปลกตา หรือว่าท่านอาจจะมาผิดทาง เลยเดินเข้าหมู่บ้านด้านซึ่งไม่เคยผ่านมาก่อน

แล้วความคิดไม่แน่ใจก็เปลี่ยนไป เมื่อมองไปข้างหน้า เห็นชาวบ้านทั้งหญิงชายหลายคนยืนถือขันข้าวและถาดใส่อาหารรอใส่บาตรอย่างเงียบๆ อยู่ข้างทางเดิน

ท่านจึงเดินเข้าไปด้วยกริยาอันสำรวม สายตาทอดต่ำเพียงมองเลยไปแค่ 3 – 4 ก้าว ท่านรับข้าวและกับข้าวซึ่งห่อด้วยใบตองเป็นห่อเล็กๆ ไปจนสุดแถว แล้วท่านก็เดินกลับโดยอาการอันสงบเช่นเดิน ขณะที่เดินย้อนกลับขึ้นเขา ท่านยังมีข้อสงสัยอยู่อีกประการหนึ่งก็คือ ทำไมชาวบ้านที่นำอาหารมาใส่บาตรจึงเงียบเชียบเหลือเกิน

ตลอดเวลาที่ท่านเดินผ่าน ไม่มีใครสนทนาพูดคุยกันเลย ทุกคนที่ใส่บาตรแล้วหรือกำลังรอใส่บาตรต่างก็ยืนนิ่งทื่อๆ ไม่ขยับเขยื้อน หรือเดินไปเดินมาตามประสาคนทั่วไป ไม่มีการทักทายหรือพูดคุยซึ่งกันและกัน ซึ่งผิดวิสัยธรรมชาติของสังคมคนหมู่มาก ทำให้บรรยากาศดูสงัดวังเวงบอกไม่ถูก

ท่านครุ่นคิดเพียงครู่ ก็เลิกใส่ใจ เห็นว่าไร้สาระที่จะนำมาเป็นกังวล จึงเดินมาตามเส้นทางเดิมซึ่งทอดอ้อมเขาขึ้นมาจนถึงถ้ำ

หลังจากท่านฉันเสร็จเรียบร้อย จึงนำเศษอาหารที่เหลือจากฉัน นำมากองไว้บนก้อนหินเพื่อให้ทานแก่สัตว์ ตัวเล็กๆ อีกต่อหนึ่ง และนำบาตรไปชำระล้างที่ลำธาร เสร็จแล้วจึงนำบาตรกลับมาผึ่งแดดที่หน้าถ้ำ จากนั้นจึงเข้าที่ปฏิบัติทางจิต นั่งสมาธิสลับกับการเดินจงกรม กระทั่งครบกำหนดเวลาในตอนเย็นจึงไปสรงน้ำที่ลำธาร

คราวนี้ท่านรู้สึกแปลกใจที่เห็นเศษข้าวเศษอาหารซึ่งท่านวางกองไว้บนก้อนหินมิได้ พร่องไปเลย แสดงว่าไม่มีสัตว์เล็กๆ เข้ามากินแม้แต่ตัวเดียว นับว่าแปลกเอาการ เพราะตลอดระยะเวลาที่ท่านเดินธุดงค์ หากมีเศษอาหารเหลือจากฉันแล้ว ท่านวางกองทิ้งไว้ สัตว์เล็กๆ จะเข้ามากินจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือทุกครั้งแต่สำหรับครั้งนี้ แม้แต่มดตัวเล็กๆ ก็ยังไม่มาตอมเสียด้วยซ้ำ

เช้าวันต่อมา......ก่อน ออกบิณฑบาต

ท่านแวะไปดูกองเศษข้าวและเศษอาหารเพราะกลัวจะบูดเน่า ปรากฎว่าหายไปหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือเศษเล็กเศษน้อยตกค้างเอาไว้เลย เมื่อเข้าไปพิจารณาดูใกล้ๆ ยิ่งน่าแปลกหนักเข้าไปอีก เพราะถ้าหากมีสัตว์มากินเศษอาหารจะต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ แต่เท่าที่เห็นบนก้อนหินเกลี้ยงเกลาประหนึ่งไม่เคยวางเศษอาหารใดๆ เอาไว้เลย ดุจ….เศษอาหารทั้งหมดหายวับไปเฉยๆ

ชาวบ้านตีนเขาหลายคนได้ขึ้นมาหาหลวงพ่อถึงที่ถ้ำด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ท่านมาอยู่ ไม่เคยลงไปบิณฑบาตที่หมู่บ้านเลยทั้งๆ ที่รับนิมนต์ชาวบ้านไว้แล้ว

หลวงพ่อคูณบอกว่าได้ลงเขาไปบิณฑบาตทุกเช้าไม่ได้เว้นแม้แต่วันเดียว ทำไมชาวบ้านจึงหาว่าท่านไม่ไปบิณฑบาตล่ะ ???

ชาว บ้านก็พากันสงสัย เพราะทั่วทั้งหมูบ้านไม่มีใครเห็นหลวงพ่อ อีกทั้งข้าวปลาอาหารซึ่งทำเตรียมไว้เพื่อใส่บาตรก็ค้างเก้อทุกวัน จะว่าท่านไปบิณฑบาตหมู่บ้านอื่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะตลอดละแวกนี้ไม่มีหมู่บ้านอื่นใดอีกมีแต่ป่าเขาและดงไม้ไปตลอด ชาว บ้านจึงสอบถามว่าท่านลงจากเขาไปทางทิศไหน หลวงพ่ออธิบายว่าออกจากถ้ำแล้วก็ไปตามทางเดินลงเขา พอถึงทางแยกก็เลี้ยวซ้ายเป็นทางอ้อมภูเขาไป

พอชาว บ้านได้ยินดังนั้น พวกเขาก็พูดแทบจะพร้อมๆ กันว่า “หลวงพ่อไปบิณฑบาตกับผีเสียแล้ว”

แล้วจึงอธิบายว่าเส้นทางที่จะลงจากเขาเข้าหมู่บ้าน ต้องแยก เข้าทางเดินขวามือ แต่ทางที่ท่านเดินไปนั้น คือทางไปเมืองร้างมาแต่โบราณกาล ไม่มีผู้คนอยู่อาศัยแม้แต่คนเดียว ชาวบ้านตีนเขายังไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปในเขตเมืองร้างแห่งนั้น เพราะเคยมีคนไปเจอภูตผีปิศาจน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่เมืองร้างมาแล้ว

หลวงพ่อคูณรับฟังเรื่องซึ่งท่านไม่เคยคาดคิดมาก่อน เมื่อชาวบ้านเล่าจบท่านก็ได้แต่หัวเราะหึๆ บอกแก่ทุกคนว่า

“เป็นบุญของผีเมืองร้างที่ได้ใส่บาตรพระ ซ้ำยังช่วยต่อชีวิตพระไปได้อีกหลายมื้อ จะว่าไปแล้วข้าวปลาอาหารของผีนี่มันก็แซ่บหลายอยู่……”

เช้าวันรุ่งขึ้น… เมื่อท่านออกบิณฑบาต เดินลงจากเขามาถึงทางแยก ท่านตัดสินใจเดินไปทางซ้าย และเมื่อเข้าสู่เขตเมืองร้าง คราวนี้ไม่มีใครมารอคอยใส่บาตรเช่นทุกเช้าที่ผ่านมา ที่เห็นอยู่เบื้องหน้าท่ามกลางสายหมอก คือซากปรักหักพังของเมืองโบราณซึ่งล่มสลายไปหมดสิ้น ความรุ่งเรืองของศิลปวัตถุทั้งหลายเหลือเพียงแต่เศษอิฐหินที่รอคอยการผุพังไปตามกาลเวลา ท่านจึงสงบจิตจนแนบสนิทอยู่กับกุศลที่ได้สั่งสมมา แล้วแผ่เมตตาออกไปยังวิญญาณทั้งหลายที่ยังวนเวียนอยู่ในอาณาบริเวณเมืองร้าง แห่งนี้ เพื่อให้พวกเขาได้พบกับทางไปสู่สุคติทีดีกว่า……….

จาก นั้น…ท่านจึงเดินกลับย้อนไปตามทางเดิม เมื่อถึงทางแยกท่านก็เลี้ยวไปตามทางลงเขาที่มุ่งไปสู่หมู่บ้านเชิงเขา ซึ่งชาวบ้านกำลังเตรียมอาหารรอคอยใส่บาตรท่านอยู่

และเรื่องที่เล่ามา คือประสบการณ์เผชิญวิญญาณบนเส้นทางธุดงค์ครั้งหนึ่งของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ หรือท่านเจ้าคุณพระญาณวิทยาเถระ แห่งวัดบ้านไร่ อำเภอด่านขุดทด จังหวัดนครราชสีมา……



ขอบคุณที่มา : บอร์ดพลังจิต















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: http://www.partiharn.com/contents/9950

10/9/61









วิธีตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างสูงสุด ชำระหนี้อันศักดิ์สิทธิ์อย่างสมน้ำสมเนื้อ

การใช้หนี้บิดามารดามีสองระดับคือ ระดับพื้นฐาน ได้แก่การทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด คือ เมื่อท่านเลี้ยงเรามาแล้วก็ต้องเลี้ยงดูท่านตอบ ช่วยทำการงานของท่าน ดำรงวงศ์สกุล ประพฤติให้อยู่ในศีลธรรมเหมาะสมแก่การสืบทอดในมรดก และเมื่อท่านได้ล่วงลับไปแล้วก็ต้องทำบุญอุทิศบุญให้แก่ท่าน

แต่การคิดเลี้ยงดูให้พ่อแม่สุขทั้งกายสบายทั้งใจนับเป็นการใช้หนี้แค่ “ครึ่งเดียว” หากจะตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อนั้นในระดับสูงสุดต้องมีโอกาสด้วย โอกาสที่ว่านั้นคือให้โอกาสพ่อและแม่ที่ยังไม่มีที่พึ่งให้ตนเองได้มีที่พึ่งในทางจิตใจ






ที่พึ่งในทางจิตใจได้แก่ความรู้ความศรัทธาในเรื่องกรรมและการให้ผลกรรม หากท่านยังไม่มีความตั้งมั่นในทาน ยังไม่มีความตั้งมั่นในศีล แล้วผู้เป็นลูกสามารถโน้มน้าว ชักชวนให้พวกท่านมาศรัทธากรรมได้ ฝึกให้ทาน จนรู้สึกว่าหากไม่ให้แล้วเหมือนขาดอะไรไปในชีวิต ฝึกถือศีลจนประพฤติผิดแล้วรู้สึกผิดรุนแรง นั่นแหละจึงได้ชื่อว่าเราได้ตอบแทนคุณท่านอย่างสมน้ำสมเนื้อ

ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะกรรมดี คือ “ที่พึ่งที่แท้จริง” เมื่อเราสามารถทำให้พ่อแม่ได้ศรัทธากฎแห่งกรรมวิบาก ตั้งมั่นในทาน ตั้งมั่นในศีล ก็เท่ากับเราได้ตอบแทนเลือดเนื้อก้อนนี้เป็นอัตภาพดีๆในการสร้างกรรมครั้งต่อๆไปของพ่อแม่นั่นเอง

ในครั้งพุทธกาล มีพระสาวกรูปหนึ่งที่พระพุทธเจ้ายกย่องว่าเป็นผู้ที่มีความกตัญญูและหาวิธีใช้หนี้บุญคุณบิดามารดาได้ประเสริฐที่สุดนั่นก็คือ พระสารีบุตร ท่านสารีบุตรนั้นเป็นพระอรหันต์ผู้เลิศด้วยปัญญารองจากพระพุทธเจ้า สั่งสอนอบรมให้ผู้คนกลายเป็นพระอรหันต์มาแล้วนับไม่ถ้วน แต่มีอยู่คนๆ หนึ่งที่ท่านยังไม่ได้สอนให้ หากไม่ได้สอนคนๆ นี้ให้เข้าถึงธรรมท่านก็จะยังนิพพานไม่ได้ คนๆ นั้นก็คือ โยมแม่นั่นเอง





วันหนึ่งก่อนที่ท่านจะนิพพานก็ได้กราบทูลลาพระพุทธองค์เพื่อกลับบ้านเกิด เมื่อได้รับพุทธานุญาตแล้วจึงออกเดินทางด้วยร่างกายที่ถูกรุมเร้าด้วยพิษไข้และบากบั่นมาพบหน้ากับโยมแม่ได้ คืนนั้นพระสารีบุตรได้แสดงธรรมสั้นๆ บทหนึ่งให้โยมแม่ได้ฟังจนพระนางได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน เมื่อท่านได้ชำระหนี้อันศักดิ์สิทธิ์นี้แล้ว รุ่งเช้าก็ได้เข้านิพพานอย่างสงบ

ธรรมชาติพิเศษของการใช้หนี้บุญคุณมีอยู่ประการหนึ่ง คือยิ่งหนี้สูงแล้วเราได้ใช้คืนพ่อแม่อย่างสมน้ำสมเนื้อ เราจะได้คะแนนบวกมหาศาล น้ำหนักของกรรมดีที่เราได้ทำกับพ่อแม่จะให้ผลชัดเป็นความไม่ตกต่ำ แม้ชาติปัจจุบันถูกกรรมเก่าร้ายๆ เล่นงานก็จะได้รับความช่วยเหลือ ผ่อนหนักให้เป็นเบาตามสมควร

เรื่องน่าเศร้าคือกรรมบางอย่างอาจจะปิดบังไม่ให้เราเองเห็นช่วงเวลาที่แม่ได้รับความลำบากตั้งท้องเรามา ท่านไม่เคยเปิดเผยให้เห็นช่วงนาทีวิกฤตที่ต้องทุกข์สาหัสกับการเบ่งคลอดเราออกมา กับทั้งไม่ให้เราได้รับรู้ว่าพ่อแม่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงเรามาอย่างไร

ด้วยเหตุนี้ จึงมักทำให้ชีวิตของมนุษย์ทุกคนจึงมองเห็นแค่บุญคุณของคนภายนอกก่อน อย่างครูบาอาจารย์ บุญคุณของญาติ บุญคุณของเพื่อน และบุญคุณของใครต่อใครอื่นๆ ในโลกที่ทุ่มเทเวลาช่วยเหลือเรา และเราก็เผลออาจตัดสินว่าน้ำหนักของบุญคุณคงจะพอๆ กันกับที่พ่อแม่ช่วยเหลือเรามา

และที่สำคัญหากเราไม่ได้ตอบแทนพ่อแม่เลย ลูกของเราเองนั้นแลจะเป็นผู้ทำหน้าที่ทวงคืนแทน คือกรรมของเราเองจะไปดึงดูดเอาโอปปาติกะพวกที่จะมาเป็นลูกล้างลูกผลาญ และไม่สำนึกบุญคุณมาเกิดเป็นลูก และหากเรายังไม่มีลูกก็จะต้องทบหนี้ไปถึงชาติถัดไป

ในทางกลับกัน หากเรามีลูกอยู่แล้วไม่รับผิดชอบดูแลลูกเมียให้ดี มันอาจหมายถึงการเลื่อนเวลาชดใช้หนี้เก่าก็ได้ ต้องแยกให้ออกว่าลูกอาจติดหนี้ชีวิตเราก็จริง แต่เราเองก็อาจเคยติดหนี้เขาไว้ก่อนหากเขามาทวงหนี้คืนแล้วไม่ใช้ ชาติต่อไปเราก็มีสิทธิ์สูงที่จะไปเกิดกับพ่อแม่ที่ขาดความรับผิดชอบ เลี้ยงดูแบบทิ้งๆขว้างๆ หรือฝากคนอื่นเลี้ยงจนคุณว้าเหว่และมีปัญหาตั้งแต่เล็ก

***ความปาฏิหาริย์แห่งบุญ ที่จะช่วยให้ทุกชีวิตได้ดี สุข รวย

















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget