29/11/61









รุกข มรดก องค์ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ที่เป็นมากกว่าเรื่องราวของธรรมชาติ แต่ยังสะท้อนความผูกพันของคนกับธรรมชาติ เชื่อมโยงวัฒนธรรมไทย ความเชื่อ ความศรัทธาของแต่ละท้องถิ่น ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทย ตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน

เพื่อสืบสานคุณค่าของ มรดกแผ่นดิน กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้ดำเนินการคัดเลือกต้นไม้ตามโครงการดังกล่าว โดยได้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิร่วมพิจารณาคัดเลือกต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่และมีอายุยาวนาน หรือมีคุณสมบัติในข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

๑. มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีความสำคัญต่อชุมชน หรือมีตำนานเรื่องเล่าประกอบ

๒. อยู่ในพื้นที่ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมหรือสถานที่สำคัญต่างๆ

๓. เป็นต้นไม้หายาก หรือใกล้สูญพันธุ์

๔. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดยได้รับการดูแลที่ดี

๕. อื่นๆ ตามที่คณะกรรมการพิจารณาเห็นสมควร

ซึ่งแต่ต้นล้วนแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติในประเทศไทยในแต่ละภูมิภาค สร้างความตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางธรรมชาติ สร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ และหวงแหนทรัพยากรทางธรรมชาติเหล่านี้ให้แก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป และนี่คือตัวอย่าง รุกข มรดก ๕ ต้นที่ควรค่าการเรียนรู้

๑. จำปาขาว พิษณุโลก

ต้นจำปาขาว อายุ ๗๐๐ กว่าปี ขนาดเส้นรอบวง ๖.๗๐ เมตร ความสูง ๑๕ เมตร สันนิษฐานว่าเป็นต้นเดียวกับที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบันทึกไว้ว่า “พ่อขุนบางกลางท่าว เจ้าเมืองบางยาง ทรงปลูกไว้เป็นอนุสรณ์ คู่เมืองของเมืองนครบางยาง” จึงประมาณได้ว่าปลูกมาก่อนปี พ.ศ. ๑๘๐๖

ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของวัดกลาง ตำบลนครไทย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก

๒. ทุเรียนเจ้าเมือง สุราษฎร์ธานี

ต้น ทุเรียนโบราณ อายุกว่า ๓๐๐ ปี ขนาดเส้นรอบวง ๘.๑๕ เมตร สูงประมาณ ๘๐ เมตร มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า บริเวณบ้านสวนกล้วยใกล้น้ำตกห้วยกลิ้งในปัจจุบันเคยเป็นสวนผลไม้ของเจ้าเมืองเวียงสระ โดยมีผลไม้นานาชนิดในอดีตหากใครลักลอบเข้าไปจะหลงทางหาทางกลับบ้านไม่ได้ เดือดร้อนถึงญาติต้องออกตามหา จุดธูปบนบานสานกล่าวขอขมาต่อเจ้าเมือง รุกขเทวดา เจ้าที่ เจ้าทาง จึงจะพบและนำออกมาได้ ทุเรียนต้นนี้เป็นต้นเดียวที่เหลืออยู่ในบริเวณที่คาดว่าเป็นสวนเจ้าเมืองเวียงสระ






ปัจจุบัน อยู่ในการดูแลของนายสุวัฒน์ ดาวเรือง บ้านสวนกล้วย ตำบลบ้านส้อง อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

๓. หว้าน้ำคู่รัก อุบลราชธานี

ต้นหว้าน้ำ หรือ หมากหว้าน้ำ สองต้นยืนโดดเด่นเคียงกันกว่า ๓๐๐ ปี ณ ลานหินทราย ริมฝั่งโขง บ้านลาดเจริญ ตำบลนาแวง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ปกติจะจมอยู่ใต้ผืนน้ำในช่วงฤดูน้ำหลากกว่า ๘ เดือน พอหน้าแล้งน้ำลด จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นลำต้นอวบคดโค้ง แตกกิ่งใบ เป็นพุ่มเขียวงอกงามมาบรรจบกัน มองดูคล้ายซุ้มรูปหัวใจ และผลิใบออกดอกผลในช่วงเดือน มีนาคม-เมษายน ด้วยความงดงามของรูปทรงและการยืนหยัดผ่านฤดูกาลต่างๆ ร่วมกันมายาวนาน ทำให้ต้นหว้าคู่นี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและมักจะมีคนมาขอพรอยู่เสมอ

๔. ป่าคำชะโนด อุดรธานี

บนพื้นที่ราว ๒๐ ไร่ ณ ตำบลวังทอง อำเภอบ้านตุง จังหวัดอุดรธานี คือ ที่ตั้งของ ป่าคำชะโนด ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตำนานพญานาค ปู่ศรีสุทโธ ศูนย์รวมจิตใจและศรัทธาของชาวอำเภอบ้านตุง





ป่าคำชะโนด มีลักษณะเป็นเกาะลอยอยู่บนนํ้า ภายในมีสภาพเป็นป่าพรุดิบชื้น มีต้นชะโนด (ลักษณะคล้ายต้นตาลผสมต้นมะพร้าวและต้นหมาก) ซึ่งเป็นพืชที่หายากขึ้นอยู่หนาแน่น อายุกว่า ๒,๐๐๐ ปี สูงราว ๓๐ เมตร โดยรากของต้นชะโนดแผ่ออกในแนวนอนเกาะเกี่ยวกันพยุงเกาะแห่งนี้ให้ลอยน้ำได้ ส่วนพื้นดินมีสีคล้ำเปียกชื้นตลอดเวลา มีเฟิร์นขึ้นปกคลุมหนาทึบ แดดแทบจะไม่ส่องถึงพื้น และต้นไม้ใหญ่เล็กขึ้นแซมหลายชนิด นับว่าเป็นป่าดึกดำบรรพ์ผืนสุดท้ายของประเทศไทยที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์อยู่

๕. กลุ่มต้นยางนารักษ์สิ่งแวดล้อม เชียงใหม่

ต้นยางนา ขนาดใหญ่ ที่ปรากฏแก่สายตาริมสองฟากฝั่ง ถนนสายเชียงใหม่-ลำพูน ณ เขตอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ วัดเส้นรอบวงโดยเฉลี่ย ๔ เมตร และสูงกว่า ๔๐ เมตร ยืนตระหง่านเรียงรายไปจนสุดสายตาตลอดแนวถนนจำนวนถึง ๘๘๖ ต้น เป็นภูมิทัศน์ที่งดงามสุดพิเศษ สร้างความประทับใจแก่ผู้สัญจรไปมาไม่รู้ลืม

โดยกลุ่ม ต้นยางนา นี้ ปลูกเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๔ ตามนโยบายของเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐ์ศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพ และมีการกำหนดกฎระเบียบในการดูแลรักษาอย่างเคร่งครัด จึงเจริญเติบโตได้ดีและสวยงามมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ด้วยคุณค่าและความสำคัญทางประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า ๑๐๐ ปี ในปัจจุบันถนนสายนี้จึงได้รับการประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

กระทรวงวัฒนธรรม

Website: www.m-culture.go.th

Facebook: www.facebook.com/ThaiMCulture

YouTube: www.youtube.com/channel/UCmS

Youtube ที่เกี่ยวข้อง: https://www.youtube.com/user/itmculture










ขอบพระคุณแหล่งที่มา:https://news.mthai.com









มนุษย์ใจบาปพรากลูกอุรังอุตังจากอกแม่ตั้งแต่เด็ก เอามาคุมขังในซ่อง ก่อนจับแต่งตัว บังคับให้มีเซ็กส์กับแขก รับลูกค้าที่มีรสนิยมทางเพศร่วมกับสัตว์

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 เว็บไซต์ข่าวสารออนไลน์ต่างประเทศรายงาน ลิงอุรังอุตังเพศเมียชื่อ โพนี่ ถูกจับมาขังในซ่องในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งแต่ยังเป็นลูกอุรังอุตัง เพื่อรับแขกมนุษย์ผู้ชาย มาใช้บริการทางเพศ โดยมันต้องถูกมนุษย์กระทำชำเรานับครั้งไม่ถ้วน





รายงานระบุว่า เจ้าของซ่องจับโพนี่ล่ามโซ่ และก่อนจะรับแขก มันจะถูกจับแต่งหน้าและใส่น้ำหอมและโกนขนให้มันทุก ๆ 2 วัน โดยจะมีชายชาวสวนปาล์ม เดินทางเข้ามาที่ซ่องแห่งนี้ เพื่อใช้บริการ และร่วมเพศกับโพนี่ แลกกับเงินเพียง 70 บาท โดยเงินจะเข้ากระเป๋าเจ้าของซ่องทั้งหมด

ต่อมาในปี 2546 โลเน โดรสเชอร์-เนลสัน และทีมเจ้าหน้าที่จากองค์กรช่วยเหลือลิงอุรังอุตังเกาะบอร์เนียว หรือ บีโอเอสเอฟ (BOSF – Borneo Orangutan Survival Foundation) ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านที่ตั้งซ่องนรกแห่งนี้ หลังจากรับรู้ว่ามีลิงอุรังอุตังถูกขังไว้ ทางด้าน มิเชลล์ เดซิเลตส์ ผู้อำนวยการองค์กรบีโอเอสเอฟ กล่าวว่า ลูกค้าส่วนใหญ่มาใช้บริการที่ซ่องแห่งนี้ เพราะต้องการมีเซ็กส์กับโพนี่โดยเฉพาะ เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มผู้มีความชื่นชอบความแปลก





อย่างไรก็ตาม ทางทีมเจ้าหน้าที่พยายามช่วยเหลือโพนี่ออกมาแต่ทางเจ้าของซ่องไม่ยอม และขับไล่ทีมเจ้าหน้าที่ และข่มขู่จะฆ่าทิ้งหากนำโพนี่ออกไป ทางทีมเจ้าหน้าที่ จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมอาวุธเข้าควบคุมสถานการณ์ และนำตัวเจ้าโพนี่ออกมาได้ในที่สุด และนำตัวโพนี่ในวัย 7 ปี ไปไว้ที่สถานอนุรักษ์พันธุ์อุรังอุตังขององค์กร ซึ่งตั้งอยู่ในเกาะบอร์เนียว

มีการสรุปว่า โพนี่ถูกขังในซ่องเป็นเวลานานกว่า 15 ปี โดยปัจจุบัน มันได้ปรับตัว ใช้ชีวิตตามวิถีที่มันควรจะเป็น ร่วมกับเพื่อน ๆ อีก 7 ตัว แต่มันไม่สามารถจะกลับไปใช้ชีวิตในป่าได้ เพราะมันมีอายุมากเกินว่าจะพัฒนาสัญชาตญาณการเอาตัวรอดตามธรรมชาติ ขณะที่เจ้าหน้าที่ ไม่สามารถเอาผิดกับซ่องนรกแห่งนี้ได้ เนื่องจากในประเทศมีความหย่อนยานทางกฎหมายในเรื่องนี้












ขอบพระคุณแหล่งที่มา:https://news.mthai.com/world-news/688986.html

14/11/61









กระแสแรงศรัทธายังดีไม่ตก! งวดนี้คอหวยไม่พลาด แห่กราบไหว้ขอโชคลาภ ส่องเลขเด็ด "เจ้าพ่อกาโม่" หลังงวดที่ผ่านมาให้โชคถูกรางวัลที่ 4 ถึง 4 ใบรวด





เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงก่อนวันหวย ที่บริเวณศาลเจ้าพ่อแบงค์กาโม่ ริมถนนสุขุมวิท กม.186/600 ข้างสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง คอหวยและนักเสี่ยงโชคจำนวนมาก แห่แวะเวียนกันมาจุดธูปเสี่ยงเซียมซี ขอเลขเด็ดจากเจ้าพ่อชนิดไม่ขาดสาย ทำให้มีพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยขายลอตเตอรี่ มายืนเรียงแถวยาวรอขาย สร้างความคึกคักไปทั่วบริเวณ ทำให้รถที่สัญจรผ่านไปมา อดใจไม่ไหวต้องจอดลงมาลองขอเลขเด็ด เพื่อหวังมีโชคลาภกลับไป


ด้าน นายชลทิศ กรีชะวา อายุ 30 ปี พ่อค้าขายพวงมาลัย เปิดเผยว่า ศาลเจ้าพ่อแบงค์กาโม่ เดิมเป็นเพียงศาลไม้เก่าไร้นาม ถูกปกคลุมไปด้วยแบงค์กาโม่ทั่วตัวศาล ทิ้งร้างอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ไร้ผู้คนกราบไหว้มานานหลายสิบปี กระทั่ง หนุ่มชาว จ.ราชบุรี ได้มาขอเลขเด็ดจนเข้าฝันให้ถูกหวย 3 งวดติด รวยโชครับเงินหลายแสนบาท ก่อนจะนำศาลเรือนไทย ที่มีมูลค่าเกือบแสนบาท มาแก้บนถวายให้แทนศาลเก่า พร้อมกระทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณขึ้นสู่ศาลใหม่ และสถาปนาขึ้นเป็น เจ้าพ่อแบงค์กาโม่ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทำให้กิตติศัพท์ของเจ้าพ่อ ในการบันดาลโชคลาภได้ขจรไปไกล จนมีคอหวยจากทั่วประเทศ แห่กันมาขอเลขเด็ด นำพวงมาลัย และแบงค์กาโม่ มาถวายกันอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะช่วง 3-4 วัน ก่อนหวยออก ตั้งแต่ช่วงเช้าไปยันมืดค่ำ คอหวยได้แห่กันมาปักหลักขอเลขเด็ดอย่างไม่ลดละ นอกจากนี้ งวดประจำวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้มาขอหวยจนถึงขั้นถูกรางวัลที่ 4 ถึง 4 ใบ ยิ่งทำให้คอหวยและชาวบ้านต่างยิ่งเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เจ้าพ่อแบงค์กาโม่มากยิ่งขึ้น













ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.dailynews.co.th/regional/677140








วันที่ 14 พ.ย. 2561 เมื่อเวลา 13.00 น. ที่อาศรมฤๅษีเณรธาตุพุทธคุณริมถนนหมายเลข 9 บางปะอิน-บางบัวทอง พบว่ามีประชาชนนักเสี่ยงโชคเดินทางมาดูตัวเลขที่ลอยอยู่ในอ่างน้ำมนต์ ที่หน้าอาศรมฤๅษีเณร พร้อมกับนำน้ำแดงมาถวายน้ำแดงรูปปั้นกุมารเจ้าสัวเฮง

โดยในงวดที่ผ่านมามีคนถูกรางวัลเลขท้ายสองตัวจำนวนหลายใบ ประชาชนต่างพากันใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพหยดเทียนสีเหลืองที่เป็นตัวเลขในอ่างน้ำมนต์ เป็นตัวเลข 2,3,5,6,7 และ 9 ซึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้ำ นอกจากนี้ประชาชนบางส่วนก็พาครอบครัวมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคล





โดยกราบพ่อปู่ฤๅษีพรหมเมศ องค์อินทรานาคราชกุมาร เจ้าสัวเฮง เสี่ยงเซียมซีวิหารโบราณฤๅษี 108 ตน และลอดท้องช้างเอราวัณซึ่งการได้ลอดท้องช้างนั้นมีความเชื่อว่าจะทำให้โชคดีและเป็นมงคลกับชีวิต

ที่ผ่านมามีผู้ถูกรางวัลติดต่อกันหลายงวดจนเป็นที่ร่ำลือกันปากต่อปาก รวมถึงกระแสข่าวบนสื่อออนไลน์ต่างๆ นำเสนอทำให้อาศรมฤๅษีเณรเป็นที่รู้จักของนักเสี่ยงโชคจากทั่วประเทศ พร้อมร่วมบริจาคเงินสร้างวิหารปู่ฤๅษีพรหมเมศร์สูง 34 เมตร












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7577038/








1.ลืม

ลืมใครสักคนทำไมต้องใช้ทั้งชีวิต? ก็เพราะคุณไม่มีอุปการณ์ช่วยลืมนะสิ! แล้วจะทำยังไงในเมื่อมันยังรัก ยังรอ ยังฝันถึง? ลืมไม่ได้ก็ไม่ต้องลืม! ก็ให้มันอยู่ในใจนั่นแหละ แต่ให้เพียงซอกเล็กๆอย่าให้มันยึดทั้งหมดใจ!

2.ยื้อ

ความอดสูที่พูดได้มิใช่ความอดสูที่แท้จริง! คนรักที่ยื้อแย่งมาได้มิใช่คนรักที่แท้จริง หากยังอยากยื้อ ไม่ยอมปล่อยให้คนที่ไม่ได้รักคุณได้เดินจากไป แล้วคนที่รักคุณจริงๆจะเดินเข้ามาได้อย่างไร?

3.หัวเราะ

ผู้หญิงมักจดจำผู้ชายที่ทำให้เธอหัวเราะ ผู้ชายมักจดจำผู้หญิงที่ทำให้เขาร้องไห้ แต่ทว่า ผู้หญิงกลับหยุดอยู่กับผู้ชายที่ทำให้เธอร้องไห้ ส่วนผู้ชายกลับหยุดอยู่กับผู้หญิงที่ทำให้เขาหัวเราะ ร้องไห้หรือหัวเราะต่างก็เป็นการแสดงออกจากอารมณ์ความรู้สึกทั้งนั้น แต่ในความรู้สึกของคนส่วนมาก หัวเราะดีกว่าร้องไห้!





4.เหงา

อย่าเป็นเพราะความเหงาแล้วรักผิดคน ยิ่งไปกว่านั้น อย่าเป็นเพราะรักผิดคนแล้วต้องเหงาทั้งชีวิต ความรักเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง ไม่ตั้งใจอ่านอาจพลาดตอนสำคัญ ตั้งใจอ่านมากเกินไปอาจต้องเสียน้ำตา

5.เพื่อน

คนสองคนอยู่ด้วยกันนานวันเข้า ก็เหมือนแขนซ้ายและแขนขวา ต่อให้สิ้นสิเน่หาก็ยังอยู่คู่กัน เพราะการตัดความรักความผูกพันที่มีให้กันมานานแสนนานนั้น ต้องใช้ความกล้าอันมหาศาล ต่อให้ทางผ่าน คุณอาจเจอคนที่คุณชอบมากยิ่งกว่าสามีหรือภรรยา เธอและเขาเหล่านั้นก็เป็นเพียงนักท่องเที่ยวที่เดี๋ยวเดียวก็ต้องจาก คุณก็ต้องจูงมือคนข้างๆเดินต่อไปอยู่ดี(รู้งี้อย่าด่วนปันใจให้ใครง่ายๆ) แรกรักผูกกันด้วยคำสัญญา ต่อมาผูกกันด้วยภาระหน้าที่ สุดท้ายก็กลายเป็นเพื่อน

6.ขอให้คุณโชคดี

ในโลกแห่งความรัก ไม่มีใครทำผิดต่อใคร มีเพียงใครไม่ถนอมใครเท่านั้นเอง ที่ควรถนอมมิใช่แค่ฝ่ายตรงข้าม แต่ต้องถนอมความรู้สึกของตนเองด้วย สำหรับคนที่ไม่ถนอมคุณ อย่ารอให้เขาหรือเธอเป็นฝ่ายเอ่ยคำว่า “ขอโทษ”ก่อน คุณนั่นแหละที่ควรพูดคำว่า “ขอโทษ ขอให้คุณโชคดี”ก่อน















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/16129








“เรียนสูง” มาแค่ไหน ไม่ใช่ประเด็น

“ทำงาน” ให้เป็น คือประเด็นที่สำคัญ



ประเด็นแรก ของเรื่องนี้คือ เรื่องการเรียน

ถ้าจะว่าไปว่า “การศึกษาบ้านเราเหมือนกับว่าเป็นเรื่องของคนที่เรียนเพียงคนเดียว” เรียนดีเรียนแย่ก็อยู่ที่คนนั้นเองทั้งสิ้นทั้งหมด พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พี่น้อง ช่วยอะไรไม่ได้เลย สถาบันที่เรียนบางครั้งจบมาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการทำงานของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับประสบการณ์และฝีมือในการทำงานและใช้ชีวิตอยู่กับผู้อื่นล้วน

ถ้าผลการเรียนออกมาดี ก็มีแนวโน้มว่า “น่าจะทำงานเก่งนนะ” เพราะกว่าจะจบมันต้องฝึกต้องฝนกันมากมายหลายกระบวนท่า แต่อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนในช่วงระหว่างที่กำลังเรียนอยู่นั้น มันฝึกฝนอยู่ในกรอบของสมมติฐานที่ว่า “ฝึกเพื่อเรียนรู้ ถ้าถูกก็แล้วไป แต่ถ้าผิดก็กลับไปแก้ไขใหม่จนกว่าจะดีขึ้น” ซึ่งเป็นหลักง่ายๆ ของชีวิตนักศึกษา เชื่อว่าเคยผ่านกันมาทุกคน





สังเกตุดีๆ จะเห็นว่าในช่วงที่เรากำลังศึกษาอยู่นั้นหากเรา คิดผิด ทำผิด มันจะถูกลงโทษเพียงอย่างเดียวคือ เกรดหรือผลการเรียนจะออกมาไม่ดีหรือไม่ก็ติดเอฟ(F) ต้องไปลงทะเบียนเรียนใหม่กับเด็กรุ่นน้อง บางคนก็ไม่ถือเพราะหน้าด้าน บางคนเครียดมากเพราะอายกับการที่จะต้องไปเรียนกับรุ่นน้อง

ชีวิตวัยเรียนมีเรื่องให้เครียดปวดสมองไม่กี่เรื่อง นอกนั้นเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้เสียเป็นส่วนใหญ่ บางคนถึงกับไม่อยากจบออกมา เพราะยังอยากสนุกกับชีวิตในช่วงวัยนี้ต่อไปอีก แต่เมื่อถึงเวลาจบก็ต้องจบ อยู่ที่ว่าตอนจบของช่วงวัย จะจบออกมาดี หรือ จบออกมาแบบไม่ได้เรื่อง ซึ่งจะถูกนำไปพิสูจน์ต่อไป ในช่วงชีวิตวัยทำงาน

ประเด็นที่สอง คือ เรื่องการทำงาน

“การทำงานคือการพิสูจน์คุณภาพของคนว่าคนคนนั้นมีคุณภาพแค่ไหน” คุณภาพมากแค่ไหนวัดกันอย่างไร ง่ายๆ เลย ก็แค่วัดว่า ผลของงานที่ทำสัมฤทธิ์ออกมา มันเกิดคุณค่าหรือประโยชน์แก่คนอื่นมากแค่ไหน นั่นแหละคือคุณภาพ





จะเห็นว่าตอนเรียนเราไม่วัดผลการเรียนแบบนี้เลย การเรียนเป็นอะไรที่ง่ายสอบไม่ผ่านก็ลงเรียนใหม่ แต่ถ้าทำงานแล้วทำไม่ผ่าน จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เสียเวลา เสียเงิน เสียใจ ถูกเจ้านายด่า เพื่อนร่วมงานขาดความเชื่อถือ ทั้งหมดนี้คือโลกของความจริงโลกที่แสนเจ็บปวดเมื่อทำผิดพลาดขึ้นมา

ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นโลกที่หอมหวานเมื่อเราทำงานสำเร็จขึ้นมา เกิดคุณค่าต่อผู้อื่นในวงกว้าง สังเกตุดีๆ ชีวิตในช่วงกำลังเรียนคือช่วง “อยู่ในโลกของจินตนาการ” แต่ชีวิตในช่วงทำงานมันคือ “โลกแห่งความจริง” คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งหลายเขาเชื่อว่า ถึงแม้เรียนจบจากช่วงชีวิตวัยเรียนแล้วเขาหาได้คิดว่าเขาต้องหยุดเรียนรู้อยู่แค่นั้นไม่ แต่กลับกลายเป็นว่าพอจบการเรียนในช่วงวัยเรียน จะต้องศึกษาแบบจริงๆ จังๆ ต่อในระดับที่สูงขึ้นไปอีกคือระดับมหาวิทยาลัยชีวิต ซึ่งจะต้องเรียนรู้ทุกลมหายใจ เพราะมันจะมีผล ได้-เสีย

ในทุกครั้งที่ลงมือทำอะไรก็ตาม และจะต้องศึกษาไปจนวันตายในมหาวิทยาลัยชีวิตแห่งนี้ ส่วนคนที่ชีวิตล้มเหลวก็มีสาเหตุเพียงสาเหตุเดียวก็คือ ไม่เรียนรู้ที่จะแก้ไขในสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง มันก็ผิดซ้ำๆ ซากๆ จนหาคุณภาพไม่ได้และสิ้นความน่าเชื่อถือในที่สุด และสุดท้ายก็คือล้มเหลว













ขอบพระคุณแหล่งที่มา: แนวหน้า

10/11/61









เฉินจือฟาง คือชายวัย 29 ปี ผู้ไร้แขน แต่สามารถดูแลแม่ของตนที่ป่วยอยู่ในโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่การป้อนข้าว การหวีผม การเช็ดตัว หรือแม้กระทั่งตอนที่แม่ต้องไปเข้าห้องน้ำ เข้าก็ช่วยลากเสาน้ำเกลือไปให้ด้วย

ชายผู้นี้เกิดปี 1989 ในหมู่บ้านสุยเจียวาน เมืองเอินซือ มณฑลหูเป่ย ทางตอนกลางของประเทศจีน พร้อมกับสภาพที่ไร้แขน และเมื่ออายุได้เพียง 9 เดือน พ่อของเขาก็เสียชีวิตจากอาการป่วย ตั้งแต่นั้นมาแม่ของเขาก็ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูเขาและพี่ชายของเขาให้อยู่รอด





และด้วยความเข้มแข็งที่ไม่ย่อท้อของแม่ จึงทำให้นายเฉินกลายเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตเช่นกัน แม้จะมีสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ แต่เขาก็พยายามจนสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ

ตอนที่อายุได้ 4สี่ขวบ เฉินเริ่มฝึกลุกยืนเองตอนที่ไม่มีใครอยู่บ้าน แต่ก็เป็นงานที่สาหัสเอาการ ทำให้เขาได้แผลมาเยอะมากจากการฝึกฝนครั้งนั้น เมื่อเติบใหญ่ขึ้นเขาก็พยายามฝึกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ทั้งงานบ้านและงานที่ต้องใช้แรงงานด้วยเท้าของเขา จนเมื่อพี่ชายของเขาแต่งงานและไปสร้างครอบครัวของตัวเอง ปัจจุบันนายเฉินจึงกลายเป็นผู้ดูแลแม่อย่างเต็มตัว





แม้ว่าขณะนี้อาการของแม่จะค่อนข้างทรงตัวดีแล้ว แต่นายเฉินก็ยังกังวลและพยายามให้แม่ทำกายภาพบำบัดทุกวันเพื่อฟื้นฟูภาพร่างกายให้แข็งแรง

เรื่องราวของนายเฉินได้สร้างความซาบซึ้งให้แก่ชาวจีนเป็นจำนวนมาก มีชาวเน็ตหลายคนที่มาแสดงความคิดเห็นในแอพพลิเคชันของสำนักข่าว People’s Daily ว่า "คนที่มีแสงสว่างอยู่ในใจ จะไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคใดๆ" และอวยพรขอให้เขามีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น





















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7572114/








เปิดคาถาศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโอภาสี เจ้าอาวาสวัดดัง วัดพุทธบูชา โดยหลวงพ่อโอภาสี ได้จากบทสวดมนต์ เป็นบทสวดมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ สามารถส่งได้ทุกที่ ทุกเวลา ใครที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในช่วงที่ลำบาก แนะนำให้สวดบทนี้ได้เลย

บทคาถาเจริญสมาธิภาวนา

อะระหังพุทโธ เมตตาธัมโม สังโฆรักษา นะโมพุทธายะช่วยข้า ดินน้ำลมไฟ

สร้างกายขึ้นมา บิดามารดา ชุบเลี้ยงอินทรีย์ ร่างกาย กายี ปะฐะพีเอาไป

ใช้บูชา เจริญภาวนา ระลึกถึงพระพุทธคุณ และพระคุณของบิดามารดา อันหาที่สุดมิได้ เจริญภาวนาไว้ ทุกลมหายใจ





เข้าออก ให้รู้สภาวะ รู้จักตัวตน ถึงซึ่งอนัตตา

คาถาประจำตัวหลวงพ่อโอภาสี

อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ

ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง

คาถานี้คือยอดพระภัณฑ์พระไตรปิฎกที่หลวงพ่อโอภาสีนำมาย่อและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำของลูกศิษย์และผู้ศรัทธา

– สวดอยู่กับบ้านป้องกันอันตราย

– สวดก่อนออกจากบ้าน คุ้มกันอันตรายตลอดการเดินทางไปต่างถิ่น

– สวดป้องกัน ภยันอันตรายต่าง ๆ จากเทวดา ภูติผีปีศาจ

– หรือเดินทางไปที่เปลี่ยว ให้หยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่หรือศาลเจ้า ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นช่วยปกปักษ์รักษาให้ปลอดภัย

– อานุภาพขอคาถา นี้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว

ที่มาของคาถาหลวงพ่อโอภาสี





คาถาของท่านนี้แท้จริงแล้วก็คือคาถายอดพระภัณฑ์พระไตรปิฎกที่หลวงพ่อโอภาสีนำมา ย่อและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำของลูกศิษย์และผู้ศรัทธานิยม ใช้สวด หากอยู่กับบ้านก็ใช้ป้องกันอันตรายที่จะเข้ามา

– หากใช้สวดก่อนออกจากบ้านก็จะคุ้มกันภัยอันตรายตลอดการเดินทาง

– หากไปต่างถิ่นก็ใช้สวดป้องกันอันตรายต่างๆจากเหล่าภูตผีปีศาจที่อาจเป็นเจ้ากรรมนายเวรขัดขวาง

– เมื่อเดินทางไปที่เปลี่ยว ให้หยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่หรือบริเวณศาลเจ้าขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นช่วยปกปักษ์รักษาให้ปลอดภัย

– คาถาของหลวงพ่อโอภาสีบทนี้ยังให้พุทธคุณในด้านความร่ำรวยเป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก

– คนทำงาน คนที่ค้าขายสวดทุกครั้งที่เปิดร้านจุดธูปบอกเจ้าที่อธิษฐานให้ขายดีมีกำไร

– เดือดร้อนใจก็สวดอโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวร ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ด้วย

– อธิษฐานสิ่งใดเทวดาท่านจะอนุเคราะห์สุดความสามารถ

– เจ้ากรรมนายเวรได้ยินจะยอม อโหสิกรรมให้

– และที่สำคัญอย่าลืมอุทิศบุญไปให้หลวงพ่อโอภาสีด้วยหลังจากการ สร้างบุญทุกครั้ง

– อานุภาพของคาถาหลวงพ่อโอภาสีนี้เชื่อกันว่าให้พุทธคุณกันแบบครอบจักรวาลเลยทีเดียว

– ขอให้ผู้ที่สวดตั้งใจ ให้ทาน รักษาศีลเป็นพื้นฐานอย่างมั่นคงแล้วการสวดมนต์ย่อมได้ผลช่วยเหลือคุ้มครอง และสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างแน่นอน

พุทธคุณ

– ขอขมาพระรัตนตรัย แม่พระธรณี แม่พระคงคา เทวดาเจ้าที่

– ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัย

– แม่ชีทศ พร เทวาพิทักษ์ธรรม บอกว่า คาถานี้เหมาะสำหรับคนขี้โกรธ ขี้โมโห เพื่อให้ดับความโกรธได้

– ภาวนาทุกครั้งที่นึกขึ้นมาได้ อย่างน้อยควร 2 ครั้ง คือ เมื่อตื่นนอนตอนเช้า และหลังสวดมนต์ก่อนนอน ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

คาถาปราบคุณไสย หลวงพ่อโอภาสี

นิพพานะ สัมปัตโต ระโต โสสัตตะมะโน

สัตตะโมจะโน สะมาเปตีธะ สัตเต โย สะมะทานัง

นิพพานะ สัมปัตโต ระโต โส ปฏิจฐา โหตุ ปาณินัง

– เป็นพระคาถาที่หลวงปู่โอภาสีท่านใช้ในการปราบพวกคุณไสย

– บทแรกเป็นบทถอน

– บทหลังส่งกลับ พวกหมอทำคุณไสย

– ท่านได้ถ่ายทอดให้หลวงอาน้องชายท่าน ปรากฏผลดีมาก

ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพ เจ้าของบทความ และที่มาเนื้อหาข้อมูล














ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/15768









ผู้ชายเจ้าชู้ จะปราบยังไงให้อยู่หมัด งานนี้ต้องมาเช็คกันหน่อยแล้วเพราะถ้าช้าไปนิดเดียว พ่อตัวดีของคุณ อาจจะหนีไปกิ๊กสาวที่อื่นแล้วก็ได้

1. กว่าจะจีบติด ยากมาก
อะไรที่ได้มาง่ายๆ มักไม่ค่อยมีคุณค่า เวลาหนุ่มๆ ที่จีบผู้หญิงสักคน

แน่นอนว่าใครๆ ก็ อยากจะเอาชนะใจผู้หญิงที่จีบให้ได้เร็วที่สุด

แต่ถ้าผู้หญิงคนไหนที่มีการวางตัว ไม่ได้เปิดรับเต็มที่และก็ไม่ได้ปิดตายประตูหัวใจซะทีเดียว

มีช่องว่าง เว้นระยะห่างได้ดีในช่วงแรก ผู้ชายจะรู้สึกท้าทาย

และมองว่าผู้หญิงคนนี้มีน่าค้นหา เมื่อจีบติดได้มาเป็นแฟน ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องหวง





2. ฉลาดแต่แกล้งโง่

ผู้ชายไม่ได้ชอบผู้หญิงโง่ แต่ผู้ชายชอบผู้หญิงแกล้งโง่

คุณผู้หญิงหลายคนอาจจะมีหน้าที่การงานที่ดี ทำงานเก่ง เป็นเวิร์คกิ้งวูแมน

แต่กับเรื่องบางอย่างต้องปล่อยให้ผู้ชายได้เข้ามาดูแลบ้าง

ผู้ชายจะรู้สึกดีมาก ถ้าได้ปกป้องและดูแลใครสักคน

3. เข้าใจธรรมชาติของผู้ชาย
ผู้ชายไม่เจ้าชู้ก็เหมือนงูไม่มีพิษ อาจจะมีบ้างที่วอกแวก มองผู้หญิงสวยๆ หุ่นดีๆ

ถ้าไม่ได้รุนแรงอะไรมาก ก็ปล่อยผ่านไปเถอะค่ะ อย่าได้ทำตัวรู้ทันอยู่ตลอดเวลาเลย

ผู้ชายจะรู้สึกเสียหน้า และมองว่าคุณไม่น่ารักอีกต่อไป

4. ใจเย็น และ สงบนิ่ง
เสือร้ายที่จ้องจะจัดการเหยื่ออยู่ตลอดเวลา บางครั้งบางคราวก็เผลอตัวทำผิดพลาด

งานนี้ก็ต้องอยู่ที่เราแล้วแหละ ว่าจะจัดการกับอารมณ์ฉุนเฉียวในตอนนั้นได้มากแค่ไหน

แต่จะบอกเอาไว้เลย ยิ่งคุณนิ่งมากเท่าไหร่ ผู้ชายจะยิ่งเกรงใจคุณมากเท่านั้น

มีหลายคนที่เจ้าชู้จนรู้สึกผิดไปเอง โดยที่ผู้หญิงไม่ต้องเอ่ยปากด่าสักคำ

5. เรื่องบนเตียงแซ่บมาก




ว่าไม่ได้จริงๆ นะเรื่องแบบนี้ อย่าได้คิดว่าเป็นแฟนกันหรือแต่งงานแล้ว จะละเลยเรื่องแบบนี้

ผู้ชายส่วนใหญ่ที่เจ้าชู้ ก็เป็นเพราะอะไรเดิมๆ ที่ไม่มีความเร้าใจนี่แหละค่ะ

ทำให้มีข้ออ้างออกไปหากินน้ำพริกถ้วยใหม่ข้างนอก

ลองปรับเรื่องบนเตียงดูนะคะ ไม่ว่าในชีวิตจริงคุณจะเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้มากแค่ไหน

แต่พอถึงเวลาทำหน้าที่ ก็ต้องถึงอกถึงใจนะจ๊ะ













ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/15866

9/11/61









เคล็ดคาถาศักดิ์สิทธิ์ เสริมดวง “ทำแล้วรวย” สำหรับท่านที่ดวงตกและมีปัญหาเรื่องเงินอย่างหนักขอแนะนำคาถานี้ถ้าอยากจะให้ดีขึ้นแบบทันตาเห็น คาถาเงินล้าน เป็นคาถาของ ฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง คาถาที่ได้จากกรรมฐาน ซึ่งได้อนุญาตให้ลูกหลานและพุทธบริษัทใช้ได้เป็นสาธารณะ

โดย คาถาเงินล้าน เป็นคาถาของ พระราชพรหมยาน หรือ ฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ซึ่งหลวงพ่อได้คาถาบทเหล่านี้ โดยตรงจากองค์สมเด็จฯ (องค์ปฐม) ตั้งแต่ปี 2517 เป็นเวลา 4 ปี จึงจะได้ครบถ้วน ท่านบอกว่าคาถาที่ได้จากกรรมฐาน เขาจะไม่บอกใคร





เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2527 เวลา 23.59 น. องค์สมเด็จฯ ได้อนุญาตให้ลูกหลาน และพุทธบริษัทใช้ได้เป็นสาธารณะ เพื่อช่วยบรรเทาสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ อีกทั้งการก่อสร้างของวัดท่าซุง จะต้องเร่งรัดให้เสร็จทันฉลองวัดในปี 2532 จึงจำเป็นที่จะต้องใช้คาถาเหล่านี้ช่วย เพื่อพุทธบริษัท และลูกหลานของหลวงพ่อ มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น

( พระสรีระศพหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ณ วิหารแก้ว )

พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” ท่าน เป็นพระภิกษุในพุทธศาสนานิกายเถรวาทฝ่ายมหานิกาย เจ้าอาวาสวัดท่าซุง (วัดจันทาราม) จังหวัดอุทัยธานี ท่านมีชื่อเสียงในด้านการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานจนได้วิชามโนยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ) หลังการมรณภาพ สังขารร่างกายของท่านมิได้เน่าเปื่อยอย่างศพของคนทั่วไป และได้มีการเก็บรักษาไว้ที่วัดท่าซุงจนถึงปัจจุบันนี้

แรงศรัทธาหลั่งไหลเข้ามา ณ วัดท่าซุงอันสงบเย็น ทุกวันจะมีกระแสแรงศรัทธาจากผู้คนถ้วนทั่วทุกสารทิศเดินทางเข้ามากราบไหว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเองและครอบครัว ได้สัมผัสกับความอิ่มเอม จุดเด่นวิหารแก้ว ภายในประดับด้วยกระจกทำให้เกิดแสงระยิบระยับ เป็นที่เก็บร่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่คนเคารพนับถือ





ในปัจจุบันพระคาถาเงินล้านของท่านได้แพร่หลายและเป็นที่รู้จักเป็นอย่างมาก มีความเชื่อกันว่ายิ่งสวดมากยิ่งได้ลาภมาก ตามความศรัทธาของแต่ละคน สวดอย่างน้อยวันล่ะ 9 จบ แต่จะให้ดี อย่างน้อย 30 จบ และทำทานทุกวันสม่ำเสมอด้วยความเต็มใจอย่างแท้จริง ถ้าทำได้ว่างเมื่อไหร่ก็ให้สวดเมื่อนั้น ก่อนสวดพระคาถาให้ตั้งจิตให้นิ่ง

ถ้าติดขัดการเงินแบบหนักหนาสาหัสสากรรจ์เจียนจะตายเสียให้ได้ให้ตั้งใจท่อง พระคาถาวันละ 108 จบ

(ตั้ง นะโม 3 จบ )

สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน )
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันต ุเม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตภาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา
วิระทาสี วิระทาสา วิระอิทถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ
( บูชา 9 จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)

เคล็ดวิชานี้ใช้ได้ผลมามากมาย ทั้งคนที่ตกงานหางานทำไม่ได้ คนที่เป็นหนี้สิน สิ้นหวังในชีวิต หากท่านทำได้ครบถ้วนทุกประการที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำแล้ว รับรองว่าจะได้รู้ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตด้วยตัวเอง












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/14749

6/11/61









เรื่องที่ 1

ภรรยาออกไปเที่ยวต่างจังหวัดหลายวัน ทิ้งให้สามีอยู่บ้านตามลำพัง ชายหนุ่มซื้ออาหารและเครื่องดื่มมาตุนไว้มากมาย เปลี่ยนทีวีช่องแล้วช่องเล่า อยู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“หัวหน้าคะ หนูไม่รู้จะไปไหน หนูขอไปเที่ยวบ้านหัวหน้าได้ไหมคะ?” ลูกน้องสาวคนหนึ่งโทรมา

“อื่ม! คงจะไม่สะดวก เพราะผมกำลังจะออกไปทำธุระนอกบ้าน” เขาตอบไป

“ตอนนี้หนูอยู่หน้าบ้านหัวหน้าแล้วคะ!” เธอยังตื้อ เธอเป็นลูกน้องที่มีใจให้หัวหน้า แต่หลายครั้งที่เธอทอดสะพาน หัวหน้าก็มักจะบ่ายเบี่ยงเสมอ ในมือของเธอมีอาหารและเครื่องดื่มมามากมาย ยังมีไวน์แดงอีก1ขวด ยืนรอชายหนุ่มอยู่หน้าห้อง

“เดี๋ยวผมเข้าครัวทำอาหารให้คุณทานก็แล้วกัน”

“ไม่ต้องคะ เดี๋ยวหนูทำให้หัวหน้าทานเอง” เธอรีบกุลีกุจอเข้าครัว





ชายหนุ่มโทรหาเพื่อนๆ ให้มาอยู่เป็นเพื่อน แต่ไม่มีใครว่างเลย ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวก็ตะโกนเรียกให้เขาให้เข้ามาในครัว

หญิงสาวยกเกี๊ยวซ่าหอมกรุ่นที่เขาชอบกินยื่นให้ 2 จานพูน เพราะว่า เขาและภรรยาต่างคนต่างงานยุ่งมาก จึงไม่มีเวลาทำเกี๊ยวกินเอง แต่นี่เธอเพิ่งเข้าครัวเมื่อครู่นี้เอง มีทั้งเกี๊ยวและอาหารทานเล่นอีกหลายอย่าง

เธอยิ้มหน้าแดงระเรื่อมองเขา ตอนนี้ หัวใจของชายหนุ่มรู้สึกหวั่นไหวเสียแล้วและช่วงที่หญิงสาวไม่ได้สนใจ เขาก็ปิดมือถือของตัวเอง จากนั้นก็ดึงมู่ลี่ปิดหน้าต่างที่ระเบียง ณ เวลานี้ เขาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวตึ๊กตั๊ก

เมื่อดื่มไวน์แดงจนหมดขวด หญิงสาวก็บอกกับเขาว่าเธอเวียนหัว แล้วก็ฟุบอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม

เขาอุ้มเธอไปนอนที่เตียง จากนั้นก็ล็อคประตูห้อง

ณ เวลานั้น เสียงโทรศัพท์ที่ห้องรับแขกก็ดังขึ้น ภรรยาและลูกชายของเขาโทรมา ชายหนุ่มยังคงนั่งดื่มเบียร์และดูทีวีเวียนไปมาช่องแล้วช่องเล่าอยู่ที่ห้องรับแขก พยายามทำให้ใจของตัวเองสงบ และเป็นปกติ






หญิงสาวตื่นขึ้นมาอีกทีก็เช้าของวันถัดไป ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ายังไม่ได้นอน เขาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับลูกน้องสาว

“หัวหน้าไม่ชอบหนูเหรอคะ?” เธอเอ่ยขึ้น

“ชอบสิ!”

“หัวหน้าไม่เหงาเหรอคะ?” เธอถามต่อ

“ก็มีบ้าง!”

“หัวหน้ากลัวว่าหนูจะสร้างปัญหาเหรอคะ?” เธอเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเชิดสูง

ชายหนุ่มจึงถือโอกาสนี้สอนลูกน้องสาวว่า

“การดำเนินชีวิตคือภาระหน้าที่อย่างหนึ่ง ก็เหมือนกับไข่เจียวและข้าวต้มชามนี้ แม้ว่าจะกินมาเป็นไม่รู้กี่สิบปี แต่เราก็ต้องทำทุกวัน กินมันทุกๆวัน แม้บางครั้งจะรู้สึกเบื่อบ้าง แต่วันไหนไม่ได้กิน ก็รู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไป” หญิงสาวนั่งก้มหน้านิ่งเงียบ

หลังจากส่งลูกน้องสาวกลับไปแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความรัก คือความเชื่อใจและจริงใจ คือสิ่งที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ หากไม่รัก ก็อย่าได้เปิดประตูใจของตนเองให้กับใครโดยง่าย ความเหงาและเย้ายวน ไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะออกนอกลู่นอกทาง

เรื่องที่ 2

เธอและเขารักกันมาหลายปี ในระหว่างที่เตรียมงานแต่งงาน เขาก็หายไปอย่างลึกลับ พร้อมกับกระดาษข้อความเขียนไว้ว่า

“ผมขอโทษ รอให้ผมพร้อมมากกว่านี้ ผมจะกลับมาแต่งงานกับคุณ”

เธออ่านไปก็ร้องไห้ไป ฉีกกระดาษแผ่นนั้นจนแหลกละเอียดไม่เป็นชิ้นดี

ผ่านไป 2 ปี เขากลับมาพร้อมรถสปอร์ตคันหรูและฟอร์นิเจอร์เต็มตัว

แต่หญิงคนรักกลับแต่งงานกับคนงานธรรมดาคนหนึ่ง แถมมีลูกแล้วอีกหนึ่งคน

ชายหนุ่มโมโหมาก

“ทำไมเธอยอมแต่งงานกับผู้ชายธรรมดาๆ ทำไมเธอไม่รอฉัน”

หญิงสาวมองคนรักเก่าด้วยรอยยิ้มบางๆ

“พวกเราไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่รัก ก็เพียงพอสำหรับเราแล้ว!”

ชายหนุ่มยืนนิ่ง และเข้าใจในทันที



เรื่องที่ 3

ชายหนุ่มปฏิบัติต่อภรรยาของเขาดีกว่าตอนที่คบกันเป็นแฟนเสียด้วยซ้ำ

ในงานเลี้ยงค่ำวันหนึ่ง เขาถูกเพื่อนๆต่างก็ล้อและหัวเราะเยาะ

“อะไรวะ แต่งงานกันมาตั้งนาน อะไรจะยังเลี่ยนขนาดนี้วะ?”

สิ้นเสียง เพื่อนๆ ต่างพากันโห่ฮิ้วด้วยความสนุกสนาน

เขายิ้มและมองหน้าเพื่อนๆ

“ก่อนแต่งงาน มีชายหนุ่มมากมายที่รุมจีบเธอ มีหนุ่มๆมากมายที่อยากเอาใจเธอ กันก็แค่ทำดีกับเธอมากกว่าหนุ่มๆเหล่านั้น กันก็เลยได้เธอมาครอบครอง”

“หลังแต่งงาน หนุ่มๆที่เอาใจเธอก็น้อยลง กันก็ต้องทำดีกับเธอให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เธอเสียใจที่เลือกคนผิดมาเป็นคู่ชีวิต กันก็แค่อยากให้เธอเป็นคนที่โชคดีทั้งก่อนและหลังแต่งงานก็เท่านั้นเอง”

เมื่อเขาพูดจบ เพื่อนๆที่พากันโห่ฮิ้วเมื่อครู่นี้ ก็ต่างพากับนิ่งเงียบ ไม่มีใครหัวเราะ มีแต่รู้สึกยกย่องเพื่อนคนนี้ที่คิดแบบนี้

เรื่องที่ 4

ชายหนุ่มจับมือภรรยาที่ใกล้คลอดเต็มที

“คุณอยากได้ลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชายคะ?” ภรรยาถาม

“หากเป็นลูกชาย ผมกับลูกชายจะปกป้องคุณ หากเป็นลูกสาว ผมจะปกป้องคุณและลูกสาวเอง”

บ้านหลังใหญ่หรูหราเพียงใด ยามคุณนอนก็แค่ที่นอนหลังเดียว!

รถยี่ห้อดังเพียงใด ขับเร็วเกินกำหนดก็ต้องถูกปรับอยู่ดี!

กระเป๋าราคาแพงปานใด มันก็แค่สวยกว่าถุงพลาสติก แต่ยามใช้งานก็สู้ถุงพลาสติกไม่ได้

ภรรยาของคนอื่นสวยเพียงใด วันหนึ่งเธอก็ต้องกลายเป็นแม่ผัวที่แก่เฒ่า

สามีคนอื่นมีเงินมากมายสักเพียงใด ก็ไม่สู้สามีคนยากที่รักคุณหมดหัวใจ

อย่าพยายามแสวงหาสิ่งที่คุณคิดว่าขาดพร่อง

แล้วหลงลืมในวาสนาที่ตนเองมีอยู่

พึงระลึกไว้ รู้พอใจได้ความสุข!















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.rugyim.com/15623








จากกรณี หลวงปู่ลี กุสลธโร ประธานสงฆ์วัดเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ (วัดป่าภูผาแดง) ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี พระอริยสาวกแห่งภูผาแดง พระเกจิสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และเป็นศิษย์เอกของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ละสรีระสังขาร เมื่อเวลา15.15 น. วันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา





ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ศิษยานุศิษย์และชาวบ้านจำนวนมากเดินทางมาที่วัดอย่างเนืองแน่น เพื่อร่วมรดน้ำที่พานดอกบัว ต่อมา พระอุทาน จารุธมฺโม พระลูกศิษย์คนสนิทและผู้ดูแล “หลวงปู่ลี” มาตลอด เปิดเผยว่า “หลวงปู่ลี” อาพาธตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.เป็นต้นมา ขณะดูแลท่านรู้ตัวดีว่าอาการเป็นอย่างไร ได้ปฏิเสธที่จะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จึงต้องมาสร้างห้องปลอดเชื้อให้ท่านที่วัด กระทั่งท่านได้พูดเป็นครั้งสุดท้ายว่า ได้กำหนดอายุไขไว้แล้ว โดยบอกว่า “อาตมาจะไม่เอาอายุเท่ากับอายุของหลวงตามหาบัว ซึ่งหลวงตามหาบัวนั้นอายุ 98 ปี อาตมาก็ขออยู่ที่อายุเท่านี้ 96 ปี เท่านั้นพอแล้ว ขอให้ทุกคนได้ปฏิบัติทำทุกอย่างตามพินัยกรรมที่เขียนไว้ เงินที่ญาติมาบริจาคให้ลงที่เจดีย์และที่วัดทั้งหมด งานศพให้เอาไว้เพียง 7วันพอ จากนั้นก็ให้เผาเลย ให้ทำแบบง่าย ๆ ไม่ต้องมีพิธีอะไรยุ่งยากมากนัก” ก่อนหลวงปู่จะละสังขารประมาณ 2 – 3 วัน พวกอีกาพากันส่งเสียงร้องดังจนก้องวัดไปหมด แต่พอหลวงปู่ละสังขารต่างพากันหยุดร้อง

ขณะที่ พระอัคคัญญู โชติปญโญ พระลูกวัดป่าภูผาแดง ผู้ดูแลความเรียบร้อยวัด กล่าวว่า เงินที่ญาติโยมนำมาบริจาค จะประกาศให้ทราบทุกบาททุกสตางค์ ไม่มีรั่วไหลไปไหน ซึ่งจะแบ่งนำไปใช้สร้างเจดีย์หลวงปู่ลีฉาบด้วยทองคำตีเป็นแผ่นบาง คาดว่าน่าจะใช้ทองคำประมาณ 100 กิโลกรัม ซึ่งขณะนี้ยอดบริจาคได้กว่า 200 กิโลกรัมแล้ว

















ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.dailynews.co.th/regional/675464








คนร้ายหนีคดีฆ่าคนตายเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว อีกไม่ถึงเดือน คดีจะหมดอายุความ แต่ถูกรวบตัวก่อน โดยตำรวจ 1 ในทีมจับกุม เป็นลูกของผู้ตาย

วันที่ 5 พ.ย. 61 พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้กำกับการ 5 กองปราบปราม (ผกก.5 บก.ป.) ได้เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้าย ตามหมายจับของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ 786/2551 ลงวันที่ 22 ก.ย.2551 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฯลฯ โดยคนร้ายคือ นายบุญฤทธิ์ อายุ 54 ปี ถูกจับกุมได้ที่หมู่บ้านใน ม.2 ต.สองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร





พ.ต.อ.ภูมินทร์ ได้เล่าความเป็นมาของคดีนี้ว่า เกิดขึ้นเกือบ 20 ปีที่แล้ว (ต้นเดือน ธ.ค. 41) นายบุญฤทธิ์ พร้อมพวก ได้ทำการจี้ชิงรถบรรทุก และได้ฆ่า นายประสิทธิ์ และ นายชาณี ก่อนนำศพไปทิ้งในสระน้ำริมทาง บ้านท่าตะเภา ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี โดยศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ออกหมายจับ ที่ 786/2551 ลงวันที่ 22 ก.ย.2551 ซึ่งคดีกำลังจะหมดอายุความ ในวันที่ 2 ธ.ค. 61

ช่วงเกิดเหตุภรรยานายประสิทธิ์ 1 ในผู้เสียชีวิต กำลังตั้งครรภ์ เมื่อบุตรชายที่คลอดออกมาเติบใหญ่ขึ้น ก็สอบบรรจุเข้ารับราชการตำรวจ และพยายามสืบเสาะจนทราบเบาะแสแหล่งกบดานคนร้ายที่ฆ่าพ่อของตน จนนำไปสู่การจับกุมตัวได้ในที่สุด





ตำรวจนายดังกล่าวก็คือ ส.ต.ต.อัษฎาวุฒิ มากประดิษฐ์ ผบ.หมู่.กก.ปพ.บก.สส.ภ.8 โดยเป็นบุตรชายของนายประสิทธิ์ ผู้ตาย และเป็น 1 ในทีมจับกุมด้วย ได้บอกเล่าว่า ตนรบเร้าถามแม่ถึงสาเหตุการตายของพ่อ กระทั่งแม่ยอมเปิดเผยความจริงว่า พ่อถูกคนร้ายฆ่าตาย ก่อนกล่าวว่าพ่ออยากให้ตนเป็นตำรวจ

ต่อมาเมื่อ ปี 60 ตนจึงสอบบรรจุเข้ารับราชการตำรวจ และสามารถสอบได้ในที่สุด ที่ผ่านมาตนพยายามสืบเสาะหาเบาะแสคนร้ายที่ฆ่าพ่อ จนทราบว่ามี 3 คน อีก 2 คนถูกจับแล้ว ยังเหลือนายบุญฤทธิ์ ที่หลบหนีไปกบดานในประเทศมาเลเซีย กระทั่งต่อมาพอทราบว่าคนร้ายกลับเข้ามาในพื้นที่ ตนจึงประสานกองปราบปราม จนสามารถจับกุมตัวได้ในที่สุด












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7566138/








จากกรณีที่มีฤๅษีจากจังหวัดกาฬสินธุ์ ชื่อ ฤๅษีต้อมน้อย หรือ อาจารย์ต้อมน้อย ผู้ทำพิธีเสริมเสน่ห์ที่โด่งดังถึงขั้นมีผู้เชิญไปทำพิธีถึงต่างประเทศ ทั้งประเทศจีนและประเทศสิงคโปร์ โดยเรื่องนี้เป็นที่พูดถึงอย่างมากในกระแสโซเชียล เพราะมีลักษณะการประกอบพิธีกรรมที่ค่อนข้างแปลก โดยหญิงสาวที่มาร่วมพิธีกรรมมักจะแต่งกายแบบนุ่งสั้น เมื่อประกอบพิธีกรรมฤๅษีที่ชื่อว่าต้อมน้อยจะนั่งอยู่บนแท่นพิธี และมีหญิงสาวนั่งอยู่ด้านล่าง





จากคลิปที่เผยแพร่ออกมาพบว่าในการประกอบพิธีฤๅษีจะวางปลัดขิกขนาดใหญ่ไว้บริเวณหว่างขาของหญิงสาว ก่อนจะสั่นกระดิ่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะที่ฤๅษีสั่นกระดิ่งนั้น หญิงสาวที่ปรากฎในคลิปก็เริ่มเอนหลังจนถึงขั้นนอนหงายไปบนพื้น พร้อมทั้งส่งสียงร้องครวญครางออกมาคล้ายกับการร่วมเพศ

>> สุดฉาว พิธีทำเสน่ห์ "อาจารย์ทอมน้อย" ที่สิงคโปร์ ทำสาวร้องครวญคราง

นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ เปิดเผยว่า เสียงที่ปรากฏในคลิปเป็นลักษณะของคนที่มีเพศสัมพันธ์กัน ไม่สามารถเผยแพร่คลิปนี้บนโซเชียลของประเทศไทยได้โดยเด็ดขาด เพราะถือว่ามีความผิด ส่วนการเอาผิดคนที่เผยแพร่คลิปลักษณะนี้ ในทางกฎหมายสามารถเอาผิดผู้เผยแพร่ในฐานความผิดเรื่อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คือ การนำเข้าข้อมูลลามกอนาจารสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยประการที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ หากพบเห็นคลิปลักษณะนี้บนสื่อสังคมออนไลน์ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีได้ทันที

อย่างไรก็ตาม หากผู้กระทำมีความสมัครใจหรือมีความยินยอมร่วมกันก็สามารถกระทำได้ เนื่องจากเป็นความชอบส่วนตัวและเป็นเสรีภาพของผู้กระทำ รวมถึงเป็นสิทธิทางเพศที่สามารถทำได้ โดยที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีอายุเกิน 18 ปีบริบูรณ์แล้วเท่านั้น

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นสำนักของฤๅษีดังกล่าว โดยทราบข้อมูลจากญาติ ระบุว่า เจ้าตัวเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ต้องรอให้เจ้าตัวเป็นผู้ชี้แจงด้วยตัวเอง













ขอบพระคุณแหล่งที่มา: https://www.sanook.com/news/7566318/

1/11/61









พระอุปคุตหรือพระบัวเข็มแปลว่า“ผู้คุ้มครอง”เชื่อกันตามประวัติกล่าวว่าท่านเป็นบุตรของเศรษฐีของเมืองมถุราริมฝั่งแม่น้ำยมนาเกิดหลังพระพุทธองค์ปรินิพานแล้ว๒๐๐ปีแต่เนื่องจากบิดาได้เคยสัญญาก่อนที่จะมีบุตรต่อพระสาณวารีว่าหากมีบุตรชายจะให้ออกบวชจนกระทั้งได้บุตรชาย(พระอุปคุต)เมื่อถึงอายุบวชท่านก็ได้ออกบวชหลังจากออกบวชในบวรพระพุทธศาสนา

   พระอุปคุตได้บำเพ็ญธรรมตามรอยพระพุทธองค์และได้บำเพ็ญอยู่ใต้ท้องทะเลหรือสะดือทะเลจากนั้นไม่นานในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชในครั้งนั้นพุทธศาสนาเสื่อมถอยลงเนื่องจากมีกลุ่มชาวบ้านแฝงมาอาศัยผ้าเหลืองหากินทำให้ชาวบ้านส่วนใหญ่เสื่อมศรัทธาในพระศาสนาในครั้งนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชพระราชดำรัสที่จะชำระพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ตามเจตนารมณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางการดำเนินแนวทางไว้ให้จึงทรงสร้างพระสถูปเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุจำนวน๘๔,๐๐๐องค์





   ครั้นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเรียบร้อยแล้วทรงมีพระราชประสงค์จะจัดการฉลองสมโภชองค์พระมหาเจดีย์ให้สมพระราชศรัทธาโดยจะจัดฉลองเป็นเวลาถึง๗ปี๗เดือน๗วันทรงเห็นว่างานสมโภชพระมหาธาตุนี้เป็นงานใหญ่เกรงว่าจะมีอันตรายและมีปัญหาต่างๆพระองค์ทรงขอให้คณะสงฆ์หาทางช่วยป้องกันเหตุต่างๆโดยขอให้คัดเลือกพระเถระผู้สามารถมาช่วยป้องกันภัยอันตรายเมื่อพระเถระเข้าญาณพิจารณาก็ทราบด้วยญาณของตนว่าเนื่องในงานสมโภชพระมหาเจดีย์ครั้งนี้ภัยจะเกิดขึ้นต่างก็หาวิธีแก้ไขต่างๆจึงได้ทำการปรึกษากับคณะสงฆ์พระสงฆ์ทั้งปวงจึงกล่าวว่า“พระอุปคุตที่จำศีลอยู่กลางสะดือทะเลเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์มากสามารถเนรมิตครอบแก้วคลุมตนไว้ควรที่มหาบพิตรจะไปอาราธนามาดูแลละป้องกันภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้น”พระองค์ทรงทราบความจึงขอให้คณะสงฆ์ไปทำการอาราธนาพระเถระทั้งหลายจึงให้พระภิกษุหนุ่ม๒รูปผู้ทรงอภิญญาสมาบัติไปอาราธนาพระอุปคุต(ชื่อเต็มว่าพระกีสนาคอุปคุตมหาเถระ)มาสู่ที่ประชุมพระภิกษุ๒รูปนั้นจึงเข้าญาณสมาบัติระเบิดน้ำลงไปหาท่านพระอุปคุตแล้วแจ้งให้ทราบว่า“บัดนี้คณะสงฆ์ทั้งหลายมีเถรบัญชาให้ข้าพเจ้าทั้งสองมาอาราธนาพระคุณท่านไปร่วมการประชุมเพื่อปรึกษางานพระพุทธศาสนา

พระอุปคุตเถระทราบสังฆบัญชาเช่นนั้นคิดว่าจะต้องไปร่วมการประชุมในครั้งนี้จะขัดคณะสงฆ์ไม่ได้ต้องเคารพอำนาจแห่งหมู่สงฆ์และงานนี้ก็เป็นงานพระพุทธศาสนาจากนั้นพระอุปคุตเถระจึงบอกภิกษุ๒รูปนั้นว่า“ท่านจงกลับไปก่อนเถิดเราจะตามไปทีหลัง”พระภิกษุหนุ่ม๒รูปนั้นกราบลาเดินทางล่วงหน้ามาก่อนพระอุปคุตจึงเข้าญาณสมาบัติมาถึงสำนักพระเถรานุเถระทั้งหลายก่อนภิกษุหนุ่ม๒รูปพระสงฆ์เถระประชุมสงฆ์จึงกล่าวแก่พระอุปคุตว่า“คณะสงฆ์จะลงทัณฑกรรมแก่ท่านเพราะความผิดที่ท่านไม่มาร่วมสังฆกรรมทำอุโบสถฟังพระปาฏิโมกข์ร่วมกับคณะสงฆ์“พระอุปคุตจึงกล่าวว่าข้าพเจ้ายินดีรับทัณฑกรรมที่คณะสงฆ์จะลงโทษ”





   พระสงฆ์เถระในที่ประชุมสงฆ์แล้วว่า“บัดนี้พระยาศรีธรรมาโศกราชทรงปรารถนาจะทำการสมโภชพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุ๘๔,๐๐๐องค์ที่ทรงสร้างไว้ในชมพูทวีปทั้งหมดต้องใช้เวลาถึง๗ปี๗เดือน๗วันให้สมพระราชศรัทธาแต่เกรงว่าการสมโภชนั้นจะไม่พ้นภัยเกรงพญามารจะขัดขวางทำลายไม่ให้พระราชพิธีสมโภชนั้นดำเนินไปด้วยดีพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชตรัสให้คณะสงฆ์ช่วยป้องกันพระอุปคุตจึงถาม“พระคุณเจ้าทั้งหลายแจ้งมาว่าจะให้ข้าพเจ้าทำประการใด”พวกเราไม่มีใครสามารถจะช่วยได้เห็นแต่ท่านผู้เดียวเท่า

พระอุปคุตจึงก้มลงกราบแล้วกล่าวว่า“ข้าพเจ้ายินดียอมรับทัณฑกรรม”เมื่อได้ผู้ป้องกันภัยอันตรายในการบำเพ็ญกุศลแล้วคณะสงฆ์โดยมีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธานจึงถวายพระพรให้พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชๆทรงโสมนัสยิ่งนักนั้นอีกแล้วมาเพื่อป้องกันภัยในครั้งนั้นจากนั้นข่าวการสมโภชพระมหาธาตุก็ได้กระจายไปทั่วครั้งต่อมาพระองค์ทอดพระเนตรเห็นองค์พระอุปคุตมหาเถระแล้วก็หนักพระทัยเพราะท่านมีร่างกายผ่ายผอมและทรงเล็กมากพระองค์จึงทดสอบโดยเมื่อครั้นรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็นพระอุปคุตเดินไปบิณฑบาตทรงมีพระราชบัญชาสั่งให้พนักงานเลี้ยงช้างปล่อยช้างตกมันไล่พระอุปคุตเพื่อทดสอบ

   พระอุปคุตมหาเถระเห็นช้างวิ่งไล่มาข้างหลังจึงเข้าญาณสมาบัติอธิษฐานจิตให้ช้างตัวนั้นแข็งประดุจหินไม่อาจขยับเขยื้อนได้พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงทรงขอขมาและทรงพอพระทัยยิ่งนักเกิดความเคารพนับถือพระมหาเถระอุปคุตเป็นอันมากครั้นได้มงคลฤกษ์จึงเริ่มบุญพิธีสมโภชพระมหาเจดีย์ตามพระราชประสงค์ครั้งพญามารรู้ข่าวจึงคิดจะหยุดงานสมโภชตำนานกล่าวว่าพญามารหรือพญาวัสวดีมาราธิราชซึ่งเป็นตนเดียวกับที่ขัดขวางพระพุทธองค์ครั้งบำเพ็ญเพียรก่อนที่จะตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์คิดจะทำลายพิธีนั้นจึงแสดงอิทธิฤทธิ์ให้บังเกิดมหาวาตพายุอย่างร้ายแรงมีกำลังพัดมาประหนึ่งจะถล่มแผ่นดินให้ทลายพระอุปคุตเถระเห็นอากาศวิปริตอย่างนั้นทราบชัดด้วยญาณอันประเสริฐของท่านว่าบัดนี้พญามารมาทำลายแล้ว

ท่านจึงเข้าญาณสมาบัติโดยพลันอธิษฐานให้เกิดเป็นลมเหมือนกันแต่ลมของพญามารก็พ่ายแพ้พญามารก็แผลงฤทธิ์ใหม่เป็นลมกรดเป็นเพลิงเป็นทรายเพลิงเร่าร้อนด้วยไฟและประการอื่นอีกหลายอย่างเพื่อทำลายพิธีฉลองสมโภชองค์พระมหาเจดีย์จนพญามารเกิดโทสะแรงกล้าพยายามจะทำลายล้างพระมหาเถระจึงปรากฏตัวเป็นพญามาร

   พระอุปคุตได้ทรมานพระยาวัสวดีมารซึ่งจะมาก่อกวนงานพระราชพิธีฉลองพระสถูปเจดีย์ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้เนรมิตสุนัขเน่ามีกลิ่นเหม็นไปผูกติดไว้ที่คอของพญามารพร้อมกับอธิษฐานว่า“ไม่ว่าจะเป็นใครเป็นเทพยดาหรือพรหมก็ตามทีขออย่าสามารถปลดเปลื้องหรือแก้ออกได้”ซึ่งจากตำนานก็จะมีแต่พระอุปคุตเถระเท่านั้นที่จะเป็นผู้แก้ไขได้ดังนั้นท้ายที่สุดพญามารหมดฤทธิ์มีจิตอ่อนน้อมในพระพุทธศาสนาพระอุปคุตเถระพิจารณาเห็นความเป็นไปในทางตั้งใจดีของพญามารแล้วจึงช่วยแก้ไขให้ฯลฯ

   เรื่องราวประวัติของพระอุปคุตเถระผู้มีมหิทธิเดชานุภาพรูปนี้ตามตำนานไม่ได้กล่าวว่าท่านดับขันธปรินิพพานหรือยังท่านอาจจะมีชีวิตอยู่ถึงกัปหนึ่งก็ได้ด้วยอานุภาพแห่งอิทธิบาทภาวนาของท่านตามหลักฐานที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระอานนทเถระไว้ว่า“ผู้ใดเจริญอิทธิบาท๔ให้มากกระทำให้เป็นญาณกระทำให้เป็นที่ตั้งไว้เนืองๆสะสมรอบแล้วและปรารถนาดีแล้วผู้นั้นประสงค์จะอยู่ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัปก็ได้”……

   พระบัวเข็มหรือพระอุปคุตใพระอุปคุตเป็นพระที่เป็นที่นิยมนับถือของชาวอินเดียมอญและชาวไทยวนและอีสานสมัยก่อนพระมอญได้นำพระบัวเข็มมาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในตอนที่พระองค์ผนวชอยู่แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงกล่าวถึงความเป็นมาในพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือนด้วยนทางพระเครื่องมีประวัติว่า"พระบัวเข็ม"เดิมเป็นพระพุทธรูปมอญเข้ามาแพร่หลายในไทยช่วงสมัยรัชกาลที่3โดยพระรามัญได้นำมาถวายพระวชิรญาณภิกขุ(ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่4)โดยเชื่อในพุทธคุณว่าเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ก่อให้เกิดลาภผลความมั่งมีขจัดภยันตรายและมีอิทธิฤทธิ์ในทางขอฝนอีกด้วย

   ปัจจุบันยังมีความเชื่อในหมู่ชาวไทยวนว่าพระบัวเข็มหรือพระอุปคุตยังมีชีวิตอยู่ในทุกวันขึ้น15ค่ำที่ตรงกับวันพุธชาวไทยวนจะเรียกว่าเป็น"วันเป็งปุ๊ด"พระอุปคุตจะออกบิณฑบาตในร่างเณรน้อยและจะออกมาเวลาเที่ยงคืนด้วยเหตุนี้จึงเกิดประเพณีตักบาตรกลางคืนขึ้น












ขอบพระคุณแหล่งที่มา: http://www.topicza.com/news82081.html

Blog Archive

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Recent Comments

Formulir Kontak

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

recent posts

flickr photos

About us

recent posts

?ิ??ี่?ี่ ????????์

Random Posts

ข่าวยอดฮิด

Follow on twitter

Follow on Fanpage

Follow Me

Recent Posts

Flag Counter

Recent Posts

Text Widget