ประธานาธิบดี โฌเวเนล โมอิส แห่งประเทศเฮติ
ถูกกลุ่มมือปืนบุกสังหารถึงที่บ้านพักภายในทำเนียบประธานาธิบดี
ในกรุงปอร์โตแปรงซ์ ขณะที่ภริยาถูกยิงได้รับบาดเจ็บ
นายโมอิสใช้เวลาตลอดปีที่ผ่านมา ทำสงครามการเมืองกับกลุ่มฝ่ายค้าน
เรื่องวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา ซึ่งฝ่ายค้านยืนยันว่าครบแล้ว
แต่โมอิสอ้างว่าเหลืออีก 1 ปี
การเสียชีวิตของนายโมอิส เกิดขึ้นในขณะที่เฮติเผชิญเหตุความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง
และยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ใครจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อ เพราะตัวเลือกลำดับ 1 นั้น
เสียชีวิตเพราะโควิด-19 ไปแล้ว
โฌเวเนล โมอิส ประธานาธิบดีแห่งประเทศเฮติ
ถูกกลุ่มมือปืนบุกสังหารถึงในทำเนียบประธานาธิบดี ในเมืองหลวงกรุงปอร์โตแปรงซ์
เมื่อช่วงเช้ามืดวันพุธที่ 7 ก.ค. 2564
โดยที่ภริยาของเขาถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส
นายโมอิส เป็นผู้นำเฮติ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศยากจนที่สุดในโลกมาตั้งแต่ปี 2560
และต้องเผชิญการประท้วงเป็นวงกว้างหลายครั้ง
ของประชาชนที่ต้องการให้เขาลาออกจากตำแหน่ง ด้วยข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน
ซึ่งกลุ่มฝ่ายค้านระบุว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้ความรุนแรงในประเทศพุ่งสูงขึ้น
ความเป็นอยู่ของประชาชนย่ำแย่ลง
นอกจากนั้น ในช่วงปีที่ผ่านมา
ยังเกิดข้อพิพาทเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโมอิส ซึ่งควรจะครบ 5
ปีไปแล้วหากนับตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่นายโมอิสยืนกรานว่า เขายังเหลือวาระอีก 1
ปี จนเกิดการประท้วงขับไล่เขาอีกระลอกตั้งแต่ต้นปี 2564
อย่างไรก็ตาม
การเสียชีวิตของนายโมอิสทำให้การปกครองของเฮติตกสู่ความไม่แน่นอนอีกครั้ง
เนื่องจากยังไม่แน่ชัดว่า
ใครจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจแทนเขาจนกว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป
เพราะตัวเลือกลำดับ 1 นั้น เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 ไปแล้ว
นาย โคล้ด โจเซฟ นายกรัฐมนตรีรักษาการแห่งเฮติ ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า
ประธานาธิบดี โฌเวเนล โมอิส วัย 53 ปี ถูกบุกสังหาร
โดยการโจมตีเกิดขึ้นที่ทำเนียบประธานาธิบดี เมื่อเวลาประมาณ 1:00 น. วันที่ 7
ก.ค. 2564 ฝีมือของ “กลุ่มติดอาวุธหนักที่ได้รับการฝึกฝนในระดับสูง”
นายโจเซฟไม่ได้ระบุว่า คนร้ายเป็นใคร แต่สื่อสหรัฐฯ อย่าง ไมอามี เฮอรัลด์
เผยแพร่คลิปวิดีโอซึ่งพวกเขาอ้างว่าถ่ายในที่เกิดเหตุ
มีเสียงหนึ่งในมือปืนประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน
อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ (DEA)
ด้านนายบอคคิต เอ็ดมอนด์ เอกอัครราชทูตเฮติประจำสหรัฐฯ บอกว่า
เขาได้ดูคลิปวิดีโอดังกล่าวแล้ว และเชื่อว่า คนกลุ่มนี้แสร้งทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่
DEA แต่แท้จริงแล้ว พวกเขาเป็นทหารรับจ้าง เป็น “นักฆ่าที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี”
ก่อนที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ จะออกมายืนยันเช่นกันว่า
คนกลุ่มนี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ DEA
อย่างไรก็ดี การสังหารนายโมอิส ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องประกาศ “สถานการณ์ปิดล้อม”
(state of siege) ซึ่งเป็นขั้นที่ 2 จาก 3 ระดับในระบบภาวะฉุกเฉินของเฮติ
หมายถึงให้ปิดพรมแดนทั้งหมด รวมทั้งประกาศใช้กฎอัยการศึกชั่วคราว
มอบอำนาจให้ทหารและตำรวจแห่งชาติ บังคบใช้กฎหมายได้
ส่วนนางมาร์ติน โมอิส ภริยาของนายโมอิส ได้รับบาดเจ็บในการโจมตีครั้งนี้ด้วย
โดยนายเอ็ดมอนด์ เผยว่า สุภาพสตรีหมายเลข 1 มีอาการวิกฤติแต่ทรงตัว
และเธอจะถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่สหรัฐฯ
โดนประท้วงขับไล่ตั้งแต่ปี 2562
เมื่อปี 2562 มีรายงานของศาลถูกเผยแพร่ออกมา
กล่าวหาเจ้าหน้าที่และอดีตรัฐมนตรีหลายคน
ว่ายักยอกเงินทุนเพื่อการพัฒนามูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ที่กู้มาจากเวเนซุเอลานับตั้งแต่ปี 2554
ทำให้โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต้องหยุดชะงัก
เอกสารยังกล่าวหานายโมอิสว่ามีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติหลายอย่าง
การเปิดเผยเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจไปทั่วประเทศ
กลุ่มฝ่ายค้านเรียกร้องให้ประชาชนออกมาประท้วง
ซึ่งมีผู้ชุมนุมหลายพันคนออกมารวมตัวกันต่อต้านรัฐบาลอย่างรุนแรงในกรุงปอร์โตแปรงซ์
เพื่อทวงถามว่า เงินที่ควรถูกนำมาช่วยประเทศนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน
และเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโมอิสลาออกจากตำแหน่ง
แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม
ด้านกลุ่มฝ่ายค้านซึ่งประกอบด้วยพรรคการเมือง, กลุ่มศาสนา, กลุ่มประชาสังคม,
สมาชิกฝ่ายตุลาการและองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวหารัฐบาลของนายโมอิสว่า
มีปัญหาเรื่องการทุจริตและการไร้ความรับผิดชอบเรื้อรัง
ซึ่งส่งผลให้การก่ออาชญากรรมแบบเป็นกลุ่มแก๊งและการลักพาตัวเพิ่มสูงขึ้น
สวนทางกับมาตรฐานการใช้ชีวิตของประชาชนในชาติที่ตกต่ำลง
นายโมอิสยังถูกโจมตีว่าไร้ความรับผิดชอบที่เลื่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติจากเดือนตุลาคม
2562 เป็นเดือนเดียวกันปี 2564 ซึ่งทำให้จนถึงทุกวันนี้ เฮติไม่มีรัฐสภา
และนายโมอิสออกกฎหมายโดยใช้อำนาจกฤษฎีกาเพียงอย่างเดียว
ครองตำแหน่งอย่างไม่ชอบธรรม
นายโมอิสยังใช้เวลาตลอดปีที่ผ่านมา ทำสงครามการเมืองกับกลุ่มฝ่ายค้าน
เรื่องความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา
ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดการประท้วงรอบใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564
จนเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจ มีผู้ได้รับบาดเจ็บไปหลายราย
กลุ่มฝายค้านยืนยันว่า วาระ 5 ปี ของนายโมอิสควรสิ้นสุดในวันที่ 7 ก.พ. 2564
เพราะตามรัฐธรรมนูญ
วาระการดำรงตำแหน่งจะเริ่มขึ้นเมื่อทราบผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
แต่นายโมอิสอ้างว่า วาระของเขาควรสิ้นสุดลงในปี 2565
เนื่องจากข้อกล่าวหาเรื่องการโกงเลือกตั้งปี 2558
ทำให้การสาบานตนรับตำแหน่งของเขาถูกเลื่อนออกไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2560
นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้ว นายโมอิสยังวางแผนจะจัดการลงคะแนนเสียงประชามติ
เพื่อยกเครื่องรัฐธรรมนูญของประเทศ โดยอ้างว่า จำเป็นต้องทำให้ทันสมัย
แต่กลุ่มฝ่ายค้านกังวลว่า
เขาจะแก้กฎหมายส่วนที่ห้ามประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 สมัย
ซึ่งจะทำให้เขาสามารถลงเลือกตั้งได้อีกครั้งในเดือนกันยายน
ใครจะสืบทอดอำนาจ
นาย ฌอง วิลแนร์ มอแรง ประธานสมาคมผู้พิพากษาแห่งชาติของเฮติ
ยอมรับกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า
ใครจะเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีแทนนายโมอิส
กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีความชัดเจน
ตามปกติแล้ว ตัวเลือกลำดับ 1 ที่ได้เป็นประธานาธิบดีต่อ
ในกรณีที่ผู้นำประเทศไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้คือ ประธานศาลฎีกา
ซึ่งคนล่าสุดคือ เรเน ซิลเวสเตอร์
แต่เขาเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้เนื่องจากติดเชื้อไวรัสโควิด-19
และพิธีศพก็กำลังจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 7 ก.ค.
หรือถ้ารักษาการนายกรัฐมนตรี โคล้ด โจเซฟ
ต้องการขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ
เขาต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน แต่ทำไม่ได้ เพราะตอนนี้
เฮติไม่มีสภานิติบัญญัติ
นายมอแรงบอกอีกว่า ในปี 2558
เคยมีกรณีที่ประธานรัฐสภาแห่งชาติมารับตำแหน่งผู้นำเพื่อปิดช่องว่าง
แต่ปัจจุบันกลับไม่มีผู้ที่ดำรงตำแหน่งนั้น อย่างไรก็ตาม
เฮติยังเหลือสมาชิกวุฒิสภาอีก 1 ใน 3 ที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ซึ่งนายโจเซฟ
แลมเบิร์ต ผู้นำวุฒิสมาชิก อาจกลายเป็นตัวเลือกลำดับถัดไปก็เป็นได้
วิกฤติเลวร้ายลง
การเสียชีวิตของนายโมอิสเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงในประเทศที่ยังคุกรุ่น
โดยเฉพาะในกรุงปอร์โตแปรงซ์ กลุ่มแก๊งคู่อริต่อสู้กันเองหรือปะทะกับตำรวจ
เพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าถิ่นตามพื้นที่ต่างๆ ขณะที่การระบาดของไวรัสโควิด-19
ในเฮติก็เลวร้ายลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยพวกเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก
ที่ยังไม่เริ่มฉีดวัคซีนต้านไวรัสให้แก่ประชาชนเลย
ในเวลาเดียวกัน เฮติก็กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก
โดยเศรษฐกิจของประเทศหดตัวตั้งแต่ก่อนการมาของโควิด-19 แล้ว และถดถอยขึ้นอีก 3.8%
ในปี 2563
ขณะที่ประชากรเฮติที่อยู่ในเกณฑ์ยากจนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 60%
ด้านองค์กรยูนิเซฟเตือนในเดือนพฤษภาคมว่า
จำนวนเด็กที่เป็นโรคขาดสารอาหารรุนแรงในประเทศแถบแคริบเบียนแห่งนี้
จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าภายในปีนี้
เพราะปัญหาความรุนแรงและประชาชนเข้าไม่ถึงบริการที่จำเป็น
ขอบคุณแหล่งที่มา: thairath.co.th